เล่มที่ 3 บทที่ 72 สามปีหรือชั่วชีวิต

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ชายาสิบสาม? อ๋อ…ข้าจำได้แล้ว! ใช่แล้ว ตอนนั้นฮ่องเต้ผู้โหดเหี้ยมพระองค์หนึ่งชอบพอนาง อีกทั้งยังประกาศกร้าวอีกว่าหากไม่ส่งตัวชายาของฮ่องเต้ให้กับเขา เขาจะโจมตีเมืองต้าจิ้น ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่มีทางเลือก ดังนั้นจึงแอบส่งตัวชายาสิบสามไปแต่งงานอย่างเป็นความลับ ก่อนจะประกาศว่านางป่วยและตายไปอย่างกะทันหัน!”

    เรื่องราวในอดีตเรื่องนี้เป็นที่โจษจันเล่าขานทั่วทั้งเมือง ว่ากันว่าพระชายาของฮ่องเต้สาบานต่อหน้าฟ้าดินว่านางยอมตายดีกว่าไปแต่งงานกับฮ่องเต้โฉดชั่วผู้นั้น

    หากไม่มีเรื่องพระชายาของฮ่องเต้ถูกส่งตัวไปแต่งงาน เรื่องนี้ก็คงไม่เป็นที่ถกเถียงกันขนาดนี้

    คนในราชวงศ์ล้วนไร้หัวใจ เพื่อประเทศชาติแล้ว ลูกสาวลูกชายล้วนเป็นเพียงหมอกควันเท่านั้น

    ซ่างกวนฉิงมีประสบการณ์ทางด้านนี้อย่างลึกซึ้งที่สุด

    “ถูกต้อง เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินพ่อของเจ้าและลูกน้องพูดกันถึงเรื่องนี้ว่า ฮ่องเต้แห่งซีฟานมีองค์ชายพระองค์หนึ่งเป็นที่รักและเอ็นดูอย่างมาก อีกทั้งยังเก่งกล้าสามารถเรื่องออกรบ แต่ถึงกระนั้นเขากลับชอบของสวยงาม สิ่งที่เขาชอบที่สุดคือสาวงามแห่งเมืองต้าจิ้น”

    หลินเมิ้งหวู่เข้าใจได้ในทันที ดวงตาพลันเปล่งประกาย

    “หากเขาได้เห็นหลินเมิ้งหยาแล้วละก็ แม้นางจะเป็นชายาอวี้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องออกไปแต่งงานอยู่ดีมิใช่หรือ?”

    สองแม่ลูกไร้ยางอายครุ่นคิดหาวิธีการนำหลินเมิ้งหยาไปขาย

    แต่พวกนางคงลืมไปว่าหลินเมิ้งหยาเป็นคนเช่นไร นางหาใช่คนที่คิดจะนำไปขายก็ขายได้

    วันเวลาล่วงเลยไปราวครึ่งเดือน หลงเทียนอวี้และหลงชิงหานกำลังยุ่งกับการตระเตรียมการต้อนรับฮ่องเต้หมิง

    เป็นไปดั่งที่หลินเมิ้งหยาคาด หลังจากไท่จื่อกลับไปแล้วก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆไป

    นอกจากออกมาถวายคำนับฮองเฮา เขาไม่ยินยอมออกจากตำหนักของตนเองเลยแม้แต่น้อย

    หลินเมิ้งหยาออกคำสั่งกับคนรับใช้ทั้งหมดว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องคืนนั้นในที่สาธารณะโดยเด็ดขาด

    ทว่าในที่ลับก็แล้วแต่วิจารณญาณ

    บรรยากาศด้านหน้ากำลังเย็นชื้น บัดนี้เมืองหลวงเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว

    หลินเมิ้งหยาที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองทางเหนือและชินกับการอยู่ในทุกฤดูกาลรู้สึกสบายกายสบายใจขึ้นมา

