เล่มที่ 3 บทที่ 74 ได้รับโดยบังเอิญ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“แบบนี้…จะเร็วไปหรือไม่?”

    หน้าผากของหลินเมิ้งหยาปรากฏเส้นสีดำสามเส้น สมองของคนผู้นี้จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน

    หากต้องการมีลูกศิษย์ ก็มิควรเร่งรีบขนาดนี้มิใช่หรือ?

    “เร็ว? ถือว่าข้าใจร้อนไปหน่อยก็แล้วกัน นังหนู ข้าแซ่ป๋ายหลี่ ชื่อของข้ามีเพียงอักษรเพียงตัวเดียวคือรุ่ย เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องไถ่ถามให้มากความ ขอเพียงข้าไม่ทำร้ายเจ้าก็เพียงพอแล้ว”

    ป๋ายลี่รุ่ย? สกุลป๋ายหลี่พบได้ไม่บ่อยนัก หรือเขาจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับป๋ายหลี่อู๋เฉิน?

    “ท่านอา อู๋เฉินนำอาหารมาส่งให้ท่านขอรับ”

    เมื่อพูดถึงตัวซวย ตัวซวยก็มา

    ทว่าสีหน้าของป๋ายหลี่รุ่ยกลับเคร่งขรึมขึ้นมา ราวกับว่าเหตุเพราะหลินเมิ้งหยายืนอยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่อาจก่นด่าป๋ายหลี่อู๋เฉินออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น

    “เอาวางไว้แล้วออกไปได้ ต่อไปนี้ให้คนอื่นนำข้าวมาส่งให้ข้าก็พอ”

    น้ำเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งสายสัมพันธ์ลึกซึ้งใดๆ

    แม้หลินเมิ้งหยาจะเป็นคนนอก แต่จากมุมมองของนาง นางกลับเห็นได้ว่าร่างกายของป๋ายหลี่รุ่ยแข็งทื่อขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงของป๋ายหลี่อู๋เฉิน

    “ท่านอายังโกรธข้าอยู่อีกหรือ?”

    แม้จะมิได้รู้จักป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นการส่วนตัว

    แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงอันแสนเจ็บปวดของเขา

    “เลิกเล่นละครตบตาข้าได้แล้ว ข้าเคยบอกแล้วว่าข้ากับเจ้ามิมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก”

    เหตุใดความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงดูแปลกๆ เล่า?

    หลินเมิ้งหยานึกสงสัย แต่ถึงกระนั้นกลับยืนเงียบอยู่อีกฝั่งพลางมองใบหน้าเย็นชาของท่านอาตรงหน้า

    “ท่านอามีพระคุณต่ออู๋เฉินมาก อู๋เฉินไม่มีทางลืม แต่ท่านอ๋องเป็นเจ้านาย แม้แต่ท่านอาก็ยอมรับแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดจึงไม่ยอมยกโทษให้อู๋เฉินเล่า?”

    น้ำเสียงของป๋ายหลี่อู๋เฉินเจือไว้ซึ่งความเจ็บปวด นั่นเท่ากับว่าความรู้สึกที่เขามีให้ป๋ายหลี่รุ่ยลึกซึ้งเกินพรรณนา

    ในจวนมีนักวางแผนมากมาย ทว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็นหัวหน้าของคนเหล่านั้น

    หลงเทียนอวี้เองก็ยินยอมที่จะเลี้ยงดูเขา ถึงขั้นที่ว่ามอบหมายตำแหน่งหน้าที่ให้เขาทำเพียงผู้เดียว

    แต่พอมาลองดูตอนนี้ คนผู้นี้เองก็มีมุมอ่อนแอด้วยเช่นกัน

    “เจ้าคนไร้ยางอาย! เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นหลานของตระกูลป๋ายหลี่! ไปซะ! ไสหัวไป!”

    สายตาจ้องมองป๋ายหลี่รุ่ยที่กำลังระเบิดอารมณ์ หลินเมิ้งหยาไม่แม้แต่จะหักห้ามหรือพูดจาโน้มน้าว

    นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองอาหลาน ไม่ว่าจะมีความขัดแย้งกันมากขนาดไหน แต่นางเป็นเพียงคนนอก ดังนั้นเงียบไว้จะเป็นการดีที่สุด

    ราวกับว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินไม่คิดปฏิเสธ หลินเมิ้งหยาได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินจากไป

    “ทำให้เจ้าต้องเห็นเรื่องตลกเข้าแล้ว เฮ้อ…”

    ป๋ายหลี่รุ่ยที่เพิ่งจะระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อครู่ดูแก่ลงไปหลายสิบปี ราวกับว่าเขาต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีในการด่าทอป๋ายหลี่อู๋เฉิน

    “ช่วยไม่ได้ ข้าขอตัวลาก่อน เอาไว้วันหลังข้าค่อยมาหาท่านป๋ายหลี่แล้วกัน”

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด นางรู้สึกว่าตนเองไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ

    ป๋ายหลี่รุ่ยที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ไม่อาจรั้งนางเอาไว้ได้ทัน เขาปล่อยให้หลินเมิ้งหยากลับออกจากห้องหินแห่งนี้ไป

    ตกลงท่านอาที่มีสภาวะทางอารมณ์แปลกประหลาดคนนี้กับป๋ายหลี่อู๋เฉินมีเรื่องอะไรกันนะ?

