เล่มที่ 3 บทที่ 75 จุดธูปไหว้พระ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“เจ้า…คือเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ใกล้ตายคนนั้นจริงหรือ?”

    หลินเมิ้งหยายังคงรู้สึกไม่เชื่อ เรื่องนี้มันประหลาดมากจนเกินไปมิใช่หรือ?

    แต่กลับได้เห็นชายที่กำลังถูกสงสัยว่าเป็นชิงหูพยักหน้าลงอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาเย้ายวนจ้องมองทางนางราวกับต้องการจุดประกายไฟ

    ท่าทางไร้ยางอายเช่นนี้ทำให้หลินเมิ้งหยามั่นใจแล้วว่าชายตรงหน้าคือชิงหู

    “เฮ้อ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าร่างกายของเหยียถูกทรมานสาหัสสากรรจ์มากขนาดไหน”

    พิษภายในร่างกายถูกดอกหลงมั่วให้สมดุลกัน ร่างกายเสมือนถูกสะกด ดังนั้นเวลาเพียงคืนเดียวร่างกายของเขาจึงกลับมาเป็นปกติดังเดิม

    แต่เพราะฤทธิ์ของดอกไม้และใบของมันทำให้เขาไร้ซึ่งกำลังวังชา

    ความเจ็บปวดรวดร้าวกัดเซาะเข้าไปในกระดูก กระดูกที่เคยแหลกสลายทั้งหมดกลับมาหล่อหลอมรวมกันใหม่อีกครั้ง

    ดังนั้นนักโทษที่อยู่ในคุกใต้ดินล้วนได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของเขา

    หากเป็นคนขี้อาย เกรงว่าจะต้องแสร้งทำเป็นคนใจกล้าเพื่อที่จะเดินออกมา

    มองดูเขาที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องของตัวเองด้วยท่าทางเกียจคร้าน อีกทั้งยังแอบหยิบนู่นกินนี่ ก้มก้มเงยเงยมองสำรวจไปถ้วนทั่ว ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็มั่นใจจริงๆ

    “สูงขนาดนี้ไม่เป็นอะไรแน่หรือ? อย่างกับต้นไผ่”

    หลินเมิ้งหยาอดส่งเสียงบ่นอุบไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นนางก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้กับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของชิงหู

    “จริงสิ เจ้าขังตัวเองไว้ในห้องทำไม?”

    มือที่กำลังจับร่างกายของชิงหูเพื่อทำการวิจัยสำรวจความผิดปกติอยู่นั้นหยุดกึกทันทีที่ได้ยินคำถามของเขา

    “อ๋อ ข้าแค่เหนื่อยเลยนอนหลับไปเท่านั้น”

    หลังจากกลับมาจากห้องหินของป๋ายหลี่รุ่ย นางรู้สึกมึนหัวเป็นอย่างมาก

    พอได้นอนก็หลับไปนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนกว่าจะฟื้นขึ้นมา

    บางทีอาจเพราะสมองของนางประมวลผลหนักเกินไปก็เป็นได้ จะมีใครที่ไหนสามารถอดทนรับข้อมูลชื่อยาจำนวนมากมายมหาศาลขนาดนั้นได้กัน

    “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เจ้าเด็กน้อย ต่อจากนี้ไปข้าขอเป็นองครักษ์ประจำตัวเจ้าได้หรือไม่?”

    เขาสำรวจสีหน้าท่าทางของหลินเมิ้งหยาอย่างละเอียด เมื่อมั่นใจแล้วว่านางไม่เป็นอะไร เขาจึงเริ่มเอ่ยวาจายียวน

    ดวงตาเรียวยาวประหนึ่งจิ้งจอกดูเย้ายวน หลินเมิ้งหยากลับหัวเราะตาหยีแล้วยกมือขึ้นหยิกใบหูข้างหนึ่งของเขา

    “ประจำตัว? เช่นนั้นต้องตัวติดกันขนาดไหนกันเล่า?”

