หลินเมิ้งหยาส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้ป๋ายจีที่อยู่ด้านหลัง นางรีบผลักประตูหลังออกไปดูทันที
ได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวายชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
โชคดีที่องครักษ์ของจวนกำลังคุ้มครองรถม้าอยู่ ดังนั้นราษฎร์จึงมิอาจย่ำกรายเข้ามาประชิดรถม้าได้
“นายหญิง เป็นพวกลี้ภัยนอกเมืองมาล้อมรถม้าเพื่อขออาหารกินเจ้าค่ะ หนู่ปี้เป็นผู้สั่งให้องครักษ์นำอาหารและเสื้อผ้าเก่าไปแจกจ่ายแก่คนเหล่านั้นแล้วเจ้าค่ะ”
ป๋ายจีเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว เมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้ลี้ภัยและเป็นคนยากคนจน นางจึงสั่งห้ามองครักษ์ทำร้ายคนเหล่านั้น
“อืม ดีมาก หมู่เฟยคิดเห็นเช่นไรเพคะ?”
พระสนมเต๋อเฟยพยักหน้าลง นางเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ทุกครั้งที่ออกมาไหว้พระก็มักจะนำของมาบริจาคด้วยทุกครั้ง
“เจ้าเด็กคนนี้ทำได้ดีมาก อันที่จริงของพวกนี้ก็นำมาเพื่อแจกคนยากคนจนอยู่แล้ว ในเมื่อคนเหล่านั้นมาแล้ว พวกเราจะเก็บไว้ก็ใช่เรื่องมิใช่หรือ?”
หลินเมิ้งหยาแอบแหวกผ้าม่านออกเล็กน้อย มองดูเหตุการณ์ภายนอก ล้วนเป็นพวกยาจกสวมใส่ชุดขาดวิ่น
สิ่งที่พวกนางจะให้ได้เป็นเพียงของเล็กๆ น้อยๆ หากจะแก้ปัญหาความยากจนของทั้งประเทศ คงมิอาจพึ่งกำลังของพวกนางเพียงฝ่ายเดียว
ผู้มีอำนาจรู้จักเพียงการพึ่งพาอาศัยกัน แก่งแย่งชิงดีผลประโยชน์ของกันและกัน แต่พวกเขากลับลืมรากฐานที่สำคัญของประเทศอย่างพวกผู้ลี้ภัยเหล่านี้
ผู้ลี้ภัยถูกอาหารและเสื้อผ้าเบี่ยงเบนความสนใจ ในที่สุดรถม้าก็สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้
วันนี้เป็นวันดีในการไหว้พระขอพร ตลอดทั้งเช้าล้วนมีรถม้าของตระกูลขุนนางทั้งหลายเดินทางเข้ามายังตีนเขาไม่ขาดสาย
โชคดีที่พระสนมเต๋อเฟยเป็นแขกคนสำคัญของวัด ดังนั้นจึงมีเณรน้อยรออยู่ที่หน้าประตูวัดด้วยความหวังอยู่ก่อนแล้ว
“ถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟย อาตมามีนามว่าชิงเยว่ พระสนมเต๋อเฟยทรงมีความเมตตากรุณาเหลือเกิน”
เณรน้อยอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น ใบหน้ากลมกลึงรูปไข่ ขนคิ้วละเอียดอ่อน สวมใส่จีวรเรียบง่าย แต่กลับดูน่าเลื่อมใสยิ่งนัก
“ท่านกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
นิ้วมือทั้งสิบของพระสนมเต๋อเฟยประกบกัน ก่อนจะทำความเคารพ จากนั้นเดินตามหลังเณรรูปนั้นขึ้นบันไดหินไป
“ป๋ายจี เจ้าคอยดูแลรถม้าอยู่ที่นี่ ป๋ายจื่อจงไปที่วัดกับข้า หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นจงรีบมารายงานข้าทันที”
พยักหน้าลง ป๋ายจีจึงรออยู่ที่รถม้า
มีคนมาไหว้พระค่อนข้างมาก แต่ถึงกระนั้นสถานะของพระสนมเต๋อเฟยและหลินเมิ้งหยากลับสูงศักดิ์กว่าคนเหล่านั้นทั้งหมด
แต่เพราะความแออัด ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจว่าใครสูงศักดิ์กว่าใคร
