เล่มที่ 3 บทที่ 73 ล้อเล่นอะไร

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ปัญญาอ่อน”

    หลินเมิ้งหยาถลึงตา ทว่านางกลับไม่ทำร้าย แต่มันกลับทำให้ชิงหูเจ็บปวด

    แสร้งแสดงท่าทีเจ็บปวดเจียนตายอีกครั้ง ทว่ามือกลับรับก้านดอกไม้จากมือหลินเมิ้งหยามาด้วยความอ่อนโยน

    “ข้ากินเองก็ได้ อย่าทำให้มือเจ้าต้องแปดเปื้อนเลย”

    แตกต่างจากตัวดอกอันขมขื่น ใบของดอกมีรสหวานแทรกซึมออกมาเล็กน้อย

    หลินเมิ้งหยายืนอยู่อีกฝั่ง สายตาจับจ้องชิงหูที่กินใบของดอกไม้จนหมดแล้ว หลังจากการกลืนครั้งสุดท้ายจบลง เสียงแผดร้องน่าอเนจอนาถดังขึ้น ร่างของชิงหูขดเข้าหากัน

    “นี่…ใบของมัน…เกิด…อะไรขึ้น?”

    ทั้งปวดทั้งคันจนรู้สึกอยากตาย

    แต่เพราะแขนขาของเขาถูกจองจำเอาไว้ เรี่ยวแรงในร่างกายเริ่มเหือดหายไปเพราะความเจ็บปวดทรมาน

    “ใบของมันมีฤทธิ์ในการรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไป หากเจ้าแบ่งกินเป็นสองส่วนจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอันใด แต่ถ้ากินเข้าไปพร้อมกันทีเดียวแล้วละก็ แม้ประสิทธิภาพของยาจะดีอย่างล้นเหลือ แต่เจ้าจะเจ็บปวดเจียนตายเลยล่ะ”

    ถือเป็นการทรมานเล็กๆ น้อยๆ ใครสั่งให้เจ้าเด็กนี่กล้าหักหลังนางกันเล่า

    แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็ทำเพื่อรักษาอาการของชิงหูแต่เพียงเท่านั้น

    หลังจากความเจ็บปวดอันแสนสาหัสผ่านพ้นไป ชิงหูเริ่มรู้สึกได้ว่าเรี่ยวแรงในร่างกายเริ่มกลับมาแล้ว

    มุมตาและมุมปากเผยให้เห็นความอ่อนโยน ชิงหูยกมือขึ้นเพราะอยากจะจับใบหน้าเรียวเล็กของตนเอง ทว่าหลินเมิ้งหยากลับร้องห้าม

    “อย่าจับ สิ่งเหล่านั้นคือยาพิษที่ออกมาจากร่างกายของเจ้า”

    กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยเข้ามาเตะจมูก ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่งยื่นเข้ามาเช็ดมุมตาของเขา

    “เอาล่ะ ข้าจะสั่งให้คนมาอาบน้ำให้เจ้า เท่านี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว”

    หลินเมิ้งหยามิได้คิดอะไรมาก นางทำเพียงเช็ดใบหน้าให้เขาธรรมดาเท่านั้น ก่อนจะเหยียดกายลุกขึ้น

    “สัญญาที่เจ้าได้ทำไว้กับข้าถือว่าเป็นอันยกเลิก หลังจากอาการของเจ้าดีขึ้นแล้ว เจ้าสามารถเลือกที่จะจากไปได้ ข้าไม่คิดรั้งเจ้าเอาไว้หรอก”

    หลินเมิ้งหยาสั่งให้คนเข้ามาถอดโซ่ตรวนบนร่างของชิงหูออก

    “เจ้าเด็กน้อย เหยียกลัวจะไม่มีเรื่องสนุกให้ทำ การได้อยู่ข้างกายเจ้าถือเป็นเรื่องน่าสนใจที่สุดของเหยีย”

    เสียงของชิงหูดังขึ้นที่ด้านหลัง

    หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มใสซื่อ ฝีเท้าชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะออกจากคุกไปเพียงลำพัง

    นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชิงหูกลายมาเป็นน้องชายคนหนึ่งของนางแล้ว

    แต่หากเขายังกล้าหักหลังนางอีก เช่นนั้นนางจะทำให้เขานึกเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้

    ห้องนั้นอยู่ลึกที่สุด หลินเมิ้งหยาเดินออกมาเพียงลำพังโดยไม่มีใครตามมาด้วย

    ใบหน้านวลงดงามมีเสน่ห์ สีหน้าแววตาใสซื่อไร้เดียงสาแต่กลับสุขุมเยือกเย็นเพิ่มความลึกลับชวนค้นหาขึ้นมาหลายเท่าตัว