    น้ำเสียงอ่อนโยนเรียกความสนใจจากอีกสี่คนที่เหลือ

    โดยเฉพาะหลินจงอวี้ หลังจากที่ได้เห็นพี่สาวของตัวเองอยู่ชิดใกล้กับเจ้าคนที่จะว่าหญิงก็ไม่ใช่จะว่าชายก็ไม่เชิงคนนั้นแล้ว สายตาที่จ้องมองพลันเปี่ยมไปด้วยความอำมหิต

    “คิกๆ…เรื่องนั้นหรือ ถ้าอยากจะตัวติดแนบชิดกันขนาดไหนก็จะถวายให้ตามแต่ใจต้องการนั่นแล”

    ก้มหน้าแสร้งทำทีขวยเขิน ทว่ากลับถูกหลินเมิ้งหยาหยิกหูจนร้องโอดโอย

    “ไอ้หยา! เจ็บเจ็บเจ็บเจ็บ…เจ้าเด็กน้อย ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่พูดจาไร้สาระอีกแล้ว เหยียผิดไปแล้ว เหยียผิดไปแล้ว รีบปล่อยมือเถิด”

    หลินเมิ้งหยาออกแรงบิดหูของชิงหู อายุของเขาแทบจะเทียบเท่ากับอายุของป๋ายหลี่รุ่ยในคุกใต้ดินอยู่แล้วแท้ๆ

    แต่กลับยังเล่นซุกซนไม่เหมาะสมกับช่วงวัย คิดจริงๆ หรือว่าใบหน้าเยาว์วัยเรียวเล็กรูปไข่จะสามารถปกปิดความเป็นขิงแก่ของตนเองได้?

    ชิ ฝันไปเถอะ!

    “สมน้ำหน้า!” หลินจงอวี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นชิงหูเจ็บปวด เข้ารีบเข้าไปไล่ชิงหูที่กำลังยกมือประคบใบหูของตนเองด้วยท่าทางไม่พอใจ จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้แล้วนำของที่อยู่ในมือให้หลินเมิ้งหยาดูด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ

    “พี่สาว ท่านดูนี่สิ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าหยกน้ำตานางเงือก หากสวมใส่ไว้บนร่างกายจะไม่เพียงส่งกลิ่นหอมออกมา แต่ยังสามารถขับไล่ยุงหรือพวกแมลงออกไปได้ด้วย ท่านชอบหรือไม่?”

    วางหยกชิ้นนี้ลงในมือหลินเมิ้งหยาเช่นเดียวกับหยกขาวชิ้นก่อนหน้า

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าความสงสัยจะเกิดขึ้นในแววตาของหลินเมิ้งหยา

    ราวกับ…ไม่ใช่เสี่ยวอวี้คนเดิม

    แม้เขาจะยังเป็นน้องชายอันแสนน่ารักเมื่ออยู่ต่อหน้านาง

    แต่ว่าของสำคัญหายากเหล่านี้หาใช่สิ่งของที่เอ่ยเพียงว่าเก็บมาได้หรือเป็นมรดกตกทอดของตระกูลแล้วจะจบ

    นางพยายามกักเก็บคำถามเอาไว้

    ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสของเขา นางกลับไม่อยากรู้คำตอบอีกต่อไป

    “อืม ขอบใจเจ้ามาก”

    เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้

    ขอเพียงเสี่ยวอวี้ไม่ได้รับอันตราย นางก็ไม่คิดหักห้าม

    ลูบไล้ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ของเสี่ยวอวี้ ใบหน้าที่เคยซูบตอบเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นหลังจากที่นางเสริมอาหารการกินให้กับเขา

    “พี่สาวชอบมาก พี่จะใส่ทุกวันอย่างแน่นอน”

