บทที่ 67 โหมโรงงานวิวาห์[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 67 โหมโรงงานวิวาห์[รีไรท์]

ฮวาชิงหวู่ตกลงแต่งงานกับหยุนหนานเฟิง

คนที่มีความสุขที่สุดคงหนีไม่พ้นฮวาโม่เซี่ย เพราะตอนนี้เขามองเห็นแล้วว่าของตระกูลจะรุ่งเรืองไปตลอดกาล

หยุนสุ่ยเซิงก้มหน้าลง ปกปิดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ดูคล้ายสุนัขจิ้งจอกบนใบหน้าลงไปก่อนเดินทางมา หยุนสุ่ยเซิงได้ตรวจดวงชะตาพบว่า 3 วันต่อจากนี้เป็นวันที่เหมาะกับการแต่งงาน

มันเยี่ยมมาก ๆ เหมาะสำหรับการแต่งงาน แต่งงานแล้วก็แต่งงาน ไม่มีวันดีกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้นงานวิวาห์จึงต้องจัดขึ้นสามวันสามคืน ช่างเป็นผลลัพธ์ที่เยี่ยมยอด!

จนกระทั่งกลุ่มคนหายไปจากสายตา ผู้อาวุโสจึงถามเพื่อคลายความสงสัยในใจ

“ทำไมคุณหนูถึงยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ล่ะ? ตระกูลหยุนดูใจร้อนมาก ถึงกับเอาเรื่องการรักษาแม่ของคุณหนูมาขู่แบบนี้มันต้องมีอะไรแน่ ๆ”

เธออมยิ้มเงียบ ๆ เหม่อมองออกไปไกล ๆ แน่นอนว่าเธอจะไม่แต่งงานกับหยุนหนานเฟิง แต่เธอกำลังวางเดิมพัน พนันความสุขทั้งชีวิตของตนเองด้วยชีวิตของตัวเองว่า ฉู่ชวิ๋นจะกลับมาช่วยเธอ!

….

….

3 วันผ่านพ้นไป ตระกูลหยุนซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเมืองหยุนหยางและหยุนหนานเฟิงที่เป็นบุคคลโดดเด่นที่สุดเท่าที่ตระกูลเคยมีมาจะแต่งงานกับฮวาชิงหวู่จากตระกูลฮวา ข่าวแพร่สะบัดทั่วเมืองหยุนหยางคล้ายพายุ ทุกคนล้วนสนทนากันถึงเรื่องนี้

ฮวาชิงหวู่ย้ายออกจากคฤหาสน์เดิมไปที่ใหม่อันหรูหรา เธอไม่ได้ออกไปที่ใดเลย คล้ายกับการรอเข้าพิธีวิวาห์

3 วันนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของฉู่ชวิ๋น คล้ายกับไม่เคยมีเขาอยู่บนโลกมาก่อน ผู้อาวุโสจิตใจดั่งมดที่อยู่บนกระทะร้อนอยู่ไม่สุข คอยพูดห้ามปรามตลอด แต่ฮวาชิงหวู่กลับนิ่งเงียบ ยิ่งทำให้เขากังวลยิ่งขึ้นไปอีก

ในเช้าของการแต่งงาน ตระกูลหยุนเต็มไปด้วยความคึกคัก ฮวาชิงหวู่สวมใส่เครื่องประดับและชุดแต่งงานที่หรูหราที่จัดทำโดยช่างฝีมือจากฝรั่งเศส มีชุดแต่งงานทั้งสิ้น 18 ชุด แต่ละชุดก็มีมูลค่าสูงมาก

ชุดแต่งงาน 18 ชุดที่ตัดมาอย่างพอดีตัว ต่อให้เป็นช่างที่เก่งที่สุดในโลกก็คงไม่อาจตัดทันภายในเวลาแค่ 3 วัน นอกจากจะเตรียมการมานานแล้ว