    จวนอวี้ที่ถูกปกครองโดยรูปแบบของไม้แข็งและไม้อ่อนของหลินเมิ้งหยาเริ่มเป็นระบบระเบียบมากขึ้น

    แต่ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายคือซ่างกวนฉิงมิได้สร้างความเดือดร้อนใดๆ อีก ทว่าช่วงสองสามวันมานี้นางกลับพาหลินเมิ้งหวู่เข้ามาคุยเล่นกับตนเองที่ตำหนักหลิวซิน

    เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินใจดำอำมหิตคนนี้ หลินเมิ้งหยาจึงระมัดระวังคำพูดมากขึ้น

    แม้แต่เจียงหรูฉินเองก็เลิกรังควานนาง ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงค่อนข้างผ่อนคลาย

    แม้จะเป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีความหนาวเหน็บแผ่ซ่านกระทบร่าง

    หลินเมิ้งหยาขดตัวอยู่ภายในผ้าห่มขนจิ้งจอกที่ศาลาเล็กพลางจ้องมองใบไม้สีเหลืองด้วยสายตาเหม่อลอย

    “พี่สะใภ้อารมณ์ดีเสียจริง มาเสพความสุขในฤดูใบไม้ร่วงที่นี่กระนั้นหรือ?”

    เสียงยุแหย่เล็กน้อยของหลงชิงหานดังขึ้น หลินเมิ้งหยาหันหน้าไป ผลปรากฏว่านางได้เห็นองค์ชายใบหน้าหล่อเหลาซึ่งสวมใส่ชุดสีม่วงอ่อนกำลังเดินตรงเข้ามา

    “ลมอันใดพัดพาองค์ชายหกมาได้เล่า?”

    น้ำเสียงเกียจคร้าน ยิ่งอยู่ในร่างนี้นานเท่าไร อุปนิสัยเดิมของนางก็ยิ่งเผยออกมาให้เห็นมากเท่านั้น

    แม้จะบอกว่าหญิงสาวที่ภายนอกใสซื่อบริสุทธิ์ แต่กลับมีแผนเจ้าเล่ห์อยู่ในหัวตลอดเวลามาอยู่ในร่างของสาวใสซื่อไร้เดียงสา แต่คนที่มาอยู่ทีหลังกลับยากที่จะหาเส้นทางแห่งความสมดุลในการใช้ชีวิตได้

    คนที่อยู่ใกล้ชิดหลินเมิ้งหยาล้วนคิดว่านางเป็นจอมวางแผนมากขึ้นทุกที

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกว่าความสุขุมของตนเองกำลังถูกจิตใจของเจ้าของร่างเดิม ทำให้ตนเองกลายเป็นคนสดใสร่าเริงขึ้นมาเรื่อยๆ

    ความคิดที่เคยมีแต่ด้านลบเริ่มถูกปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย

    บางทีอาจเพราะเจ้าของร่างที่เป็นเด็กสาวใจดีและฉลาดเฉลียวคนนั้นต้องการส่งมอบของขวัญชิ้นสุดท้ายให้นางกระมัง

    “เพราะว่ามีธุระต่างหาก ข้ากล้ามาสร้างความวุ่นวายให้พี่สะใภ้สามที่ไหนกัน! คือ…คือว่าเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ในคุกเริ่มผิดปกติไป”

    ชิงหู? หลินเมิ้งหยาเกือบลืมเจ้าคนเจ้าเล่ห์คนนี้ไปเสียสนิท

    ดวงตาเปล่งประกายราวกับหยดน้ำหรี่เล็กลง หลินเมิ้งหยาหันไปมองทางดอกไม้ด้านนอก ราวกับว่าเมื่อคืนสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงจะพัดผ่านมาทำให้ดอกเบญจมาศเริ่มเบ่งบานแล้ว

    “ผิดปกติเช่นไร? พวกเจ้ามิได้เอ่ยว่าเขาปิดปากเงียบตลอดเวลาและเอ่ยเพียงต้องการอยากพบข้ากระนั้นหรือ?”

