ตอนที่ 79 สรุปว่าเขาพูดได้กี่ภาษา / ตอนที่ 80 งานวิวาห์ในฝัน

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 79 สรุปว่าเขาพูดได้กี่ภาษา

 

 

อันที่จริงโทรศัพท์ของป๋อจิ่งชวนดังขึ้นตลอดขณะที่รับประทานอาหาร เพียงแต่หลังจากที่เขาถูกหญิงชราจ้องเขม็งไปไม่กี่ครั้ง เขาจึงตัดสินใจปิดเสียงมันลงให้รู้แล้วรู้รอดไป

 

 

แต่เพียงขึ้นรถมาได้ไม่นานโทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

ป๋อจิ่งชวนยกโทรศัพท์ขึ้นมาไล่สายตามองหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงนำโทรศัพท์วางลงบนที่วางแล้วหันไปเอ่ยกับเฉินฝานอย่างเรียบนิ่ง

 

 

“ช่วยต่อบลูทูธให้ผมหน่อย”

 

 

เขาว่าพลางหยิบหูฟังบลูทูธขึ้นมาใส่ บังคับพวงมาลัยให้เลี้ยวออกจากตัวคฤหาสน์ด้วยมือข้างเดียว

 

 

เฉินฝานซิงก้มตัวลง นิ้วเรียวรีบกดไปที่ตั้งค่าบนหน้าจอโทรศัพท์ของเขา

 

 

จากนั้นในตัวรถจึงมีเพียงเสียงอันทุ้มต่ำของป๋อจิ่งชวน ดูเหมือนว่าทุกสายจะใช้ภาษาต่างประเทศในการสนทนาทั้งหมด อีกทั้งแต่ละสายก็ใช้ภาษาไม่ซ้ำกันอีกด้วย

 

 

ที่เธอพอฟังออกก็มีอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนีและรัสเซีย

 

 

แต่ละภาษาสลับสับเปลี่ยนไปอย่างเป็นธรรมชาติไพเราะน่าฟัง

 

 

สายแล้วสายเล่าถูกวางไป จนสุดท้ายเขาก็ได้รับโทรศัพท์ต่ออีกสายหนึ่ง เฉินฝานซิงเริ่มแอบเดาในใจแล้วว่าครั้งนี้เป็นคิวของประเทศอะไร แต่กลับได้ยินน้ำเสียงที่แข็งกระด้างเล็กน้อยของเขาดังขึ้น

 

 

“มีอะไร”

 

 

โอเค ประเทศตัวเอง

 

 

ป๋อจิ่งชวนปิดบลูทูธเสียงจากปลายสายจึงดังขึ้นในตัวรถแทน

 

 

“พี่ป๋อกลับก็หลายวันแล้ว ไม่มาสังสรรค์กันก่อนสักหน่อยเหรอ”

 

 

เสียงแหบทุ้มติดสบายๆ ของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความเย้ยหยันเล็กน้อย

 

 

“ไม่ว่าง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ห้วนและไร้ซึ่งอารมณ์

 

 

“…” เฉินฝานซิงที่นั่งอยู่ตรงข้างคนขับ ผินหน้ามองออกไปยังนอกหน้าต่างเงียบๆ

 

 

อ๋อ…ไม่ว่าง

 

 

“แล้วจะว่างเมื่อไหร่”

 

 

“อีกสักพัก”

 

 

“แล้วอีกสักพักมันเมื่อไหร่…ตรู๊ดๆ ตรู๊ด…”

 

 

อินรุ่ยเจวี๋ยนั่งอยู่ในห้องวีไอพีสุดหรูแห่งหนึ่ง เขาจ้องโทรศัพท์อยู่เช่นนั้นนานค่อนวัน เป็นเวลาหลายนาทีกว่าที่เขาสบถคำคำหนึ่งออกมา “แม่ง”

 

 

เขาจับมันโยนลงบนโต๊ะน้ำชา มองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ อย่างเงียบเชียบก่อนจะไหวไหล่ “มาไม่ได้!”

 

 

ชายหนุ่มในชุดสูทรองเท้าหนังที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ข้อนิ้วทั้งสองของเขาแยกออกจากกันเพื่อคีบบุหรี่แท่งหนึ่งเอาไว้ด้วยท่วงท่าสง่าและสงบนิ่ง

 

 

หน้าตาเขาเองก็งดงามไร้ที่ติ คิ้วเข้ม สีหน้าราบเรียบ ทว่าเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของเขาแล้วก็ทำให้รู้สึกได้ว่าคนคนนี้ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่ ช่องว่างระหว่างคิ้วของเขานั้นก็คือความเยือกเย็น

 

 

“ไม่มาก็ไม่ต้องมา คำว่า ‘ยุ่ง’ จากปากของผู้ชายคนหนึ่งก็คงเป็นเรื่องที่สำคัญอยู่พอตัว”

 

 

