เล่มที่ 3 บทที่ 71 วางยาพิษ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลังจากหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง พระสนมเต๋อเฟยเป็นฝ่ายรู้สึกได้ถึงความผิดปกติก่อน

    ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ที่เคยแช่มชื่นพลันขุ่นมัวขึ้นอีกครั้ง

    เด็กคนนี้อาจหาญมากเกินไป

    หากคำนึงถึงอุปนิสัยของไท่จื่อและฮองเฮาแล้วละก็ พวกเขาจะต้องตรวจสอบความผิดปกติอย่างละเอียดแน่นอน หากพบสิ่งผิดปกติอันใดเข้า เกรงว่าฮองเฮาจะต้องอาศัยข้ออ้างนี้มาทำลายพวกนาง

    “หมู่เฟยกังวลมากไปแล้วเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปยืนข้างกายพระสนมเต๋อเฟย ดวงตาผ่อนคลาย

    “หากหมอหลวงมาตรวจร่างกายก็จะพบเพียงแค่หัวไชเท้าหรือมันฝรั่งเท่านั้น ไม่มีสิ่งไหนผิดปกติหรอกเพคะ”

    หากถูกวางยา หมอหลวงจะต้องตรวจเจออย่างแน่นอน

    แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ไปแล้ว ร่างกายของไท่จื่อจะไม่ได้รับความเสียหาย อีกทั้งยังดีขึ้นมากเรื่อยๆ แล้วแบบนี้ฮองเฮาจะหาข้ออ้างอะไรมาจัดการนางกันเล่า?

    หรือลูกของนางไม่เคยตดกัน นางคงไม่คิดจะลงโทษหลงเทียนอวี้และตัวนางเองเพราะเรื่องนี้หรอกกระมัง?

    มันจะไม่ตลกเกินไปหรือ?

    “โอ้? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะร่างกายของไท่จื่อเองอย่างนั้นสินะ เอาล่ะ ข้าเหนื่อยมากแล้ว หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาข้ารู้สึกไม่อยากอาหารแล้วล่ะ จิ่นเยว่ พวกเรากลับกันเถิด”

    พระสนมเต๋อเฟยรู้จักฮองเฮาดี นางมีคนคอยให้การสนับสนุนมากมาย ถึงแม้นางจะมีอำนาจอย่างล้นเหลือ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อจำกัด

    ลูกชายของตนเองทำเรื่องน่าขายหน้า อีกทั้งนางไม่อาจปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้ทัน ดังนั้นนางไม่มีทางใช้อำนาจลงโทษผู้อื่นได้อย่างแน่นอน

    เหล่าขุนนางล้วนจับจ้องพฤติกรรมของไท่จื่ออยู่ หากมีเรื่องน่าขายหน้าถูกบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์แม้เพียงเรื่องเดียว เกรงว่าฮองเฮาคงฟาดปากให้ฟันหลุดและสั่งให้กลืนเลือดลงไป

    พระสนมเต๋อเฟยและจิ่นเยว่กลับไปยังตำหนักหยาเสวียน ภายในห้องโถงจึงเหลือเพียงสองพี่น้องและหลินเมิ้งหยา

    “เอาล่ะ เอาล่ะ ป๋ายจื่อ เจ้าจงเก็บกวาดทำความสะอาดให้เรียบร้อย พอได้สูดอากาศเป็นพิษเข้าไป เกรงว่าคงไม่มีใครรู้สึกอยากอาหารแล้ว”

    ป๋ายจื่อแอบปิดปากหัวเราะ คุณหนูใจกล้ามากเหลือเกิน เกรงว่าไท่จื่อคงจะร้องไห้โยเยกลับบ้านเป็นแน่แท้

    สมน้ำหน้า ใครสั่งให้เขาคิดมิดีมิร้ายกับคุณหนูกันเล่า

    หัวเราะและได้เห็นเพียงพอแล้ว หลินเมิ้งหยาหมุนตัวเดินออกจากห้องโถง

    หลงชิงหานมองตามนางที่กำลังกลับออกไป ใบหน้าหล่อเหลาอดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นความรู้สึกโชคดี

    “โชคดีที่ข้ายังไม่ได้ทำให้พระชายาของท่านขุ่นเคือง มิเช่นนั้นข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็มิอาจรู้ได้”

    ผู้หญิงคนนั้น หากมองผิวเผินจะได้เห็นความงดงาม ดวงตาอ่อนโยนเปล่งประกายราวกับหยดน้ำ ไม่ว่าใครที่ได้ใกล้ชิดล้วนรู้สึกอยากเก็บนางเอาไว้ในหัวใจเพื่อคอยปกป้องดูแล

    แต่เมื่อได้ลองสัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของนางแล้ว นางแผดเผาทุกคนดั่งดวงอาทิตย์

    ใครที่กล้าเข้าใกล้จะต้องถูกนางเผาไหม้จนละลายกลายเป็นน้ำ

    หากใครก็ตามอาจหาญทำให้นางขุ่นเคือง เกรงว่าจะต้องพบจุดจบที่น่าอเนจอนาถเสียยิ่งกว่าองค์ชายพระองค์นั้นอย่างแน่นอน

    เหตุใดผู้หญิงเช่นนี้จึงถูกบ้านสกุลหลินฝังกลบเอาไว้กัน?