เวลาเพียงไม่นาน หลินเมิ้งหยาและป๋ายจื่อก็ต่อแถวอยู่ทางด้านหลัง ตรงกลางมีแขกที่มาไหว้พระกั้นไว้ประมาณสองสามคน
นอกจากสามเณรภายในวัด องครักษ์ล้วนรออยู่ที่ตีนเขา
ใบหน้าของหลินเมิ้งหยางดงามเกินกว่าใคร ทว่านางกลับแต่งตัวเรียบง่าย ดังนั้นจึงมิได้ดึงดูดความสนใจจากใคร
วัดโบราณแห่งนี้เงียบสงบและสวยงาม น้าจิ้งเยว่เข้ามาถ่ายทอดคำสั่งของพระสนมเต๋อเฟยว่าให้นางเดินเล่นไปก่อน
พาป๋ายจื่อไปหาพื้นที่โล่ง จนในที่สุดก็เดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังวัดซึ่งอยู่หลังภูเขา
ที่นี่มีคนเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่เป็นฮูหยินที่อายุยังน้อย ทว่าที่นี่เงียบสงบมากเหลือเกิน
“นายหญิง มานั่งพักที่นี่ให้หายเมื่อยขาเถิดเจ้าค่ะ หากรู้ว่าที่วัดมีคนมามากมายขนาดนี้ หนู่ปี้คงขอร้องให้ตัวเองได้อยู่ที่จวนแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
ใบหน้าเรียวเล็กน่ารักแสดงอาการไม่พอใจ ป๋ายจื่อหยิบกล่องขนมที่อยู่ในอ้อมกอดออกมา
ค่อยๆ เปิดกล่องไม้สีแดงลายดอกเหมยออกด้วยความระมัดระวัง ภายในบรรจุขนมรับประทานคู่กับน้ำชาเอาไว้สิบกว่าชิ้น
หยิบหนึ่งชิ้นเข้าปาก ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่จึงเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น
“เฮ้อ เจ้านี่หนา! ไปที่ไหนก็กินที่นั่น ข้าว่าข้าควรหาบ้านสามีที่ทำขนมให้เจ้าจะดีกว่า มิเช่นนั้นหากเจ้าแต่งงานกับคนธรรมดาคงกินจนบ้านเขากลายเป็นยาจกอย่างแน่นอน!”
หลินเมิ้งหยาเคาะศีรษะป๋ายจื่อ สมัยเด็กนางไม่เคยรู้เลยว่าเด็กคนนี้จะกินเก่งขนาดนี้
บางทีอาจเพราะจวนเจิ้นหนานโหวปฏิบัติกับนางไม่ดี ดังนั้นเมื่อมาอยู่ที่จวนอวี้ นางจึงกินทุกอย่างตามใจตนเอง
“คุณหนูเป็นคนซื้อขนมกล่องนี้ให้หนู่ปี้มิใช่หรือเจ้าคะ? หนู่ปี้เพียงแต่กินตามคำสั่งเท่านั้น จริงสิเจ้าคะ ช่วงนี้หนู่ปี้ได้ข่าวมาว่าคุณชายกำลังจะกลับมาที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ!”
คุณชาย? สมองของหลินเมิ้งหยาพลันปรากฏภาพใบหน้าหล่อเหลาอบอุ่นขึ้นมา
มุมปากกระตุกยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน
ท่านพ่อและท่านพี่จากบ้านไปทำสงครามสามปีแล้ว ในที่สุดก็กำลังจะกลับมา?
“ข้าผิดเอง นานมากแล้วที่ไม่ได้รับข่าวของท่านพ่อและท่านพี่เลย”
แม้จะอยากเขียนจดหมาย แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะฝากให้ใครส่งให้
ขณะที่ยังอาศัยอยู่ในจวนของเจิ้นหนานโหว ซ่างกวนฉิงค่อนข้างเข้มงวดกวดขันในการติดต่อกับคนภายนอก มิเช่นนั้นกลอุบายของฮองเฮาจะสำเร็จง่ายๆ ได้อย่างไร
“จะโทษคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ ฮูหยินต่างหากที่ไม่ยอมให้คุณหนูติดต่อกับโลกภายนอก ไอ้หยา ใครบังอาจแย่งกล่องขนมของข้า!”
เสียงโกรธเกรี้ยวของป๋ายจื่อแผดดังลั่น ดวงตาประหนึ่งผลซิ่งคู่นั้นเหลือกกว้างจ้องมองผู้ที่ขโมยกล่องขนมของนางไป
“นี่คืออะไร? น่าสนใจจัง มอบให้ข้าได้หรือไม่?”