    ชิงหูเป็นผู้กระทำความผิด องครักษ์ในจวนต้องอดทนจับตาดูเขาวันละสิบสองชั่วยาม

    ทว่าเจ้าเด็กนั่นกลับดื้อรั้นเกินคน แม้จะถูกทรมานร่างกาย แต่เขากลับไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใดๆ ออกมา

    พี่สะใภ้สามเองก็ไม่ยอมลงไปหาเขาที่คุกใต้ดิน ดังนั้นแม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงหนึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังไร้ซึ่งความคืบหน้าใดๆ

    “ถูกต้อง ทว่าเมื่อหลายวันก่อนเขามักจะเป็นลมอยู่เป็นพักๆ แม้ว่าหมอหลวงจะมาตรวจแต่ก็ไม่พบความผิดปกติอันใด เกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน”

    นัยน์ตาของหลินเมิ้งหยาเผยให้เห็นความเข้าใจอะไรบางอย่าง เมื่อลองคำนวณเวลาดูก็นับว่าใกล้แล้ว

    “เจ้าสั่งให้คนไปเก็บดอกเบญจมาศร้อยลี้ที่เพิ่งเบ่งบานมาและลงไปที่คุกใต้ดินกับข้าเถิด”

    นางลุกขึ้นพาสาวใช้ทั้งสามจากไป ทิ้งหลงชิงหานที่ยังคงมึนงงจ้องมองแผ่นหลังของหลินเมิ้งหยาที่กำลังจากไป

    เขาไม่เข้าใจเล็กน้อย เหตุใดพี่สะใภ้สามที่จะไปสร้างความทุกข์ทรมานให้ผู้อื่นจะต้องนำดอกไม้ไปด้วย?

    ณ คุกใต้ดิน

    ยังคงอับชื้นและมืดสนิท อีกทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดและเหม็นเน่าคละคลุ้ง

    นานมากแล้วที่มิได้มาที่นี่ พริบตาเดียวก็มีนักโทษเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

    หลินเมิ้งหยาไม่มีอะไรมาก นางมีรูปแบบในการจัดการของตนเอง หลงเทียนอวี้เองก็มีวิธีการของเขา พวกเขาจะไม่เข้ามายุ่มย่ามในวิธีการของอีกฝ่าย ต่างฝ่ายต่างทำตามแบบแผนของตนเองเป็นการดีที่สุด

    ชุดสีแดงทับทิมเปล่งประกายเมื่ออยู่ในคุกแห่งนี้

    ลูกน้องที่ผลัดเวรเข้าๆ ออกๆ ล้วนจดจำใบหน้างดงามมีเสน่ห์ตรงหน้าได้แล้ว อีกทั้งยังจำกิตติศัพท์ของพระชายาอวี้ที่แสนโหดเหี้ยมได้อีกด้วย

    แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนสงสัยใคร่รู้

    ทว่าหญิงสาวที่แม้จะอยู่ในคุกอันแสนมืดมิดแต่สีหน้ากลับยังไม่เปลี่ยนไป เกรงว่าจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

    ผู้หญิงคนนี้กล้าหาญเหลือเกิน!

    ชิงหูถูกจับขังเดี่ยว

    หลินเมิ้งหยาสั่งให้คนเปิดประตู ก่อนจะเดินเข้าไปในคุกพร้อมกับกล่องดอกเบญจมาศเพียงคนเดียว

    ในมุมหนึ่งภายในห้องของคุกใต้ดิน ร่างกายของชิงหูผอมบาง เลือดที่เคยเป็นสีแดงสดกลับกลายเป็นสีดำคล้ำ เขาขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง ร่างกายสงบนิ่งประหนึ่งคนตาย