    ขณะกำลังครุ่นคิดเรื่องของตนเอง หลินเมิ้งหยากลับมายังทางกลับตำหนักอีกครั้ง

    นางรีบร้อนออกมา โดยไม่ได้เข้าไปไถ่ถามป๋ายหลี่อู๋เฉินเลยแม้แต่น้อย

    จวนอวี้มีความลับมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็มีความลับเก็บซ่อนไว้เช่นเดียวกัน

    นางหาใช่คนสอดรู้สอดเห็นหรือมีความสามารถมากพอที่จะรู้เรื่องของคนทุกคนได้

    “พระชายา พระสนมเต๋อเฟยเชิญท่านไปคุยธุระเพคะ”

    ขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องของตนเอง หูของนางพลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น จึงผงะไปในทันที

    หันหน้ากลับ ก่อนจะพบว่าเป็นสาวใช้ของพระสนมเต๋อเฟยนามว่าจิ้งเยว่ จู่ๆ นางก็โผล่ขึ้นมาข้างกายตนเองเหมือนผี

    เมื่อเทียบกับน้าจิ่นเยว่แล้ว ท่านน้าจิ้งเยว่มีความสุขุมและเข้มงวดกว่าน้าจิ่นเยว่มาก

    “อืม ลำบากท่านน้าแล้ว”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าแสดงความเคารพ รีบเดินตามหลังจิ้งเยว่ไปยังตำหนักหยาเสวียน

    เมื่อเปิดประตู ได้เห็นพระสนมเต๋อเฟยสวมใส่ชุดของวังหลวงลายเมฆนั่งอยู่บนที่ประทับ

    ด้านข้างคือเจียงหรูฉินที่กำลังหัวเราะคิกคักอย่างน่ารัก ราวกับว่าพวกนางกำลังพูดคุยเรื่องขำขันบางอย่างอยู่ด้วยกัน แม้แต่หางตาของพระสนมเต๋อเฟยยังหยักยิ้มจนเผยให้เห็นริ้วรอย

    สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายที่สุดคือฝั่งตรงข้ามของเจียงหรูฉินคือซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่

    ราวกับแม่กำลังอบรมสั่งสอนลูกสาวอย่างไรอย่างนั้น ทว่าบรรยากาศในเวลานี้กลับดีมากกว่าแต่ก่อน

    “มามามา ข้ากับแม่ของเจ้ากำลังพูดถึงเจ้าในครั้นอดีต”

    หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะเดินมาถึง พระสนมเต๋อเฟยอดไม่ได้ที่จะร้องเรียกนางเข้าไป

    เจียงหรูฉินที่กำลังลำพองใจถูกแย่งตำแหน่งไปกะทันหัน ใบหน้านวลแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกไม่พึงพอใจ

    “เอ๋? ท่านแม่ยังจำเรื่องราวในวัยเด็กของข้าได้กระนั้นหรือ?”

    ตอนเด็ก? ฮึ นับตั้งแต่วันที่ซ่างกวนฉิงก้าวเท้าเข้ามาในจวน พี่ชายและตัวนางต้องทนทุกข์ระทมตั้งแต่นั้นมา

    ทั้งตกระกรรมลำบากและเฝ้าหวัง นอกจากท่านพ่อและพี่ชายแล้ว นางมิเคยได้รับความอบอุ่นเลย

    แล้วแบบนี้จะมีเรื่องเล่าน่ารื่นรมย์ได้อย่างไร

    “ใช่แล้ว สมัยยังเด็กหยาเอ๋อร์ค่อนข้างซุกซน หม่อมฉันที่เป็นแม่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแล คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะเติบโตเป็นสาวแล้ว ซ้ำยังได้เป็นถึงพระชายาอวี้พอคิดๆ ดูแล้ว หม่อมฉันยังรู้สึกไม่อาจแย่งห่างจากนางได้เลยเพคะ”

    ซ่างกวนฉิงเอื้อนเอ่ยราวกับเป็นเรื่องจริง แม้แต่ขอบตายังมีหยาดน้ำตาเอ่อออกมาให้เห็น

    เสแสร้งแสดงท่าทางเสมือนแม่ที่ไม่อาจแยกจากกับลูกสาวได้ แต่หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าตนเองในตอนนั้นต้องหนีเอาตัวรอดจากความเป็นความตายของลูกน้องซ่างกวนฉิงกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

