พ่อหลี่ไม่ให้อาหญิงมาเยี่ยมหลี่เจิ้น ไม่เพียงแค่เพราะไม่พอใจในการทำตัวในช่วงนี้ของอาหญิง ยังเป็นเพราะด้วยนิสัยของอาหญิงจะยิ่งทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น
ตอนนี้ลูกชายเป็นแบบนี้แล้ว หากเธอมาอย่าว่าแต่จะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ไม่แน่อาจทำให้เกิดผลในทางตรงกันข้าม
เมื่อคืนอาหญิงบุกมา อีกทั้งยังทะเลาะกับพ่อหลี่ ยิ่งไปกระตุ้นความคิดที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อของหลี่เจิ้นที่อยู่ในห้อง
ตอนนี้พอได้ยินเสียงอาหญิงบุกมาอีกแล้ว พ่อหลี่ก็ทั้งโมโหทั้งจนปัญญา
อวี๋หมิงหลางรีบเอามือออกจากตัวอาเขย แล้วผายมือทำท่าเชิญ
ไปเถอะ รีบไปเก็บผู้หญิงตัวทำลายครอบครัวคนนี้ซะ
พ่อหลี่ออกไปข้างนอก พ่ออวี๋กับแม่อวี๋ต่างไม่อยากออกไป อยากอยู่ดูว่าเสี่ยวเชี่ยนจัดการกับหลี่เจิ้นยังไง แต่ก็ยังไม่ลืมแสดงจุดยืน
“คุณไปสิ คุณเป็นพี่ชายไม่ไปแล้วใครจะไป?” แม่อวี๋ผลักพ่ออวี๋
“นี่มันเรื่องของผู้หญิงอย่างพวกคุณ พี่สะใภ้ใหญ่เปรียบเหมือนแม่ คุณไปสิ” พ่ออวี๋เห็นน้องสาวที่ไม่เอาไหนของตัวเองแล้วก็ปวดหัว
ด้านนอกทะเลาะกันแล้ว
“ฉันมาเยี่ยมลูกชายตัวเองแล้วมันยังไงกัน ลูกแม่ ลูกชายที่น่าสงสารของแม่”
หลังจากที่อาหญิงถูกเสี่ยวเชี่ยนยั่วโมโหไปสภาพอารมณ์ก็ไม่ค่อยมั่นคง ในใจเอาแต่เฝ้าคิดถึงลูกชาย แม้แต่ภาพลักษณ์ที่เคยห่วงนักหนาก็ไม่สนแล้ว
เสียงของพ่อหลี่ที่บอกให้เธอออกไปถูกเสียงของอาหญิงกลบหมด
“อาเขยท่าทางหงอๆแบบนั้น มิน่าเอาอาหญิงไม่อยู่” อวี๋หมิงหลางมองที่หน้าจออย่างไม่อยากละสายตา ลูกเชี่ยนนี่เท่ห์จริงๆ อยากมองให้นานๆ แต่เขาต้องรีบจัดการเรื่องนี้
พออวี๋หมิงหลางออกไปก็เห็นอาหญิงจิกหัวอาเขยไม่ยอมปล่อยมือ หมอกับพยาบาลต่างไม่กล้าเข้าไปห้าม รู้ดีว่าคนตรงหน้ามีสถานะใหญ่โตแค่ไหน
“อาเขย อาออกจะเป็นลูกผู้ชายหน้าที่การงานใหญ่โต ทำไมไม่ฮึดเอาจริงหน่อยล่ะครับ?”