ชายร่างสูง ดั้งโด่งเป็นสัน ใบหน้าหล่อเหลาทว่าแฝงไว้ซึ่งความดื้อรั้น
แม้จะสวมใส่ชุดคุณชายผู้สูงศักดิ์ แต่ชายตรงหน้ากลับรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนคนเมืองต้าจิ้น
“ไม่มีทาง! นั่นเป็นขนมที่คุณหนูมอบให้ข้า เอาคืนข้ามาเดี๋ยวนี้!”
ระเบิดอารมณ์โกรธเกรี้ยว ปกติแล้วกล่องขนมเปรียบเสมือนชีวิตจิตใจของนาง ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง
ทว่าตอนนี้กลับถูกคนแปลกหน้าแย่งชิงไป เด็กน้อยที่เคยน่ารักดั่งสาวโลลิต้ากลับกลายเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขึ้นมาทันที
“คุณชาย สุภาพบุรุษมิควรรังแกผู้น้อย โดยเฉพาะกับสาวใช้ที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจของข้า หากท่านแย่งชิงไปเช่นนี้ เกรงว่าจะมิเป็นการดี”
ส่งเสียงเรียบแต่มีมารยาท
ฝ่ายชายหันมามองหลินเมิ้งหยา เห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สูงไม่ถึงครึ่งของหน้าอกตนเอง ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยนางแทบจะทันที
พลิกมือกลับแล้วกอดกล่องขนมเอาไว้ อีกเพียงนิดเดียวป๋ายจื่อก็จะแย่งมันคืนมาได้แล้ว
“นี่เงินสองตำลึง ถือว่าข้าซื้อมันแล้วกัน”
หยิบเงินออกมาจากหน้าอกแล้วโยนให้ป๋ายจื่อ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
“โอ้โหยว…เอาของของเด็กน้อยข้าไปแล้วคิดจะตบตูดเดินหนีอย่างนี้หรือ?”
เสียงยั่วยุดังขึ้น ชิงหูที่อยู่ในชุดองครักษ์พลันปรากฏตัวออกมา
ขณะที่กำลังสบตากัน มือพลันยื่นเข้าไปกระชากกล่องขนมของป๋ายจื่อออกมา
“เอ้า เอาไป”
ชิงหูและป๋ายจื่อเปรียบเสมือนมิตรรักนักกิน ทั้งสองเปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งการกินก็มิปาน
“เป็นวิทยายุทธ์ที่งดงามยิ่งนัก ข้าไม่ต้องการกล่องนั้นแล้ว เจ้ามาประลองกับข้าสักครั้งได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาดึงตัวป๋ายจื่อมาที่อีกฝั่ง ชายทั้งสองล้วนเป็นพวกสัตว์ประหลาด
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่เข้าใจเรื่องการต่อสู้ แต่นางรู้สึกได้ว่าชายคนนั้นจะต้องถูกชิงหูสั่งสอนเพียงฝ่ายเดียว
“อย่าสู้จนถึงตายก็พอ หากสู้เสร็จแล้วควรมอบเงินให้อีกฝ่ายไปรักษาตัวสักตำลึงสองตำลึง”
สิ้นเสียงเย็นชา หลินเมิ้งหยาวางเงินสองตำลึงลงบนพื้น
หมุนตัวพาป๋ายจื่อจากไป ทว่าด้านหลังกลับเกิดเสียงแผดร้องโหยหวนของชายแปลกหน้าดังลั่น
“ห้ามต่อยหน้า!”
“คนเมืองต้าจิ้นช่างหยาบคายเสียนี่กระไร เหตุใดต้องต่อยหน้าด้วย?”
“โอ๊ย! หน้าของข้า!”
สมน้ำหน้า!
เดินตรงมาตามทาง หลินเมิ้งหยาใกล้จะถึงกลางภูเขาเต็มที
ที่นี่มีคนค่อนข้างน้อย โชคดีที่มีป๋ายจื่อเดินเป็นเพื่อน
เหมือนกับว่าชิงหูทำสัญญาอะไรบางอย่างกับหลงเทียนอวี้ เขามักมาอาศัยอยู่ที่ตำหนักของนางเสมอ ทุกคนล้วนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นประหนึ่งกำลังปิดตาข้างเดียว
ณ ทางออก
ทุกครั้งล้วนเป็นชิงหูที่มักจะคอยแอบตามดูแลนางเสมอ
หากไม่ใช่เพราะวันนี้บังเอิญเจอเข้ากับคนประหลาดแล้วละก็ ชิงหูคงไม่ยอมปรากฏตัวออกมาง่ายๆ
“คุณหนู เจ้าคนนั้นเป็นคนเลวเหลือเกิน ฮือๆ ขนมของข้าเสียหมดแล้ว”
ป๋ายจื่อจ้องมองขนมของตนเองเสมือนคนร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตา ทว่าคนที่มีประสาทสัมผัสว่องไวอย่างหลินเมิ้งหยากลับร่างกายแข็งทื่อขึ้นมา
มีคนกำลังล้อมที่นี่เอาไว้!