    “ท่านแม่อย่าได้โศกเศร้าไปเลย พี่สาวแต่งงานเข้าจวนอวี้ หาได้แต่งงานไปที่ไหนไกลไม่ หากภายภาคหน้าคิดถึงท่านพี่ พวกเรายังสามารถกลับมาเจอกับนางได้นะเจ้าคะ”

    หลินเมิ้งหวู่เอ่ยแทรก เสแสร้งแสดงเป็นคนจิตใจดี

    ทว่าพระสนมเต๋อเฟยและหลินเมิ้งหยารู้ดีอยู่แก่ใจว่าสองแม่ลูกคู่นี้หาได้มีจิตใจดีอย่างฉากหน้าไม่

    “เจ้าพูดถูก จริงสิ รีบไปนำของขวัญของเหนียงเหนียงมา พระองค์ทำการต้อนรับหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันยังมิเคยมาถวายคำนับเลย ช่างเสียมารยาทจริงๆ”

    หลังจากผ่านการแสดงเมื่อครู่มาแล้ว ต่อมาเป็นการแสดงความสนิทสนมต่อบ้านของแม่สามีกระนั้นหรือ?

    หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองด้วยสายตาเย็นชา ไม่พูดอะไรมาก นางต้องการจะดูว่าสองแม่ลูกยังมีแผนเจ้าเล่ห์อะไรอีก

    ไม่นานสาวใช้ของซ่างกวนฉิงก็ยกกล่องไม้เข้ามา

    ซ่างกวนฉิงรับมาถือไว้ ก่อนจะเปิดฝากล่องออกจนเผยให้เห็นหยกแดงที่อยู่ภายใน

    หยกชิ้นนั้นเป็นสีแดง สุกใสเปล่งประกาย เพียงได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของมีราคา

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนตนเองเคยเห็นมันมาก่อน?

    “นี่เป็นของล้ำค่าที่สามีของหม่อมฉันนำมาจากเขตชายแดน อันที่จริงมิใช่ของมีราคาสูงมากมายอะไรนัก แต่ถึงกระนั้นกลับเป็นของหายาก เหนียงเหนียงลองตรองดูเถิดว่าพึงพอใจหรือไม่?”

    ไม่สิ ของชิ้นนี้หาใช่ของที่ท่านพ่อนำกลับมา!

    หลินเมิ้งหยาพยายามเค้นความทรงจำในสมอง ก่อนจะนึกออกว่าของชิ้นนี้เป็นของที่ฮองเฮามอบให้กับซ่างกวนฉิง

    บางทีอาจเพราะซ่างกวนฉิงรู้ว่าพระสนมเต๋อเฟยไม่มีทางรับของจากฮองเฮา ดังนั้นจึงแสร้งบอกว่าท่านพ่อเป็นคนนำกลับมา

    “โอ้? เป็นหยกแดงน้ำดีเลยทีเดียว แน่นอนว่าเป็นของหายากมาก จิ่นเยว่ เจ้ารีบนำไปเก็บเถิด ขอบคุณฮูหยินหลินในความหวังดี”

    “มิเป็นไรเพคะ ขอเพียงเหนียงเหนียงชอบ พวกเราก็รู้สึกโชคดีมีสุขแล้วเพคะ หวู่เอ๋อร์ ตอนนี้ค่ำแล้ว พวกเราอย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของพระสนมเลย ทูลลาเพคะ”

    ซ่างกวนฉิงลุกขึ้นพลางถวายคำนับ พระสนมเต๋อเฟยเองก็ลุกขึ้นเพื่อให้เกียรตินาง

    มองดูสองแม่ลูกเดินผ่านธรณ์ประตูของตำหนักหยาเสวียนกลับไป รอยยิ้มบนใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยจางหายไปเช่นกัน

    “หรูฉิน เจ้าเองก็กลับไปก่อนเถิด”

    เจียงหรูฉินกระทืบเท้าอย่างไม่ชอบใจนัก ทว่านางกลับไม่กล้าเอาแต่ใจ

    ตอนนี้ท่านป้าเอ็นดูหลินเมิ้งหยามากกว่านางที่เป็นหลานแท้ๆ ดังนั้นเจียงหรูฉินจึงรู้สึกเกลียดชังหลินเมิ้งหยาเป็นอย่างมาก

    “หมู่เฟย ไม่ทราบว่าตามหม่อมฉันมาด้วยเหตุอันใดหรือเพคะ?”