ช่างแต่งหน้าทั้งสิ้น 10 คนสำหรับฮวาชิงหวู่ล้วนเป็นช่างผู้มีฝีมือในการแต่งหน้าทั้งสิ้นและได้ยินมาว่าช่างพวกนี้จะรับแต่แขกระดับสูงเท่านั้น

ฮวาชิงหวู่นั่งอยู่หน้ากระจกแต่งหน้าปล่อยให้พวกเขาจัดการใบหน้าของเธอ

เพราะฮวาชิงหวู่เป็นผู้หญิงที่งดงามมากอยู่แล้วหลังจากแต่งหน้าเสร็จแล้ว ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจกันเป็นอย่างมาก

ขณะนี้ได้ฤกษ์ที่เจ้าบ่าวจะมารับเจ้าสาวแล้ว

“คุณหนูมันสายเกินกว่าที่คุณจะกลับตัวได้แล้ว”

นี่เป็นรอบที่ร้อยในช่วง 3 วันที่ผู้อาวุโสพูดขึ้น แต่ก็เป็นเช่นเดิมฮวาชิงหวู่ ไม่มีท่าทีตอบสนอง เธอยังคงมุ่งมั่นที่จะแต่งเข้าตระกูลหยุน

ผู้อาวุโสกังวลเหมือนมดในกระทะ ฉู่ชวิ๋นไม่ปรากฏกาย เขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมฮวาชิงหวู่ได้ หรือเขาควรจะมองดูเธอกระโดดเข้ากองไฟไปทั้งแบบนี้?

ฮวาโม่เซี่ยอยู่ที่นี่ด้วย มาพร้อมกับหญิงสาวอายุ 30 กว่าๆ ที่มีอัญมณีเต็มตัวและหนุ่ม ๆ ตระกูลฮวา

“เสี่ยวหวู่ เป็นยังไงบ้าง?” ฮวาโม่เซี่ยใส่ชุดเต็มพิธีการและรองเท้า เขาดูเหมือนยังหนุ่มแน่นเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน

ฮวาชิงหวู่ไม่ได้หันกลับไปมองและทำราวกับไม่ได้ยิน หลายวันมานี้เธอนิ่งเงียบเกินไป ซึ่งทำให้ผู้อาวุโสกังวลใจ

“เสี่ยวหวู่ แม่ของเธอสุขภาพไม่ดี ลูกสาวตระกูลฮวาจะแต่งงานทั้งที ข้างกายก็ควรมีผู้ใหญ่ไปส่ง ถ้าเธอไม่รังเกียจ ให้ฉันส่งเธอแทนแม่ของเธอดีไหม?” คุณหญิงคนหนึ่งพูดขึ้น

ชื่อของเธอคือหลินจินหยุน เธอติดตามฮวาโม่เซี่ยตั้งอายุ 20 ปี เธอก็คือแม่ของฮวาชิงเฟิง เมื่อก่อนแม่ของฮวาชิงหวู่ไม่ยอมในเรื่องนี้แต่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้ก็ย้ายเข้ามาตระกูลฮวา

“ไม่จำเป็น ฉันมีแม่อยู่แล้ว” ฮวาชิงหวู่ลุกขึ้นยืนและมองไปยังพวกเขา

เมื่อฮวาชิงหวู่หันกลับมา เหล่าหนุ่ม ๆ ก็ยิ้มราวกับคนโง่งม ถ้าเป็นสมัยยุคโบราณความงดงามของเธอคงทำให้เกิดสงครามแย่งชิงสาวงามอย่างแน่นอน

ใบหน้าของฮวาเหมียวเหมียวเต็มไปด้วยความรู้สึกริษยา ในเมื่อเป็นผู้หญิงเหมือนกันแท้ ๆ แต่เธอรู้สึกอับอายที่จะมองหน้าฮวาชิงหวู่

“ไม่รู้จักขอบคุณแล้วยังแว้งกัดอีกนะ” ฮวาเหมียวเหมียวพูดออกมาเธอรู้สึกอิจฉาจนจะเป็นบ้าคลั่งอยู่แล้ว