แม้ชายหนุ่มจะยกมุมปากขึ้นแต่ก็ไม่มีความอบอุ่นหรือรอยยิ้มแฝงอยู่ในนั้นเลย

 

 

ลี่ถิงเซินนั่นแสนลึกลับ เขามีบริษัทบันเทิงที่ดูไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักอยู่แห่งหนึ่ง

 

 

แต่เมื่อคิดถึงเขา ในแวดวงบันเทิงเขาก็สามารถบดบังผืนฟ้าได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว [1]

 

 

อินรุ่ยเจวี๋ยรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว ธุรกิจหลักนั่นก็คือโรงแรมและสถานบันเทิง ทั้งยังเป็นตระกูลที่ทั้งร่ำรวยและมีอิทธิพลอันเป็นที่เลื่องลือ

 

 

เมื่อนับป๋อจิ่งชวนเข้ามาด้วยแล้ว นิสัยของพวกเขาทั้งสามคนแตกต่างกันอย่างลิบลับ แต่ก็ไม่รู้ว่ากลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้อย่างไร

 

 

 

 

เมื่อป๋อจิ่งชวนไม่ได้ส่งน้ำเสียงอันทรงอำนาจออกมาให้ได้ยินแม้แต่น้อยทำให้เธอนิ่งไปสักพัก

 

 

ในตัวรถถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน ระหว่างเขาทั้งคู่มันช่างเงียบเกินไป บรรยากาศแห่งความอึดอัดเริ่มพุ่งสูงขึ้นทีละน้อย

 

 

ประสบการณ์ในการทำงานประชาสัมพันธ์มาหลายปีบอกเธอว่าควรหลีกเลี่ยงความเงียบอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้มากที่สุด

 

 

แต่ ณ ขณะนี้เธอกลับไม่รู้ว่าตัวเองควรคุยเรื่องอะไรกับอีกฝ่ายดี

 

 

หลังจากตกอยู่ในความเงียบงันอยู่เนิ่นนาน เธอจึงได้หันไปมองเขา “…ฉันฟังเพลงได้รึเปล่าคะ”

 

 

“ตามสบาย”

 

 

เธอเอื้อมมือไปเปิดเครื่องเสียงในรถ ดนตรีที่อบอุ่นผ่อนคลายก็ค่อยๆ บรรเลงขึ้น

 

 

เพลงเปียโนที่มีชื่อเสียง ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอ

 

 

เสียงกระซิบในฤดูใบไม้ร่วง

 

 

เธอแปลกใจเล็กน้อย “คุณเองก็ชอบฟังเปียโนเหมือนกันเหรอ”

 

 

“ไวโอลินก็ไม่เลว” เสียงต่ำดังขึ้นเรียบๆ “คุณชอบเปียโน? เล่นเป็นรึเปล่า”

 

 

เล่นเป็นหรือเปล่า…

 

 

ดวงตาของเธอเคลื่อนมาพร้อมกับรอยยิ้มถากถางอันแสนขมขื่น…

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 80 งานวิวาห์ในฝัน

 

 

แม้เขาจะขับรถโดยวางสายตาไปยังทางข้างหน้า แต่เขาก็กลับรับรู้ได้ถึงสีหน้าของเธอ

 

 

“เป็นอะไรไป”

 

 

“บอกว่าจีบฉันอยู่ไม่ใช่รึไง เรื่องของฉันแค่คุณตามสืบนิดๆ หน่อยๆ คุณก็คงจะรู้ได้ไม่ยาก”

 

 

เฉินฝานซิงหันไปมองเขา

 

 

แสงไฟระยิบระยับยามค่ำคืนหลากสีสัน ผลัดกันตกกระทบลงบนกรอบหน้าอันไร้ที่ติของเขาตามการเคลื่อนตัวของรถ จมูกตั้งสัน เรียวคิ้วดุจภูผาเป็นความงดงามในความสูงส่งและหยิ่งผยอง

 

 

ภายในรถมีเพียงความเงียบงัน มีเพียงเสียงเปียโนอันอบอุ่นและผ่อนคลายที่ยังคงล่องลอยคอยทำหน้าที่เป็นแบ็กกราวด์

 

 

ขณะกำลังผินหน้าออกไปยังนอกหน้าต่างเพราะคิดว่าคงไม่ได้คำตอบจากเขาแน่แล้ว จู่ๆ เสียงทุ้มของป๋อจิ่งชวนกลับค่อยๆ ดังขึ้น

 

 

——

 

 

“อยากให้ผมสืบงั้นเหรอ”

 

 

เธอหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ

 

 

“ผมคิดว่านั่นเป็นวิธีที่ไม่ให้เกียรติคุณมากที่สุด อีกอย่าง…เรื่องของคุณที่รู้จากปากคนอื่น ผมเองก็แอบหวังว่าสักวันคุณจะเป็นคนเล่าให้ผมฟังด้วยตัวเอง”

 

 