    พระสนมเต๋อเฟยจ้องมองด้านนอกประตู ร่างบางที่สวมใส่ชุดสีเหลืองนวลของเจียงหรูฉินจากไปแล้ว

    “ท่านอาคนโตของเจ้าส่งข่าวมาว่าการมาเยือนของฮ่องเต้หมิงในคราวนี้ก็เพื่อหาพระชายาให้กับองค์ชาย ท่านอาคนโตหวังเหลือเกินว่าหรูฉินจะได้ขึ้นเป็นชายาแห่งซีฟาน”

    พระสนมเต๋อเฟยรับสั่งด้วยท่าทางลังเล นางมิอาจทำใจแยกจากกับหลานสาวของตนเองและส่งนางไปแต่งงานกับองค์ชายแห่งบ้านป่าเมืองเถื่อนได้

    “เพล้ง” เสียงดังขึ้น ราวกับว่ามีของตกที่ด้านนอกหน้าต่าง

    จิ้งเยว่รีบรุดออกไปตรวจสอบ ก่อนจะกลับเข้ามายังตำหนัก

    “เกรงว่านกจะบินเข้ามาชนกระเบื้องหลังคาจนตกลงมาแตกเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำ ไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น

    กระเบื้องเคลือบบนหลังคามีน้ำหนักต่อชิ้นราวครึ่งกิโลกรัม หากเอ่ยว่านกบินมาชนจนตกลงมาแตก แสดงว่านกตัวนั้นเป็นนกแร้งกระนั้นหรือ?

    “อ้อ เช่นนั้นก็ดี วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อปรึกษาว่าควรทำเช่นไรหรูฉินจึงได้ถูกองค์ชายเลือกในวันงานเลี้ยง”

    พระสนมเต๋อเฟยเพิกเฉยต่อการถูกขัดจังหวะเมื่อครู่ แม้จะไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายนางก็ยังมีแผนสำหรับตัวเอง

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด กลับรู้สึกว่าเจียงหรูฉินเป็นคนอารมณ์ร้อนและเห็นแก่ตัว คนเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะถูกเลือก

    “หม่อมฉันจะลองปรึกษากับท่านอ๋องดูเพคะ หมู่เฟยได้โปรดวางพระทัย”

    แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้จะต้องปรึกษากับหลงเทียนอวี้ก่อนจะตัดสินใจอะไรได้

    ดูเหมือนว่าคลื่นลูกเก่ายังไม่ทันซา คลื่นลูกใหม่ก็สาดซัดเข้ามาแทนที่เสียแล้ว

    กลับจากตำหนักหยาเสวียน หลินเมิ้งหยาขังตัวเองอยู่ภายในตำหนักนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน โดยห้ามมิให้ใครเข้าใกล้

    สาวใช้ทั้งสาม รวมถึงหลินจงอวี้ล้วนถูกสั่งให้อยู่ด้านนอก

    จนกระทั่งเช้าของวันถัดมา หลินเมิ้งหยาจึงเปิดประตูห้อง

    เพียงเดินออกมาก็ได้เห็นคนทั้งห้ากำลังสุมหัวกันอยู่หน้าประตู

    อาการตกตะลึงเผยให้เห็นในแววตาขณะจ้องมองบุคคลที่ห้า ชายหน้าตาหล่อเหลาเจ้าเล่ห์คนนี้เป็นใคร? เหตุใดเขาจึงสวมใส่ชุดองครักษ์ของจวน แต่กลับนั่งยองๆ อยู่หน้าประตูตำหนักของนาง?

    “ออกมาแล้ว! พี่สาว พวกเราเป็นห่วงท่านมากเลยนะ!”

    หลินจงอวี้เป็นคนแรกที่เห็นหลินเมิ้งหยา ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกาย เขารีบพุ่งตัวเข้าไปเตรียมโอบกอดหลินเมิ้งหยา

    ทว่าเขากลับถูกมือหนาคู่หนึ่งคว้าเอาไว้แน่น

    “เหยียยังไม่ได้กอดเลย จะถึงตาเจ้าได้อย่างไร?”

    น้ำเสียงยียวนระคนยั่วยุ ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเบิกกว้างพลางจับจ้องใบหน้างดงามมีเสน่ห์กว่าหญิงสาวของชิงหู

    เหตุใดเวลาเพียงคืนเดียวกลับทำให้เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้เล่า?

    “เป็นอะไรไป? จำเหยียไม่ได้แล้วหรือ? หรือเพราะเหยียหล่อขึ้น ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าเหยียจะเปลี่ยนไปสักเพียงไหน ทว่าหัวใจของเหยียเป็นของเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”

    น้ำเสียงกวนประสาทหาความเป็นจริงไม่ได้เช่นนี้จะต้องเป็นชิงหูอย่างแน่นอน

    สายตาของหลินเมิ้งหยาเผยความประหลาดใจ มองดูร่างของเด็กหนุ่มที่เคยสูงไล่เรียงกับนางคนก่อน เวลาเพียงคืนเดียวทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว

    นี่มัน…ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!