“ไสหัวออกไป!” ฮวาชิงหวู่ตะโกนอย่างหยาบคาย

“เสี่ยวหวู่ วันนี้เป็นวันของเธอนะ อย่าได้โกรธไปเลย” ฮวาโม่เซี่ยจ้องฮวาเหมียวเหมียวเขม็งแล้วปลอบโยนฮวาชิงหวู่

“เธออิจฉาฉัน” ฮวาชิงหวู่กล่าวพลางจ้องมองฮวาเหมียวเหมียว

“อิจฉาเธอ? ช่างน่าขัน เธอมีอะไรให้ฉันอิจฉากัน” ฮวาเหมียวเหมียวพูดอย่างรังเกียจ แต่สีหน้ากลับอึดอัด

“เธออิจฉาที่ฉันได้แต่งงานกับหยุนหนานเฟิง ได้ยินว่า เธอเคยพูดชีวิตนี้เธออยากแต่งงานกับผู้ชายอย่างหยุนหนานเฟิง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มองเธอเลย”

“เธอ…” ฮวาเหมียวเหมียวโกรธจนหน้าแดง ฮวาชิงหวู่พูดถูก เธอเคยพูดแบบนั้น ตอนนี้เหมือนเธอกำลังตบหน้าตัวเอง

ฮวาชิงหวู่ยืนอยู่หน้าฮวาเหมียวเหมียวก่อนพลางโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหู

“อย่ายั่วให้ฉันโมโหจะดีกว่า อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้เรื่องเธอกับฮวารุ่ย หรือจะให้ฉันทำลายพวกเธอพี่น้องดี ให้ถูกคนด่าคนตีเหมือนหนูท่อเลยดีไหม”

ฮวาเหมียวเหมียวหน้าซีดและตัวสั่น เธอมองดูฮวาชิงหวู่ พลันเกิดความรู้สึกขนหัวลุก เธอรู้ได้ยังไง!? ถ้าปล่อยให้คนอื่นรู้เรื่องที่เธอกับพี่ชายมีอะไรกัน ตระกูลฮวาคงไม่ปล่อยพวกเธอไปแน่ เพื่อปกป้องชื่อเสียงของพวกเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ร่างกายเธอสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้

ฮวาชิงหวู่หัวเราะเยาะกับความลับที่น่าขยะแขยง เธอจะไม่เก็บความลับนี้ได้ถ้าพวกนี้ยังไม่เลิกยุ่งกับเธอ คนอื่น ๆ เกิดความสงสัยใคร่รู่ว่าฮวาชิงหวู่พูดอะไรกับฮวาเหมียวเหมียว ทำไมเธอจึงดูหวาดกลัวเช่นนี้

“ไม่ต้องกังวลใจไป! ตราบใดที่เธออยู่ห่าง ๆ ฉัน ไม่มายุ่งวุ่นวายใจ จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้” เมื่อเธอพูดจบก็ถอยหลังไปสองก้าว ไม่มีใครสนใจฮวาเหมียวเหมียวอีกต่อไป

เรื่องน่าขยะแขยงพวกนี้ พูดไปก็ทำให้ปากสกปรกเปล่า ๆ

ขณะนี้ผู้คุ้มกันเดินเข้ามาบอกว่าคนของตระกูลหยุนจะมาถึงในครึ่งชั่วโมง

“เสี่ยวหวู ออกไปพบคุณปู่ คุณลุงกับพ่อ” ฮวาโม่เซี่ยปรายตามองฮวาชิงหวู่ที่ทำเช่นนี้คือการบอกเหล่าพี่น้องคนอื่น ๆ ว่าลูกสาวของเขากำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับตระกูลหยุน

เมื่อเห็นเธอไม่ได้ปฏิเสธ ฮวาโม่เซี่ยก็พูดออกมา “ไปเถอะ!”