    “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ความเก่งกาจของนางยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เจ้ายังจำข่าวที่ข้าส่งไปกับนกพิราบได้หรือไม่? ชิงหูแห่งเถาฮวาอู๋มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เขาต่อสู้กับเราหลายต่อหลายครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังหนีรอดไปได้ทุกครั้ง ทว่าชายผู้นั้นกลับต้องพ่ายแพ้ต่อนาง ดังนั้นข้าจึงมิรู้สึกแปลกใจเลยหากนางทำเรื่องน่าประหลาดใจอันใดขึ้นมาอีก”

    “เฮือก…”

    หลงชิงหานสูดกลืนลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด สายตาพลันมองดูพื้นที่ว่างเปล่าด้วยความสงสัย

    ชิงหูเป็นคนทรยศและเจ้าเล่ห์เป็นที่สุด แม้เขาจะวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบมากขนาดไหน แต่สุดท้ายชิงหูก็มักจะหนีรอดออกไปได้ทุกครั้ง

    แต่เขากลับถูกพี่สะใภ้สามจับเข้าคุกไปได้

    ผู้หญิงคนนี้มีจิตใจยากแท้หยั่งถึง!

    “แต่คนสอดแนมของเรามักจะบอกว่าหลินเมิ้งหยาคนนี้เป็นคนโง่เขลาสติฟั่นเฟือน เหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้เล่า? หรือเกิดสิ่งผิดปกติอันใดขึ้น?”

    คำถามของหลงชิงหานเองก็เป็นคำถามที่ยังคงติดตรึงอยู่ในใจของหลงเทียนอวี้

    เขาเป็นคนระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ทุกคนที่เข้าใกล้เขาได้ล้วนถูกตรวจสอบประวัติหมดแล้วทั้งสิ้น มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่จู่ๆ ก็ฉลาดเฉลียวขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล นี่นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับเขาเช่นเดียวกัน

    “ข้าเชื่อว่านางไม่มีวันทำร้ายข้า”

    ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งการปกป้อง เอาใจใส่ ดูแลและความฉลาดเฉลียวล้วนอยู่ในสายตาของหลงเทียนอวี้ อีกทั้งเขายังจดจำสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในหัวใจ

    นอกจากญาติสนิทของตนเองแล้ว หลินเมิ้งหยาเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจ

    เขาเชื่อใจนางเหมือนอย่างที่เชื่อหลินขุยหรือป๋ายหลี่อู๋เฉิน

    พวกเขาล้วนเป็นลูกน้องของเขา

    “เช่นนั้นข้าก็วางใจ แต่ข้ารู้สึกไม่สบายใจเรื่องที่ไท่จื่อได้พูดวันนี้ ทั้งที่มีคนคอยดูแลเรื่องจัดงานเลี้ยงต้อนรับซีฟานอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงต้องมาพูดเรื่องนี้กับท่านพี่ด้วยตนเอง?”

    หลงชิงหานยกพัดขึ้นเคาะศีรษะตนเองหนึ่งที

    หากมองเพียงผิวเผิน เขาดูเหมือนองค์ชายที่ไม่สนใจกิจการบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อย

    ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งในขุมกำลังของพี่สาม

    หากมีเรื่องใดที่เขาไม่สะดวกไปทำด้วยตัวเอง ตัวเขามักจะกลายเป็นผู้ไปทำธุระแทนเสมอ

    แม้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาจะเอาแต่เที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ ทว่าเขากลับเตรียมการเอาไว้แล้ว

    หมู่เฟยของเขาถูกฮองเฮาทำร้ายจนตาย ส่วนเขาเองก็มีความคับแค้นใจกับไท่จื่อเช่นเดียวกัน

    ความแค้นครั้งนี้จะต้องชำระ!

    “ขอแค่พวกเราระวังตัวเอาไว้ก็พอ จริงสิ ได้ยินมาว่าเจ้ากับองค์ชายของฮ่องเต้หมิงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจริงหรือไม่?”