    “ลุกขึ้น ไม่ต้องแสร้งตายหรอก ลมหายใจของเจ้ายังคงสมดุลดี แม้จะต้องสูดเข้าไปนานหน่อยก็ตาม หากเข้ายังแสร้งตายแล้วละก็ ข้าจะปล่อยให้เจ้าตายไปจริงๆ”

    น้ำเสียงหวานใสดังก้องกังวาน

    ชิงหูที่อยู่ในมุมแห่งนั้นค่อยๆ ขยับตัว

    เขาเงยใบหน้าซูบตอบขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองดูหญิงสาวหน้าตาสวยงามตรงหน้า ริมฝีปากสีขาวซีดฝืนหยักยิ้มออกมา

    “เจ้า…เข้าใจเหยียดีเหลือเกิน แม้แต่ความสงสารสักนิดก็ไม่มี ยัยผีบ้า!”

    น้ำเสียงยังคงเหมือนเดิม ทว่าเสียงของเขากลับแหบแห้งจนนางรู้สึกผิดปกติ ใบหน้าหล่อเหลารูปไข่ดูอำมหิตขึ้นมาก

    แม้แต่ดวงตาเจ้าเล่ห์ประหนึ่งจิ้งจอกที่คิดจะแก้แค้นนางของเขายังมืดมนลง

    “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อหรืออย่างไร? ข้าเคยบอกเจ้าแล้วอย่างไรเล่าว่าให้เลิกใช้ยานั่นเสีย มิเช่นนั้นเจ้าจะต้องตาย!”

    ทว่าชิงหูกลับพิงกำแพงแล้วยิ้มเล็กน้อย

    ดวงตาไร้จิตวิญญาณ ราวกับว่าเขาได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว ร่างกายอ่อนแอ แม้แต่จะพูดยังต้องออกแรงส่งเสียง

    “เจ้าไม่เข้าใจโลกใบนี้หรอก หากข้าสูญเสียความสามารถไป เพียงพริบตาเดียวข้าก็จะถูกเสือจับกินแล้ว เจ้าเด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่? ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาเดียวที่ทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขคือการได้อยู่ในตำหนักของเจ้า ได้นั่งดื่มชาของเจ้าและกินขนมของเจ้า”

    น้ำเสียงเจือไว้ซึ่งความโดดเดี่ยวที่หลินเมิ้งหยาไม่เข้าใจ

    หากจะให้พูดแล้วละก็ นางกับชิงหูต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์จากอีกฝ่าย

    แม้สุดท้ายชิงหูจะถูกจับอยู่ในกำมือของนาง

    แต่ถึงกระนั้นชิงหูคนนี้ไม่เคยทำร้ายนางมาก่อนเลย

    ดังนั้นนางจะมอบโอกาสให้ชิงหูอีกครั้ง

    “ของชิ้นนี้ชื่อว่าหลงมั่ว ภายนอกเป็นเพียงดอกเบญจมาศร้อยลี้ธรรมดา แต่เมื่อบานแล้วจะเป็นยาพิษที่หายากที่สุดในโลก”

    หลินเมิ้งหยาวางหลงมั่วที่ถืออยู่ในมือลงตรงหน้าชิงหู

    นี่คือยาที่ถูกพบโดยบังเอิญโดยเจ้าของร้านว่าเหย้าเก๋อ

    หลงมั่วมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับดอกเบญจมาศ สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนคือเส้นสีแดงหนึ่งเส้นที่พาดบนกลีบดอก

    ของสิ่งนี้ประหลาดนัก แม้จะเป็นสีเหลืองนวล ทว่ามันกลับเป็นหนึ่งในยาพิษที่อันตรายที่สุด

    ทว่าใบของมันกลับเป็นยารักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างล้นเหลือ

    ดังนั้นมันจึงเหมาะกับร่างกายในตอนนี้ของชิงหูที่สุด

    “นี่มัน…ยาพิษหรือ?”