กลุ่มคนพากันไปที่ห้องโถงหลัก

“คุณปู่ คุณลุง คุณลุงรอง คุณลุงเล็ก พี่ชาย สวัสดีค่ะ!” ฮวาชิงหวู่ทำความเคารพ

เป็นครั้งแรกที่เธอก้าวเข้ามา ณ ที่แห่งนี้ ตระกูลฮวาค่อนข้างให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว จะมีเพียงผู้ชายที่สามารถเข้ามาได้

ถ้าไม่ได้แต่งเข้าตระกูลหยุน เธอคงไม่มีสิทธิ์ได้เหยียบที่แห่งนี้ เธอคิดกับตัวเอง ฮวาชิงซานเป็นคุณปู่ของฮวาชิงหวู่ เขาอายุ 80 กว่าปีแล้ว ผมขาวโพลนไปทั้งหัว แต่ยังคงมีอำนาจอยู่ในตระกูลในมืออยู่

ฮวาโม่เวิ่นเป็นคนที่แก่ที่สุดในบรรดาพี่น้องตระกูลฮวา เขาอายุ 50 ปี ตามหลักแล้วเขาควรจะได้เป็นผู้นำตระกูล แต่ฮวาชิงซานยังไม่ยอมส่งต่อตำแหน่งให้แก่เขา จนเขาได้แต่ถอดใจและจึงฝากความหวังไว้ที่ฮวาเซิ่งลูกชายของเขา

ลูกคนรอง ฮวาโม่เหยียน ใกล้จะ 50 แล้วเหมือนกัน เมื่อมองดูแล้วสิทธิ์การเป็นผู้นำตระกูลก็ไม่มีเลย ดูแล้วฮวาชิงซานก็คงอยู่ได้อีกไม่กี่ปี หลังจากเขาตายแต่ตอนนั้นเขาก็ใกล้จะ 60 แล้วเขาคงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ฮวารุ่ย ลูกชายของเขา

อย่างไรก็ตามตอนนี้ฮวาโม่เซี่ยสามารถเกี่ยวดองกับตระกูลหยุนได้แล้ว ทำให้พวกเขาเกิดความระแวงขึ้นมา

“ดีดีดี! เจ้าสามมีลูกสาวที่ดีมาก!” ฮวาชิงซานร่ายยาวเรื่องดีงามเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องฮวาชิงหวู่หรือเรื่องงานวิวาห์ดี

“พ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง แขกจากตระกูลหยุนมาถึงประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว ฉันกับลูกสาวขอตัวก่อน หลังจากวันนี้ไปลูกสาวฉันก็จะเป็นคนของตระกูลหยุนเต็มตัวแล้ว!”

ฮวาโม่เซี่ยให้ความสำคัญกับตระกูลหยุนถึงเพียงนี้ คนที่ฟังจะได้ยินน้ำเสียงภาคภูมิใจของเขา

ฮวาโม่เซี่ยมองฮวาโม่เหยียน ซึ่งแต่เดิมมีสีหน้ามืดครึ้ม มันยากที่จะเสแสร้งแกล้งทำเป็นยิ้ม ท้ายที่สุดแล้วเขาเหยียดยิ้มและกล่าวออกมา “หลังจากที่ได้เกี่ยวดองกับตระกูลหยุน ยังยากที่จะบอกว่าใครคือผู้นำตระกูล”

แต่ใบหน้าของฮวาเซิ่งยิ้มแย้มอยู่ตลอดและน้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนมาก วันนี้เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม

“น้องหก วันนี้เธอสวยมาก ดูเหมือนว่าจะหาคนที่สวยเหมือนน้องหกในหยุนหยานคงไม่เจออีกแล้ว พี่ชายขอแสดงความยินดีกับน้องหกด้วย ขอให้มีความสุขในวันแต่งงานทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว”