    หลงเทียนอวี้หันหน้ากลับมา สีหน้ากลับมาเป็นปกติดังเดิม

    ราวกับว่ารอยยิ้มน่าหลงใหลเมื่อครู่ที่หลินเมิ้งหยาได้เห็นเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น

    เมื่อเอ่ยถึงเพื่อนรักของตนเอง หลงชิงหานหยักยิ้มแล้วพยักหน้าลง

    “อาเป่ยเป็นคนกล้าหาญและถ่อมตน เพียงได้เจอกันครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตาราวกับเป็นเพื่อนกันมานานแสนนาน ทันทีที่รู้ว่าจะต้องมาเยี่ยมเยียนประเทศของเรากับฮ่องเต้ เขารีบส่งข่าวมาหาข้าทันที”

    หลงเทียนอวี้พยักหน้าลง น้องหกของเขาชอบผูกมิตรกับคนดีมีคุณธรรมมากมาย หวังเหลือเกินว่าองค์ชายหูเทียนเป่ยผู้นี้จะกลายมาเป็นเพื่อนของพวกเขา

    ภายในตำหนักหลิวซิน หลินเมิ้งหยากินขนมที่ป๋ายจีเตรียมเอาไว้ให้ก่อนหน้านั้นแล้ว สาวใช้ต่างพากันยิ้มแย้มแจ่มใส

    การแสดงของหลินจงอวี้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก เกรงว่าจากนี้เป็นต้นไป ไท่จื่อคงจะได้รับสมญานามใหม่ว่า…องค์ชายจอมตด!

    “พวกเจ้ามิได้เห็นสีหน้าดำถมึงทึงของฮูหยินหลิน!”

    ป๋ายจื่อได้เห็นปฏิกิริยาจากทุกคน เหตุเพราะกำลังดีใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงตำหนักหลิวซินจึงส่งเสียงเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องนี้ให้กับสาวใช้อีกสองคนฟังทันที

    “เฮ้อ หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ข้าควรจะให้เสี่ยวสื่อเสี่ยวหวู่ยกนายน้อยอวี้ออกไปก่อนเสียก็ดี”

    ป๋ายซ่าวแซว นางรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ตนเองมิได้อยู่ในห้องโถง

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ขยับตัวชิดข้างหน้าต่างและจมอยู่ในความคิดของตนเอง

    “นายหญิงคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”

    ด้านหน้า ป๋ายจียกแก้วชาส่งให้หลินเมิ้งหยาพร้อมทั้งรอยยิ้ม หลินเมิ้งหยายื่นมือเข้าไปรับ

    “ข้ากำลังคิดว่าวันนี้ไท่จื่อมาที่จวนเราด้วยเหตุอันใด?”

    ราวกับข่าวการมาเยือนของฮ่องเต้ซีฟานเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าไท่จื่อและซ่างกวนฉิงยังคงมีลับลมคมในอะไรบางอย่างเก็บซ่อนเอาไว้อยู่

    “เจ้าและป๋ายซ่าวคอยจับตามองฮูหยินหลินและคุณหนูรองให้ดี หากมีสิ่งผิดปกติอันใด พวกเราจะได้เตรียมตัวทัน”

    “เจ้าค่ะ หนู่ปี้จะจับตาดูให้ดี”

    ยกแก้วชาอุ่นๆ ขึ้นจิบ หลินเมิ้งหยาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ใยหัวใจนางยังคงกระสับกระส่ายเช่นนี้

    ขณะเดียวกัน ภายในเรือนเล็กของจวนอวี้ ซ่างกวนฉิงกำลังวางแผนการลับบางอย่างกับลูกสาว

    “ข้าไม่แต่ง ต่อให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่แต่ง! ท่านแม่จะต้องออกหน้าแทนข้า! หากต้องแต่งงานออกไปจริง ข้ายอมตาย”

    หลินเมิ้งหวู่ร้องไห้สะอึกสะอื้น หากเป็นแต่ก่อน ไม่ว่านางอยากได้อะไร แม่ของนางก็พร้อมจะประเคนให้เสมอ

    ตอนแรกท่านป้าฮองเฮาคิดจะให้นางแต่งงานเป็นชายารองของไท่จื่อ สุดท้ายท่านแม่เป็นผู้ปฏิเสธไป

    นางเชื่อว่าคราวนี้แม่ของนางก็จะต้องช่วยนางได้เช่นเดียวกัน

    “ข้าจะคิดหาวิธี แต่คราวนี้เกรงว่าจะยุ่งยากเสียหน่อยเพราะเสด็จพี่ได้ตัดสินใจไว้แล้ว”

    เป็นพี่น้องกันมาหลายสิบปี นางย่อมรู้จักพี่สาวของตนเองดี

    เพื่อรักษาตำแหน่งฮองเฮา เกรงว่าคนทั้งตระกูลซ่างกวนล้วนต้องตกเป็นเครื่องมือของเสด็จพี่

    ยิ่งถ้าหากต้องการทำให้ลูกชายได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้วละก็ ต่อให้นางต้องเสียสละอะไรก็ย่อมได้