    ดวงตาของชิงหูกลอกกลิ้งลงมองดอกไม้สีเหลืองนวลบนพื้น

    “หลงมั่ว เมื่อถึงเวลาเติบโตเต็มที่ ต้นหญ้าจะไม่มีทางขึ้นอยู่ใกล้ๆ ภายในระยะห่างสิบลี้ และในช่วงเวลานั้นจะไม่มียาตัวใดเข้ามาควบคุมมันได้”

    “หากกินมัน? เหยียจะเป็นเช่นไร?”

    ทั้งที่เพิ่งพูดไปเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่ชิงหูกลับหลับตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

    หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำพลางเอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

    “มันสามารถทำลายยาพิษในร่างกายของเจ้าที่ได้รับก่อนหน้าได้ทั้งหมด เพียงแค่…ยาชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพเพียงสามปีเท่านั้น สามปีให้หลังดวงจิตของเจ้าจะดับสูญ ไร้ซึ่งทางรักษา”

    ราวกับว่าชิงหูได้เห็นเทพธิดาแห่งความตายภายในคุกใต้ดินแห่งนี้ ชิงหูมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างยากลำบาก

    เหตุใดทางเลือกที่นางมอบให้จึงมีเพียงความตายกันนะ?

    ราวกับว่าหลังจากที่ได้พบกับนางแล้ว หายนะพลันมาถึงตัวเขาทันทีอย่างไรอย่างนั้น

    “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระตามที่ข้าต้องการในระยะเวลาสามปี โดยไม่มีใครเข้ามาควบคุมข้าได้อีกต่อไปอย่างนั้นหรือ?”

    หลินเมิ้งหยาลังเลเล็กน้อย แล้วพยักหน้าลง

    ถูกควบคุมตลอดชีวิตกับการมีชีวิตอิสระเพียงสามปี ตัวเลือกนี้ไม่มีใครอาจบอกได้ว่าคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า

    “เฮ้อ เจ้านี่หนา เป็นตัวซวยของเหยียจริงๆ ไม่สิ เป็นดวงดาวผู้ช่วยชีวิตต่างหาก แม้จะได้ใช้ชีวิตอิสระเพียงแค่สามปี ไม่สิ แม้จะแค่สามวันก็นับว่าคุ้มค่า”

    ชิงหูถอนหายใจเบาๆ ถูกใส่กุญแจมือเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นเขากลับไปลังเลเลยที่จะหยิบดอกเบญจมาศขึ้นมา

    ใส่มันเข้าไปในปาก ออกแรงเคี้ยวแล้วกลืนลงไป

    “ดอกไม้ดอกนี้ภายนอกสวยงาม เหตุใดจึงรสชาติขมขื่นถึงขนาดนี้?”

    หลินเมิ้งหยายืนเงียบเฉียบอยู่อีกฝั่ง สายตาจ้องมองชิงหูที่กำลังกลืนดอกไม้ดอกนั้นลงกระเพาะไป

    แม้ของชิ้นนี้จะเป็นยาถอนพิษ แต่ถึงกระนั้นกลับมีประสิทธิภาพรุนแรง ดูเหมือนกำลังกายของชิงหูจะฟื้นตัวกลับมาแล้ว

    “เอ๋? เจ้าเด็กน้อย เหตุใดร่างกายของข้าจึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยเล่า?”

    ทั้งที่เตรียมรับความทรมานเอาไว้แล้ว แต่หลังจากรออยู่สักพัก ชิงหูเพิ่งพบว่าร่างกายของตนเองเพียงแต่อบอุ่นขึ้นเท่านั้นและไม่มีปฏิกิริยาอื่นใด

    หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เขา ก่อนจะยัดกลีบดอกไม้ที่เหลือใส่เข้าไปในปากของเขา

    “เจ้าคิดว่ามันเป็นยาวิเศษหรืออย่างไร? คิดหรือว่าจะต้องทรมานเพื่อแลกมันมา?”