    ดังนั้นคนที่อยู่ในคุกใต้ดินจึงให้ความสนใจกับการปรากฏตัวของนางค่อนข้างมาก

    ในคุกใต้ดินมิได้มีเพียงคนทำผิดคิดชั่วที่กำลังจะตายเท่านั้น ทว่ายังมีคนที่มีกำลังวังชาและกำลังผิวปากด้วยท่าทางรื่นรมย์ แต่กลับมิกล้าเอ่ยคำหยาบคายใดๆ ออกมา

    ราวกับว่ามิใช่เพียงนักโทษธรรมดา

    เส้นทางคดเคี้ยวของคุกใต้ดินมิได้เป็นเพียงเส้นทางเล็กๆ เท่านั้น

    ยิ่งอยู่ภายใต้ความมืดที่มีเพียงแสงริบหรี่จากเปลวเทียน หลินเมิ้งหยายิ่งหาทางเดินได้ยากยิ่ง ราวกับว่าที่นี่มิใช่ทางที่นางผ่านเข้ามาในตอนแรก

    บังคับฝีเท้าให้ก้าวช้าลง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าภายในคุกใต้ดินอันแสนอับชื้นแห่งนี้จะมีกลิ่นยาลอยตลบอบอวลออกมา

    หลินเมิ้งหยาเดินตามกลิ่นไปจนหยุดยืนอยู่หน้าห้องที่มิได้ทำการล็อกประตูเอาไว้

    มองดูประตูหินขนาดใหญ่ที่กำลังปิดสนิท หลินเมิ้งหยายื่นมือออกผลักด้วยความสงสัย

    ที่นี่มีคนประเภทไหนอยู่กันนะ?

    “ท่านหญิงจากที่ใดผ่านเข้ามาโดยไร้มารยาทเช่นนี้กันนะ หากคิดจะเข้ามาข้างใน อย่างน้อยก็ควรเอ่ยขออนุญาตก่อนมิใช่หรือ?”

    เสียงแหบแห้งของชายชราดังขึ้น หลินเมิ้งหยาตกใจจนตัวโยน

    นางรีบชักมือกลับ มองไปรอบๆ ทิศทาง ทว่าเสียงนั้นกลับดังมาจากภายใน

    “คุณชายโปรดอภัย ข้าเพียงแต่หลงทางมาเท่านั้น หาได้คิดเข้ามารบกวนท่านไม่”

    ในเมื่อเขาไม่ชอบถูกรบกวน เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาจึงเตรียมตัวเดินจากไป

    ทว่ายังไม่ทันที่จะขยับฝีเท้า เสียงของชายชรากลับดังขึ้นอีกครั้ง

    “ฮึ นังหนูคนนี้น่าสนใจจริงเชียว ไม่ว่าใครหน้าไหนต่างก็อยากเข้ามาในนี้ทั้งสิ้น แต่เจ้ากลับคิดจะจากไปโดยไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ หรือเจ้ากำลังเล่นละครตบตาข้าเหล่าซิ่วผู้นี้อยู่กระนั้นหรือ?”

    ได้ยินน้ำเสียงดูแคลนจากอีกฝ่าย หลินเมิ้งหยาเริ่มรู้สึกต่อต้านขึ้นมาเล็กน้อย

    “ข้าเพียงแต่เดินผ่านมาทางนี้เท่านั้น จู่ๆ จมูกก็ได้กลิ่นหอมของยาที่ท่านกำลังทำ ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจ หากท่านมิชอบการถูกรบกวน เช่นนั้นข้าจะไปบัดเดี๋ยวนี้ ท่านกับข้าหาได้รู้จักกันมาก่อนไม่ เหตุใดข้าจึงต้องแสร้งเล่นละครตบตาท่านด้วยเล่า?”

    ทัศนคติมิได้แสดงออกถึงการต่อต้านหรือยอมจำนน อีกทั้งยังเจือไว้ซึ่งความเย่อหยิ่งยโสโอหัง

    ชายชราผู้นี้หยิ่งยโสยิ่งนัก ที่นี่เป็นเพียงคุกใต้ดินเท่านั้น หาใช่สวรรค์ชั้นฟ้าของเทพเซียนไม่ เหตุใดนางจะต้องอยากเข้าไปข้างในด้วยเล่า

    “ฮ่าๆ นังหนูคนนี้ปากคอเราะรายจริงเชียว ถูกใจข้ายิ่งนัก หากเจ้าสงสัยแล้วละก็ เช่นนั้นจงเข้ามาดูเถิด”

    คนผู้นี้แปลกเสียจริง

    แต่ไหนแต่ไรมา คนที่มีความสามารถมักจะมีห้วงอารมณ์ที่แปลกประหลาดเสมอ

    หลินเมิ้งหยาปรับทัศนคติเสียใหม่ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเชื้อเชิญนางแล้ว เหตุใดนางจะต้องขัดขืนด้วยเล่า?