    แม้แต่เด็กน้อยก็มีความลับของตนเอง เขาโตแล้วจริงๆ

    บรรยากาศภายในตำหนักหลิวซินค่อนข้างผ่อนคลาย

    แม้ด้านนอกจะมีลมพายุโหมกระหน่ำขนาดไหน ทว่าคนที่อยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยาล้วนรู้สึกจิตใจสงบ

    ฮ่องเต้หมิงพาองค์ชายและองค์หญิงมาถึงเมืองหลวงแล้ว

    ทุกวันหลงเทียนอวี้ยุ่งกับการพาฮ่องเต้หมิงไปท่องเที่ยว ส่วนงานเลี้ยงต้อนรับฮ่องเต้หมิงจะเริ่มในอีกห่าวันข้างหน้า

    ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หัวใจของหลินเมิ้งหยารู้สึกกระสับกระส่ายไม่สงบนิ่งดั่งเดิม

    บางทีอาจเพราะช่วงนี้พระสนมเต๋อเฟยมักจะปรึกษานางเรื่องจะทำให้เจียงหรูฉินโดดเด่นที่สุดในงานเลี้ยงได้อย่างไร

    “พระชายา? พระชายา?”

    จิ่นเยว่มองพระชายาที่กำลังเหม่อลอยด้วยความสงสัย ดังนั้นจึงกระตุกชายเสื้อของนางพลางส่งเสียงเรียก

    “มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”

    หลินเมิ้งหยาได้สติกลับมา สายตามองทางจิ่นเยว่ ทว่าสายตากลับกระวนกระวาย เห็นได้ชัดว่านางมิได้ฟังสิ่งที่จิ่นเยว่พูดเลยแม้แต่น้อย

    “หนู่ปี้กำลังพูดว่าหากพระชายาติดตามพระสนมเต๋อเฟยไปไหว้พระขอพรที่วัดว่านฝ๋อคราวนี้ จะต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษนะเจ้าคะ เหตุเพราะฮ่องเต้หมิงมาเยือนเมืองหลวง ดังนั้นจึงมีคนแปลกหน้าอยู่บนถนนค่อนข้างมาก แม้พวกพระองค์จะนั่งรถม้าไป แต่ระมัดระวังตัวเอาไว้จะดีที่สุด”

    จิ่นเยว่เอ่ยกำชับเพราะความกังวล มือไม้จับเตรียมของที่ต้องใช้ในการไหว้พระขอพร

    แม้พระสนมเต๋อเฟยจะประทับอยู่ในจวนอวี้ แต่ถึงกระนั้นก็มิสามารถออกไปด้านนอกตามอำเภอใจได้

    ดังนั้นทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของทุกเดือน พระสนมเต๋อเฟยจึงมักไปไหว้พระขอพรที่วัดว่านฝ๋อในแถบชายแดนของเมืองหลวง

    ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คราวนี้พระสนมเต๋อเฟยจึงต้องการพาพระชายาออกไปด้วยกัน

    แต่เพราะพระชายายังเด็ก ดังนั้นเกรงว่านางจะไม่คุ้นเคยกับวัดวาอารามเสียเท่าไร

    “วางใจเถิด น้าจิ้งเยว่ก็ไปด้วยมิใช่หรือ? หากมีสิ่งไหนไม่เข้าใจ ข้าก็สามารถถามนางได้”

    หลินเมิ้งหยากลับไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย เหตุเพราะเป็นการไปไหว้พระขอพรแต่เพียงเท่านั้น

    แม้คนแปลกหน้าจะเยอะแต่ก็มิใช่ปัญหา หลงเทียนอวี้มักจะส่งองครักษ์ไปคอยคุ้มกันทุกครั้งที่ไปไหว้พระอยู่แล้ว

    เก็บของอยู่สักพัก เสี่ยวซีประจำตัวของหลงเทียนอวี้วิ่งมาแจ้งข่าวที่ตำหนักหยาเสวียน