“ขอบคุณพี่ชายมาก!” เธอตอบเรียบ ๆ

ดวงตาของฮวารุ่ยแสดงถึงความซับซ้อนและก้ำกึ่ง ผู้หญิงคนนี้ควรเป็นของเขา ผู้หญิงที่ทำให้เขาน้ำลายหก แม้จะเจอหน้ากันมาตลอดสิบปี แต่อีกไม่กี่วันก็จะไปบรรเลงเพลงรักกับหยุนหนานเฟิง

ตอนนี้คุณธรรมจริยธรรมไม่อยู่ในสายตาของเขาอีกแล้ว อย่าว่าแต่เป็นลูกพี่ลูกน้องเลย ถึงเป็นน้องแท้ ๆ เขาก็นอนด้วยได้? เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่าทำไมเขาถึงไม่ลงมือให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้เขาหมดโอกาสแล้ว อย่าพูดเรื่องที่เธอแต่งงานกับคนของตระกูลหยุนเลย

เมื่อกี้เขาต้องเหงื่อท่วมหลังจากฮวาเหมียวเหมียวมาบอกเมื่อ 10 นาทีที่แล้วว่าฮวาชิงหวู่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับฮวาเหมียวเหมียวด้วย แต่เขาก็ยังรู้สึกยอมรับไม่ได้อยู่ดี

“พี่ใหญ่ พี่รอง เสี่ยวหวู่กำลังจะแต่งงานกับคุณชายตระกูลหยุน มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ทำไมฉันรู้สึกว่าพวกคุณไม่มีความสุขเลยละ?” ฮวาโม่เซี่ยถามกึ่งยิ้ม เพราะฮวาชิงเฟิงทำให้ผิดหวัง เขาเลยจะจัดการกับพี่ชายทั้งสอง ตอนนี้มาเห็นสีหน้าที่หนักใจของทั้งพี่สองแล้วเขาก็รู้สึกมีความสุข

เมื่อฮวาโม่เวิ่นและฮวาโม่เหยียนได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็น่าเกลียดยิ่งและพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ลุงสาม พวกเราต่างเห็นเสี่ยวหวู่มาตั้งแต่เล็ก ตอนนี้เธอกำลังจะแต่งงานและกลายมาเป็นคนของบ้านอื่น พ่อของฉันกับพวกคุณลุงต่างรู้สึกไม่อยากปล่อยไป ยิ้มไม่ออกก็เป็นเรื่องปกตินะครับ” ฮวาเซิ่งยังคงเป็นคนอบอุ่นเสมอ คำพูดของเขาก็มีเหตุผล

“คุณลุง พวกเรารู้สึกทุกคนต่างรู้สึกไม่อยากปล่อยเธอไป แต่ทำไมคุณลุงไม่มีอารมณ์แบบนั้นเลยล่ะ? หัวใจของลุงสามแข็งแกร่งกว่าพวกเราจริง ๆ พวกเราต้องเอาอย่างในข้อนี้แล้วสิ ไม่อย่างนั้นลูกสาวตระกูลฮวาที่แต่งงานออกไปแต่ละคน คงทำให้พวกเราโศกเศร้าเสียใจเพราะอารมณ์อ่อนไหวเป็นแน่ จิตใจกล้าแข็ง นับถือๆ”

เมื่อพูดจบประโยค รอยยิ้มของฮวาโม่เซี่ยก็แข็งค้าง คำพูดของฮวาเซิ่ง ทำให้บนหน้าผากของเขามีคำว่า ความโลเล อยุติธรรม ตัวโต ๆ

ฮวาโม่เหยียนและฮวาโม่เวิ่นมองดูฮวาโม่เซี่ยที่สีหน้าเหมือนกินแมลงวันเน่าเข้าไปก็อดหัวเราะไม่ได้ ฮวาโม่เวิ่นหันไปหาฮวาเซิ่งแล้วชื่นชมทางสายตา ฮวาเซิ่งไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง เขาภูมิใจในตัวลูกชายเหลือเกิน