แม้จะไร้ซึ่งวิทยายุทธ์หรือแยกเสียงของอาวุธแต่ละชนิดได้ ทว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางกลับดีกว่าคนปกติทั่วไป
ผลปรากฏว่ามีชายสวมชุดดำสวมใส่หน้ากากเป็นจำนวนมากกระโดดลงมาจากต้นไม้
ดวงตาสุกสกาวคู่สวยของหลินเมิ้งหยามองเหล่าคนตรงหน้าอย่างระมัดระวัง พวกเขามิได้มาดี
“พวกเจ้าเป็นใคร? นี่คือพระชายาอวี้ อย่าได้เสียมารยาท!”
หักห้ามไม่ทัน ป๋ายจื่อรีบร้อนป่าวประกาศสถานะของหลินเมิ้งหยาไปเสียแล้ว
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้มาที่นี่ก็เพราะนาง ต่อให้แสดงสถานะออกมาแล้วจะมีประโยชน์อันใด?
“เอาตัวไป!”
ชายชุดดำเหล่านั้นถูกฝึกมาเป็นอย่างดี พวกเขาล้อมหลินเมิ้งหยาเอาไว้และคิดจะเข้ามาจับตัวนาง
ตอนนี้ชิงหูมิได้อยู่ข้างกายนาง ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ หลินเมิ้งหยาคงทำได้เพียงยื้อเวลาเอาไว้
“ช้าก่อน พวกเจ้ารู้จักตัวตนของข้าแล้ว เช่นนั้นอย่าได้ทำอะไรเกินควร”
หลินเมิ้งหยาดึงป๋ายจื่อ ก่อนจะโยนกล่องขนมของนางลงพื้น
หลังจากชิงหูสั่งสอนเจ้าคนนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะต้องตามหานางอย่างแน่นอน
หวังว่า…เขาจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่นางทิ้งเอาไว้
“คงต้องทำให้พระชายาขุ่นเคืองแล้ว”
หัวหน้าชายชุดดำสับคอของหลินเมิ้งหยาอย่างแรง ความเจ็บปวดแล่นพล่าน สุดท้ายหลินเมิ้งหยาสลบไป
ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายได้อย่างใจนึก ถึงคราวซวยแล้วจริงๆ
ความรู้สึกแรกหลังจากตื่นขึ้นจากโลกอันมืดมิดคือแขนและขาของตนเองถูกมัดเอาไว้แน่น
พยายามสูดลมหายใจ เปลือกตาของหลินเมิ้งหยาค่อยๆ เปิดขึ้น
ด้านนอกมีเสียงกลีบเท้าของม้า แม้จะเบามาก แต่หลินเมิ้งหยากลับแยกออกได้
ร่างกายสัมผัสกับพื้นแข็งทื่อ ดูเหมือน นางจะอยู่ในรถม้าคันหนึ่ง
หลินเมิ้งหยาพยายามแข็งคอยกขึ้น มองสำรวจบริเวณรอบๆ นอกจากป๋ายจื่อที่กำลังนอนอยู่อีกมุมหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอื่นอีก
คนกลุ่มนี้ต้องการพานางไปที่ไหนกันแน่
“ป๋ายจื่อ ป๋ายจื่อ ตื่นได้แล้ว”
หลินเมิ้งหยากดเสียงให้เบาลง กระแทกตัวป๋ายจื่อ โชคดีที่นางสลบไปเพียงเท่านั้น
ป๋ายจื่อค่อยๆ ฟื้นคืนสติ หลินเมิ้งหยาอุดปากนางได้ทันเวลา ดังนั้นจึงไม่ได้ยินเสียงร้องของนาง
“ชู่ เบาเสียงหน่อย พวกเรากำลังอยู่บนรถม้า”
ป๋ายจื่อพยักหน้าลง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว โชคดีที่คนปิดปากนางในตอนนี้คือคุณหนู มิเช่นนั้นนางจะต้องใช้ฟันกัดลงไปอย่างแน่นอน
ภายในรถม้าถูกปิดล็อกอย่างหนาแน่น
แม้แต่หน้าต่างยังถูกตอกตะปูเอาไว้ แม้จะไม่ได้ยากต่อการหายใจ แต่ถึงกระนั้นนางคงหนีไปไม่ได้แน่นอน
ตกลงคนพวกนี้เป็นใครกันแน่?