พออวี๋หมิงหลางเดินเข้าไป อาหญิงเห็นแล้วอารมณ์ก็รุนแรงยิ่งกว่าเดิม ยกมือชี้หน้าเขา “อวี๋หมิงหลาง เพราะแกคนเดียว แกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงนั่นเป็นคนประเภทเดียวกัน พวกแกมันไม่ใช่คนดี”
“ครับ พวกเราไม่ใช่” อวี๋หมิงหลางเห็นด้วย จากนั้นก็ยกมือขึ้นแล้วฟันไปยังจุดที่เล็งไว้ อาหญิงสลบทันที
“ไม่ใช่คนดี” อวี๋หมิงหลางเอาอย่างเสี่ยวเชี่ยน ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไร ถ้าบอกว่าฉันไม่ใช่คนดี เรื่องที่ไร้เหตุผลทั้งหมดก็จะมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล
อาหญิงล้มลงไปกองกับพื้น อวี๋หมิงหลางกวักมือ “ลากเขาไปขังไว้ในห้องอย่าให้ออกมาวุ่นวาย ถ้าฟื้นขึ้นมาแล้วอาละวาดก็ฉีดยาให้นอนไป—อาเขยรีบให้คนมารับอาหญิงไป อย่าให้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล”
รับมือกับผู้หญิงแบบนี้พูดเหตุผลไปก็เท่านั้น อวี๋หมิงหลางเลยใช้กำลังจัดการ
“เยX”
“มีอะไร?” แม่อวี๋ไม่รู้ว่าทำไมอวี๋หมิงหลางมองหน้าจอแล้วก็ดูตื่นเต้นขึ้นมา
“แย่แล้วๆ เสียวเหม่ยของผมจะเป็นปีศาจแล้ว นี่มันจะเก่งเกินไปแล้ว”
“อยากโดนอัดใช่ไหม? พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยไม่ได้หรือไง?” พ่ออวี๋ถาม
บนหน้าจอ หลี่เจิ้นไม่ได้พูดอะไร ได้แต่แสดงสีหน้าหวาดกลัวอยู่นาน คล้ายกับว่ากำลังสะเทือนอารมณ์อย่างหนัก
ส่วนเสี่ยวเชี่ยนยังมีท่าทีคุมเกมเหมือนเดิม คล้ายกับว่าโลกทั้งใบอยู่ในกำมือเธอ
“ถ้าผมพูดไปพ่อกับแม่อาจตกใจยิ่งกว่าผมอีก เสียวเหม่ยของผมพูดกับหลี่เจิ้นว่า…”
อวี๋หมิงหลางจ้องหน้าจออย่างตั้งใจ แล้วเริ่มแปลในสิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนพูดไปพร้อมๆกัน
พอพ่ออวี๋ฟังจบก็มีท่าทางแบบเดียวกับอวี๋หมิงหลาง
“เยX”
แม่อวี๋เกลียดที่สุดเวลาพ่ออวี๋พูดคำหยาบ ดูไม่สมเกียรติ แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน แม่อวี๋ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ เธอถามด้วยความตกใจ
“แกพูดจริงเหรอ? เสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนั้นจริงๆเหรอ? นั่นเป็นการปลอบหลี่เจิ้นหรือเปล่า?”
“ผู้หญิงของผมเป็นคนไม่รับผิดชอบต่อคำพูดเหรอครับ? ดูสีหน้าที่มั่นใจของเธอสิ ถ้าไม่มั่นใจสัก200%เธอจะพูดแบบนั้นเหรอ?”
อวี๋หมิงหลางเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ เสียวเหม่ยของเขาร้ายกาจมากๆ
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนทำให้หลี่เจิ้นได้ปลดปล่อยอารมณ์แล้ว ตอนที่หลี่เจิ้นกำลังโวยวายคุมสติไม่ได้อยู่นั้น เธอพูดออกมาแค่ทีเดียวก็เอาหลี่เจิ้นอยู่หมัด
“ถ้านายเป็นอัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไปตลอดชีวิตแล้วเกิดความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายงั้นฉันก็ไม่ขอแสดงความคิดเห็นแล้ว ยังไงซะการให้เกียรติชีวิตไม่เพียงแต่จะต้องเคารพในการเลือกที่จะอยู่ ยังต้องเคารพในสิทธิ์ของคนตายทุกคน ความเป็นความตายอยู่ในกำมือตัวนายเอง ต่อให้ความคิดอยากตายของนายจะมีมากกว่าความรักที่นายมีให้กับคนในครอบครัวก็ตาม ฉันก็จะเคารพในการตัดสินใจของนาย แต่ปัญหาคือ นายไม่ได้เป็นอัมพาตจริงๆเสียหน่อย นายยังลุกขึ้นยืนได้ แล้วทำไมถึงได้หมดหวังแบบนี้?”