เสียงในลำคอของเขาทุ้มต่ำจนถึงที่สุด แม้น้ำเสียงนั้นจะราบเรียบแต่ฟังดูแล้วก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยน

 

 

แววตาพร่างพราวพลันวูบไหว สุดท้ายก็หันหน้าไปยังนอกหน้าต่างพร้อมกับดวงตาเลือนรางดุจสายหมอกและสีหน้าเรียบนิ่ง

 

 

“คุณแม่ของฉันเป็นผู้หญิงที่งามสง่า ท่านมักจะตั้งความหวังกับฉันเอาไว้มากตั้งแต่เล็กแต่น้อย ทั้งพู่กันจีนกลอนพื้นเมือง การเต้นรำ ดนตรี ของพวกนี้ฉันเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น”

 

 

“ฐานะของสกุลเฉินถือว่าไม่เลว แต่ฉันเพิ่งได้เรียนเปียโนตอนอายุสิบห้า ถามว่าเล่นเป็นไหมก็ถือว่าพอได้บ้าง แต่พอเรียนไปได้สามปี ความสามารถด้านนี้ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ส่วนตัวก็ชอบอยู่หรอกนะ แต่หลังจากนั้น…”

 

 

เธอเท้ามือไว้ตรงขอบกระจกหน้าต่าง ขบเข้าที่ข้อต่อตรงส่วนโค้งงอของนิ้วกลางขณะที่น้ำเสียงค่อยๆ หยุดลง

 

 

มืออีกข้างที่ตั้งอยู่บนขาก็กำหมัดเข้าหากันแน่นจนสั่นเทา

 

 

“ต่อมาฉันต้องไปต่างประเทศ…เพื่อที่จะมีชีวิตรอดต่อไป เรื่องเปียโนจึงต้องถูกแช่แข็งเอาไว้”

 

 

ป๋อจิ่งชวนนั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆ สีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาสีดำสนิทประทับด้วยความสว่างไสวจากไฟนีออนข้างนอกหน้าต่างยิ่งทำให้ดูลึกลับ

 

 

เขาไม่ได้มองข้ามประโยคที่เปลี่ยนเป็นความกระด้าง และไม่ได้มองข้ามน้ำเสียงที่สั่นเครือ

 

 

หากไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า

 

 

เขาก็ไม่ได้คาดคั้นอะไร

 

 

เขารู้สึกได้ว่าหากยังขืนคุยเรื่องนี้ต่อไปอาจทำให้คืนนี้เธอต้องจมดิ่งอยู่กับความหมองเศร้า

 

 

หากเธอยอมเผยด้านที่อ่อนแอออกมาต่อหน้าเขาบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ก็เห็นๆ อยู่ว่าเธอไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น

 

 

อย่างมากก็ทำเพียงแค่หลบอยู่ในโลกอันหดหู่ของตัวเอง

 

 

“ไว้ถ้ามีโอกาสก็เล่นให้ผมฟังบ้าง”

 

 

เธอดึงแขนกลับเข้าที่ แอบสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยกมุมปากขึ้นแล้วหันไปมองเขา

 

 

“ได้สิ คุณอยากฟังเพลงอะไรล่ะ”

 

 

“งานวิวาห์ในฝัน”

 

 

“…” สีหน้าเธอนิ่งราวถูกแช่แข็ง

 

 

บรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่ได้ถูกสลัดออกไปแทบจะทันที เพียงแค่คำตอบที่แผ่วเบาคำนั้นที่หลุดออกมาจากปากป๋อจิ่งชวน

 

 

รถได้ขับเลยเขตตัวเมืองและค่อยๆ เลี้ยวเข้าสู่ชุมชน ป๋อจิ่งชวนค่อยๆ ชะลอความเร็วลงตามรถคันหน้าที่มีอวี๋ซงเป็นคนขับ

 

 

เบื้องล่างของคอนโดที่เฉินฝานซิงอาศัยอยู่ บัดนี้ได้มีกลุ่มคนที่คล้ายว่ากำลังเดินเล่นกันอยู่ได้มองมายังรถที่อวี๋ซงจอดลง ก่อนจะค่อยๆ รวมตัวกันแล้วกรูเข้ามา

 

 

“รถคันนี้แหละ ลุยเลยพวกเรา!”

 

 

อวี๋ซงสัมผัสได้ถึงลางร้าย เสียง ปึ้งปั้ง ดังลั่นจากด้านท้ายของตัวรถและดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

 

 

ป๋อจิ่งชวนรีบเหยียบเบรก

 

 

เขาเพ่งมองความวุ่นวายตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปไม่ปรากฏอุณหภูมิใดๆ ความเย็นเยือกได้ผุดขึ้นกลางตรงหว่างคิ้ว

 

 

ราวกับว่าอากาศได้กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง

 

 

 

 

——

 

 

[1] บดบังผืนฟ้าได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว หมายถึงทรงอิทธิพลในด้านนั้นๆ