    สีหน้าเคร่งขรึม ซ่างกวนฉิงครุ่นคิด ในที่สุดก็นึกออก

    “เข้ามา ข้าต้องการเขียนจดหมายหาท่านแม่ ไม่ว่าใครก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้เป็นอันขาด”

    นัยน์ตาสุขุมของซ่างกวนฉิงเปล่งประกาย

    แม่ท่านพ่อจะยกยอปอปั้นเสด็จพี่ แต่ท่านแม่เอ็นดูนางเป็นที่สุด

    เหตุเพราะเรื่องในคราวนั้น ท่านแม่กล่าวโทษท่านพ่อและท่านพี่ไปไม่น้อย นางเชื่อว่าคราวนี้ท่านแม่จะต้องช่วยนางได้

    ไม่พูดพร่ำทำเพลง ซ่างกวนฉิงลงมือเขียนจดหมายแสดงความอัดอั้นตันใจ ทว่าแม้ท่านแม่จะรักและเอ็นดูนาง แต่ก็รับปากไม่ได้ว่าพี่น้องที่เหลือจะร่วมมือกับท่านพี่หรือไม่

    “ท่านยายจะมีวิธีช่วยข้าหรือ? ท่านยายจะฟังเพียงท่านป้าเหมือนอย่างท่านตาหรือไม่?”

    หลินเมิ้งหวู่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาพลางจ้องมองแม่ของตนเองด้วยท่าทางน่าสงสาร

    ซ่างกวนฉิงลูบไล้เส้นผมสีดำขลับของหลินเมิ้งหวู่ด้วยความรัก ก่อนจะเอ่ย

    “คนในบ้านซ่างกวนล้วนติดค้างแม่ ท่านยายของเจ้าเองรักและเอ็นดูแม่ไม่ต่างอะไรจากที่แม่รักและเอ็นดูเจ้า วางใจเถิด จะต้องมีหนทางอย่างแน่นอน”

    เรื่องในอดีต อันที่จริงสามารถหาลูกของภรรยาอนุไปแทนนางก็ได้

    แต่เพราะเหตุผลของท่านพี่ทำให้ลูกสาวสุดรักสุดหวงของท่านแม่ต้องรับบาป

    ตลอดหลายปีมานี้ เหตุเพราะการปกครองของพี่สาวทำให้คนในบ้านสกุลซ่างกวนจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่พอใจ

    นางพยายามอดทนอดกลั้นเสมอมา มิใช่เพราะเกรงกลัวพี่สาว แต่เพราะโอกาสยังมาไม่ถึง

    “ท่านแม่ หากต้องส่งลูกสาวของสกุลเราไปแต่งงานจริงๆ แล้วละก็ เช่นนั้นส่งหลินเมิ้งหยาไปก็ได้นี่เจ้าคะ”

    หลินเมิ้งหวู่เอ่ยออกมาเพราะความโกรธแต่เพียงเท่านั้น ถึงอย่างไรหลินเมิ้งหยาก็เป็นพระชายาอวี้ไปแล้ว ไม่มีทางที่นางจะไปดูตัวแต่งงานได้อีก

    ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้ดวงตาของซ่างกวนฉิงเปล่งประกาย

    ใช่แล้ว หากต้องส่งลูกสาวสกุลหลินไปแต่งงานจริงๆ เช่นนั้นส่งหลินเมิ้งหยาไปจึงจะเหมาะสมที่สุด

    อ๋องอวี้เป็นอริราชศัตรูกับไท่จื่อ ประจวบกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ไท่จื่อจะต้องอยากฆ่าพวกเขาให้ตายอย่างแน่นอน

    “มีเหตุผล อีกอย่างนังเด็กหลินเมิ้งหยายังหน้าตาสวยสดงดงาม ฮึ จะมีชายหน้าไหนมิชอบใบหน้าเช่นนั้นบ้างเล่า?”

    คิดไม่ถึงเลยว่าท่านแม่จะเห็นด้วยกับคำพูดของนาง ยิ่งได้เห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของท่านแม่ นัยน์ตาของหลินเมิ้งหวู่เปล่งประกายไปด้วยความคิดชั่วร้าย

    “แต่ท่านแม่เจ้าคะ หลินเมิ้งหยาแต่งงานออกเรือนไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นถึงพระชายาอวี้ ฮ่องเต้เป็นผู้ประทับตราพระราชลัญจกรเอง แล้วแบบนี้นางจะไปแต่งงานได้อย่างไร?”

    ซ่างกวนฉิงกระตุกยิ้มมีเลศนัย ก้มหน้าลงกระซิบเสียงเบา

    “เจ้ายังจำเรื่องพระชายาสิบสามของอดีตฮ่องเต้ได้หรือไม่?”