    “พระชายา ท่านอ๋องส่งข้าน้อยมาทูลแจ้งว่าคืนนี้จะอยู่เสวยอาหารค่ำกับองค์ชายรัชทายาทแห่งซีฟาน ดังนั้นอาจจะค้างแรมที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”

    เสี่ยวซีถ่ายทอดคำสั่งของหลงเทียนอวี้ด้วยท่าทางนอบน้อมถ่อมตน หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลงแล้วบอกให้ออกไปได้

    “ท่านอ๋องดีกับพระชายาเหลือเกิน”

    ทั้งสองแต่งงานกันราวสามเดือนแล้ว แม้หลงเทียนอวี้จะไม่พูดอะไรมากมายนัก ทว่าเขากลับปกป้องและให้เกียรติหลินเมิ้งหยาเป็นอย่างมาก

    คนที่รู้จักอุปนิสัยใจคอของหลงเทียนอวี้ดีล้วนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

    “นั่นสิ ท่านอ๋องดีกับข้าเหลือเกิน”

    ครึ่งเดือนแล้วสินะที่ไม่ได้เห็นเขา

    แม้พวกเขาจะอาศัยอยู่ในจวนเดียวกัน ทว่าต่างฝ่ายต่างยุ่งอยู่กับงานของตนเอง

    วันนี้เป็นวันที่สิบห้า เช่นนั้นคืนนี้เขาจะ…

    หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าตนเองไร้ซึ่งทางเลือกขึ้นมาเล็กน้อย เขาควรจะอยู่ที่นั่นจึงจะเป็นการดีที่สุด อย่ากลับมาเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นนางคงต้องเขย่าเตียงทั้งคืน!

    สวรรค์โปรด การอดหลับอดนอนมันไม่ดีต่อผิวพรรณหรอกนะ!

    น้าจิ่นเยว่เข้าใจหลินเมิ้งหยาผิดไป นางหลงคิดว่าหลินเมิ้งหยากำลังโศกเศร้า ขณะที่คิดจะเบี่ยงเบนความสนใจของนาง นางกลับได้เห็นหัวหน้าองครักษ์หลินขุยเดินเข้ามายังตำหนักหยาเสวียน

    “พระชายา อาหารและเสื้อผ้าที่ใช้สำหรับถวายพระนำใส่รถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์กำลังนับจำนวนพลและรออารักขาอยู่ด้านนอก ไม่ทราบว่าจะออกเดินทางเมื่อไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

    แม้หลงเทียนอวี้จะไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการ ทว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อยในจวนล้วนต้องอาศัยการตัดสินใจจากหลินเมิ้งหยาทั้งสิ้น

    เหล่าผู้ดูแลล้วนเคยชินกับการทูลถามหลินเมิ้งหยาแล้ว

    ถึงจะเป็นเรื่องใหญ่ในจวนนางก็สามารถจัดการได้เป็นอย่างดี แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยยังคาดไม่ถึง

    ส่วนคนที่ถูกส่งมาช่วยงานอย่างจิ่นเยว่ มักจะกลับไปบอกเล่าถึงความดีงามของพระชายาให้เจ้านายของตนเองฟัง อีกทั้งยังชมเปาะไม่ขาดปาก

    เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างพากันชื่นชมนายหญิงที่แม้จะเข้มงวดแต่ก็ไร้ซึ่งความแข็งกร้าวคนนี้เป็นอย่างมาก

    “พวกเจ้ารอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปเชิญพระสนมเต๋อเฟยก่อน จริงสิ เจ้าจงไปบอกพ่อบ้านเติ้งให้จดชื่อของคนรับใช้ที่บริจาคเสื้อผ้าเก่าในครั้งนี้เอาไว้ เมื่อต้องการตัดเสื้อผ้าในฤดูหนาวจะได้สนับสนุนเงินช่วยเหลือ”

    “พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะไปเตรียมการบัดเดี๋ยวนี้”