“คุณว่า…อะไรนะ?” หลี่เจิ้นคิดว่าตัวเองฟังผิด
“ฉันจะเล่าเรื่องสนุกให้ฟัง ฉันชอบดูหนังซอมบี้ มีอยู่เรื่องตลกมาก เป็นตลกแบบร้ายๆ เรื่องมีอยู่ว่าผู้ชายคนหนึ่งถูกซอมบี้กัดแขน เขาก็คิดว่าจะเหมือนในหนังที่พอถูกกัดก็จะกลายเป็นซอมบี้ เขาเลยกัดฟันจะตัดแขนทิ้ง แต่ปรากฏว่า…มีซอมบี้โผล่ขึ้นมาจากใต้หิมะอีกตัวหนึ่ง แล้วกัดตรงตำแหน่งกึ่งกลางหว่างขาที่ไม่อาจบรรยายได้ เขาถือเลื่อยไฟฟ้าด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าจะเลื่อยทิ้งดีไหม…และที่ตลกก็คือ เขาตัดแขนทิ้งไปแล้วถึงได้รู้ว่าเชื้อซอมบี้มันไม่ได้ติดต่อ ฮ่าๆๆๆ”
“…เมื่อกี้คุณบอกว่าผมยังกลับมายืนได้อีกเหรอ?” หลี่เจิ้นแทบไม่อยากเชื่อ
“ถูกต้อง นายจะยืนได้อีก นายยังไม่ได้ดูฟิล์มเอ็กซเรย์ของหมอเหรอ? ร่างกายของนายดูจากอาการแล้วไม่ได้ร้ายแรงอะไร ดังนั้นถ้านายจะมาตายเพราะเรื่องนี้นายก็จะเหมือนผู้ชายที่ตัดแขนตัวเองทิ้งโดยเสียเปล่า โง่ไหมล่ะ?”
“แต่ขาผมมันไม่มีความรู้สึก หมอมาตรวจก็ยังไม่รู้สึก เอาเข็มจิ้มก็ไม่ตอบสนอง ผม…ผมเป็นอัมพาตแล้วจริงๆ ผมยืนไม่ได้แล้ว”
หลี่เจิ้นลองขยับ แต่ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปไร้ความรู้สึก คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนได้จุดประกายความหวังในตัวเขา เธอมีความสามารถในการทำให้คนเชื่อ
“ปกติ เพราะถึงร่างกายนายจะปกติ แต่ตรงนี้ของนายป่วย” เสี่ยวเชี่ยนจับที่หัวใจตัวเอง หลี่เจิ้นทำตามเธอ
“คุณจะบอกว่าผมเป็นโรคหัวใจเหรอ?”
“ไม่ใช่ จิตใจนายที่มีปัญหา ฉันวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า นายมีความกังวลมากเกินไปจนทำให้ขาเดินไม่ได้ หรือที่เรียกันว่าSSD—ไม่สิ ไม่ใช่ที่เรียกกัน”
SSDหรือภาวะโซมาติก เป็นโรคที่ส่งผลกระทบในการดำเนินชีวิตอันเนื่องมาจากปัจจัยด้านสภาพจิตใจ นี่เป็นทฤษฎีที่พูดกันในอีกสิบกว่าปีให้หลัง เอามาพูดตอนนี้จะเร็วเกินไปมาก
บางคนก็เรียกว่าโรคกายและใจ เพียงแต่อาการของคนอื่นไม่ได้ชัดเจนแบบหลี่เจิ้น
“ถ้าใช้วิธีรักษาแบบจิตแพทย์ในการรักษานาย อย่างเร็วสุดหนึ่งวันขาของนายก็จะมีการตอบสนอง ช้าสุดหนึ่งเดือนนายก็จะยืนได้”
“คุณ…ล้อผมเล่นหรือเปล่า?” น้ำเสียงของหลี่เจิ้นสั่นเครือ หัวใจที่หมดหวังไปแล้ว ไม่รู้ทำไมกลับมามีความหวังอีกครั้ง ความรู้สึกที่หวาดกลัวความล้มเหลวทำให้เขาต้องเอานิ้วกดตาไว้อย่างหมดหวัง ไม่ให้เสี่ยวเชี่ยนเห็นน้ำตาของเขา
“อย่ามาหลอกผม เฉินเสี่ยวเชี่ยน อย่ามาหลอกผม ผมคงทนไม่ไหว ผมจะเป็นบ้า คุณอย่ามาให้ความหวังที่มันไม่มีอยู่จริง”
“ฉันเฉินเสี่ยวเชี่ยนพูดคำไหนคำนั้น ฉันบอกว่ารักษาได้ก็ได้สิ ถ้ารักษาไม่ได้ฉันจะตัดขายกให้นายเลย”