    ผลักประตูหินเข้าไป ตอนแรกหลินเมิ้งหยาคิดว่าจะได้เห็นห้องขังอันแสนมืดมิด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะเป็นห้องหรูหรา ทว่าเงียบสงบ

    มีเพียงเตียงหนึ่งหลัง อีกทั้งยังมีโต๊ะทำจากหินที่มีขวดวางเรียงราย

    ภายในดูเหมือนจะยังมีห้องเชื่อมต่อไปอีก ทว่าในนั้นกลับมืดมิดจนมองเห็นได้ไม่ชัด

    ทว่าภายในห้องแห่งนี้มีโต๊ะเก้าอี้และอุปกรณ์ทุกอย่างครบครัน ราวกับว่ามีคนอยู่อาศัยเป็นปกติอย่างไรอย่างนั้น

    กลิ่นของยาภายในห้องค่อนข้างฉุน หลินเมิ้งหยาสูดดมเข้าไป สมองพลันปรากฏรายชื่อยามากมายจนนางเกือบจะเป็นลมสลบไป

    ยามากมายขนาดนี้ หรือจะเป็นยาพิษ? ชายชราผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?

    “นังหนู ดื่มซิ”

    เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบ หลินเมิ้งหยารับขวดหยกมา เปิดจุกไม้ก๊อกสีน้ำตาลออก ภายในมีเม็ดยาขนาดเท่าเม็ดลำไยอัดแน่นอยู่ภายใน

    รูปร่างกลมกลึงละเอียดอ่อน

    ทว่านางกลับรับยาขวดนั้นไปแล้วตั้งใจสูดดมกลิ่นหอมของยาภายในห้อง

    “ยาพิษภายในห้องนี้ล้วนผ่านกรรมวิธีหลากหลายอย่างมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีพิษอีกต่อไป แต่ถึงกระนั้นกลิ่นก็แย่มากเหลือเกิน หากกินยาตันเหย้าตัวนี้เข้าไป จมูกก็จะมิได้กลิ่นอื่นใดอีก จากนั้นคงทำได้แต่เพียงนั่งปลอบใจตัวเองเท่านั้น”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้เจ้าของห้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

    ราวกับว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่าความลับของยาตันเหย้าจะถูกเปิดเผยออกมาจากปากของเด็กสาวผู้นี้

    ไม่นาน ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพลันเดินออกมาจากความมืด

    อายุราวห้าสิบกว่าปี สวมใส่ชุดสีแดงเข้ม ใบหน้ามีรอยตีนกา ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลอะเปรอะเปื้อนเพราะยังไม่ทันได้ทำความสะอาด

    รูปร่างสูงใหญ่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก แววตาสุขุม ดวงตามีรอยเส้นเลือดสีแดงเป็นเส้นๆ สีหน้ามัวหมอง ปากอ้าค้างขณะมองหน้าหลินเมิ้งหยาด้วยความตกตะลึง

    หลินเมิ้งหยามองอีกฝ่ายพร้อมทั้งเตรียมป้องกันตัว ชายคนนี้มีรูปร่างหน้าตาไม่ต่างอะไรจากขอทานจีนในตำนานเลยแม้แต่น้อย!

    การที่คนเราจะปล่อยปละละเลยกับตัวเองขนาดนี้ได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนโง่ แต่เขาเป็นคนบ้างานต่างหาก

    “เจ้ารู้ได้อย่างไร? ภายในห้องแห่งนี้มีตัวยามากถึงหนึ่งพันชนิด หรือว่าเจ้าสามารถแยกมันออกได้ทั้งหมด?”

    ชายคนนั้นยกมือทั้งสองข้างขึ้น ราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ

    หลินเมิ้งหยาขยับเท้าถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างไม่ไว้หน้า สายตาพลันมองหาสิ่งของที่พอจะนำมาป้องกันตัวได้

    หรือชายคนนี้จะเป็นพวกตาแก่โรคจิต?

    เคยได้ยินนักเรียนแพทย์จิตวิทยาพูดว่าเวลาคนที่จิตใจผิดปกติระบบอารมณ์จะยากมากต่อการควบคุม

    นาง…จะต้องระมัดระวังเอาไว้

    “ข้าไม่สามารถจำแนกออกมาได้ทั้งหมดหรอก เพียงแค่รู้บ้างเล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้น”

    หลังจากเอ่ยด้วยท่าทางมั่นใจจนจบ สีหน้าของชายคนนั้นพลันเผยให้เห็นถึงความผิดหวัง

    หมุนตัวกลับ ตาแก่โรคจิตเดินกลับไปล้างหน้า

    หลังจากใช้ผ้าเช็ดหน้าจนสะอาดแล้ว เขานั่งรถบนเก้าอี้ตัวใหญ่ฝั่งตรงกันข้ามหลินเมิ้งหยา

    “นังหนู ดูเหมือนเจ้าจะมีความรู้ทางการแพทย์?”

    หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของชายผู้นี้ แม้ผมเผ้าจะยังคงรกรุงรัง ทว่าใบหน้าหล่อเหลากลับเผยออกมาให้เห็น

    หากเทียบกับชายรูปงามที่ตนเองได้ประสบพบเจอแล้ว ท่านลุงตรงหน้าดูเป็นคนใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่

    หากเขาอยู่ในยุคปัจจุบัน รับรองเลยว่าสาวน้อยสาวใหญ่จะต้องหลงใหลเขาเป็นบ้าเป็นหลังอย่างแน่นอน

    ชายคนนี้เป็นคุณลุงที่หล่อเหลามากจริงๆ

    “ข้า…เพียงแค่รู้บ้างเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีประสาทสัมผัสว่องไวเกี่ยวกับยาพิษ”

    นอกจากประสาทสัมผัสว่องไวแล้ว บางครั้งนางยังรู้สึกงุนงงกับความสามารถของตนเอง

    แม้ส่วนใหญ่จะมีเรดาร์ในการตรวจจับที่มีประสิทธิภาพ แต่ถึงกระนั้นนางยังเป็นคน มิใช่เครื่องจักร

    หากข้างกายมียาพิษแม้เพียงเล็กน้อยและไม่เป็นอันตรายต่อตัวนาง ทว่าเรดาร์ในการตรวจจับยาพิษกลับร้องเตือนนางอย่างบ้าคลั่ง

    ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทานทนได้ เพราะแม้แต่ในความฝันยังปรากฏชื่อยาออกมาให้เห็น

    “โอ้? เพราะตอนนี้โลกใบนี้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นคนเราจึงไม่พูดคุยกันเรื่องยาพิษแล้วกระนั้นหรือ?”

    น้ำเสียงของท่านลุงรูปงามปิดน้ำเสียงดูแคลนเอาไว้ไม่มิด

    หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ แต่ถึงกระนั้นกลับมิได้แสดงท่าทีอันใดออกมา

    แม้นางจะโง่เขลาสักเพียงไหน แต่นางก็รู้แล้วว่าชายคนนี้ทำอาชีพอะไร

    เกรงว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ด้านการวิจัยยาพิษ อีกทั้งยังเก่งมากอีกด้วย

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย

    “ยาพิษเองก็มีส่วนดี แม้แต่ยาอายุวัฒนะเองก็มีข้อเสีย นั่นขึ้นกับว่าคนที่นำมันไปใช้จะเอาไปใช้ในทิศทางไหน มิต่างอะไรจากอาวุธ หากตกอยู่ในมือของคนดีก็จะกลายเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือผู้อื่น แต่ถ้าหากตกอยู่ในมือของคนชั่วก็จะกลายเป็นสิ่งทำลายผู้อื่น”

    เห็นได้ชัดว่าคำพูดของหลินเมิ้งหยาเข้าไปทิ่มแทงใจของท่านลุงผู้นั้น

    เขาจับจ้องมองสายตาของนาง ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความชื่นชม

    ยิ่งมีอุปนิสัยแปลกประหลาดมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีความจริงใจมากเท่านั้น

    ท่านลุงรูปงามตรงหน้ามักทำอะไรตามอำเภอใจ ซึ่งนั่นเป็นข้อแตกต่างจากคนปกติทั่วไป

    “อืม มีเหตุผล เช่นนั้นคนดีเป็นเช่นไร แล้วคนเลวเป็นเช่นไรกันเล่า?”

    คำถามคลุมเครือเช่นนี้ทำให้หลินเมิ้งหยาผงะ

    คนดี? คนเลว?

    ส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ย

    “บนโลกใบนี้หาได้มีคนดีอย่างหมดจดหรือไม่ แม้แต่คนเลวอย่างหมดจดก็หามีไม่ เพียงแค่สิ่งเหล่านั้นขึ้นอยู่กับความคิดของมนุษย์ก็เท่านั้น”

    “ใช่แล้ว! พูดได้ดี!! ข้าชอบคนคิดนอกกรอบเช่นเจ้ายิ่งนัก กฎระเบียบล้วนเป็นเพียงเรื่องหยาบช้าที่คนเรากำหนดขึ้นเท่านั้น การใช้ชีวิตโดยเชื่อฟังหัวใจของตนเองต่างหากที่จะทำให้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ นังหนู เจ้าสนใจจะเป็นลูกศิษย์ของข้าหรือไม่?”

    เฮลโหล! ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติมิใช่หรือ?

    นาง…แค่เดินผ่านทางมาเท่านั้นนะ