    จิ่นเยว่แอบพยักหน้าลง แม้พระชายาจะอายุยังน้อย ทว่ากลับมีเมตตากรุณา

    เพราะเหตุนี้ทั้งหัวใจของเจ้านายและคนรับใช้ในจวนแห่งนี้จึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสินะ

    “หนู่ปี้จัดการเองเพคะ พระชายาไปทูลเชิญพระสนมเถิด”

    หลินเมิ้งหยามองดู ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องเก็บแล้ว พยักหน้าลงและเข้าไปยังห้องหลักของตำหนัก

    ไม่มีการประกาศแจ้งเตือนใดๆ ไม่นานรถม้าทั้งสามคันของจวนอวี้ก็แล่นออกไปบนถนนใหญ่ช้าๆ

    หลินเมิ้งหยาและพระสนมเต๋อเฟย รวมถึงสาวรับใช้ส่วนตัวนั่งอยู่ในรถม้าที่กว้างที่สุดคันหน้า

    พระสนมเต๋อเฟยพาจิ้งเยว่มาเพียงคนเดียว ส่วนหลินเมิ้งหยาพาป๋ายจีและป๋ายจื่อมาด้วย

    บนรถม้า พระสนมเต๋อเฟยนอนเอนกายอย่างผ่อนคลายบนผ้าขนแกะนุ่มนิ่มที่ถูกวางเอาไว้เป็นพิเศษ เหตุเพราะต้องไปไหว้พระ ดังนั้นจึงสวมใส่เพียงชุดสีเขียวอมน้ำเงิน ปกเสื้อคาดไว้ด้วยเข็มขัดทองปักลายเมฆ

    นอกจากความสง่างามแล้ว ยังเสริมให้น่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังดูเหมือนฮูหยินผู้ร่ำรวยในตระกูลชั้นสูง

    “หมู่เฟย นี่เป็นชาที่ป๋ายจีชง พระองค์ลองจิบดูสิเพคะว่าถูกปากหรือไม่?”

    หลินเมิ้งหยาเป็นผู้น้อย ดังนั้นสาวใช้ของนางจึงต้องทำงานทุกอย่างภายในรถม้า

    นางอายุยังน้อย มิเคยถูกกฎระเบียบของวังหลวงกดดัน ดังนั้นใบหน้านวลอนงค์จึงเปี่ยมไปด้วยความงามสง่าประหนึ่งนางฟ้าบนสวรรค์เก้าชั้นก็มิปาน

    “พอได้แล้ว เจ้าอย่าได้ยุ่งยากลำบากเลย เวลาเพียงครู่เดียวแต่เจ้าทั้งเตรียมพรมขนแกะและชงชาให้ข้าอีก แค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว”

    พระสนมเต๋อเฟยรู้สึกดีกับหลินเมิ้งหยามากขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจเพราะไขข้อข้องใจแล้วเรียบร้อย ดังนั้นยิ่งวันเวลาผ่านไปเท่าใด ความรักและเอ็นดูที่มีให้กับนางยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

    ไม่รู้ว่าหลินเมิ้งหยาไปเรียนรู้วิธีการทำงานมาจากที่ใด

    เมื่อมีเวลาว่าง นางมักจะลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเอง หากไม่มีเวลาว่าง นางมักจะกำชับคนรับใช้ข้างกายของพระสนมเต๋อเฟยอย่างละเอียด

    ครึ่งเดือนที่ผ่านมา พระสนมเต๋อเฟยรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย จนสุดท้ายนางไม่อาจทำใจห่างจากลูกสะใภ้คนนี้ได้

    “หมู่เฟยชมเกินไปแล้วเพคะ การถวายการรับใช้เป็นหน้าที่ของลูกสะใภ้นะเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเล็กน้อย เอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนน้อมถ่อมตัว

    ขณะที่คิดจะเล่าเรื่องตลกให้พระสนมเต๋อเฟยฟัง อยู่ๆ ด้านนอกก็เกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายขึ้น