ตอนที่ 125 ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง + ตอนที่ 126 จุดประสงค์ที่คุณเข้ามาใกล้เขาคืออะไร

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 125 ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง

“หรือว่าคุณไม่คิดว่าผมเป็นลูกครึ่งบ้างเลยเหรอ?” เขาแตะไปที่ต่างหูคู่สีแดงของเธอด้วยมือซ้าย พลางพูดด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก “ผมเคยบอกคุณหรือเปล่าว่ายายของผมเป็นคนอังกฤษ”

เขาไม่มีทางเคยบอกเธออย่างแน่นอน ไม่แปลกใจที่ใบหน้าและสรีระของเขาดูดีกว่าคนทั่วไป หน่วนหน่วนเองก็คงได้ยีนของเขามาเต็ม ๆ

“ประธานจิ่งจะเป็นลูกครึ่งหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันค่ะ สามีของฉันรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงคุณก็ได้เห็นแล้ว ตอนนี้ฉันดูเป็นดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง[1] คุณพอใจแล้วหรือยังคะ?” เธอหลบสายตาเขา พลางเผยท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าอย่างน่าสงสาร

“เธอ……”

ได้ ในเมื่อเธอยังแกล้งเสแสร้งต่อไปแบบนี้ เขาก็จะเล่นต่อให้จบ!

เธอรู้สึกถึงน้ำหนักที่เบาขึ้นบนร่างกาย ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เธอไม่สามารถออกไปได้ในทันที

เสื้อผ้าและกระโปรงของเธอนั้นถูกฉีกขาดออกซะขนาดนั้น ใครจะสามารถใส่ต่อได้

เธอกอดผ้านวมด้วยความงุนงงว่าเธอจะทำยังไงต่อไปดี?

“ทางที่ดีคุณอย่าให้ผมจับพิรุธได้อีกละกัน”

เธอรีบสวมกระโปรงสีฟ้าอ่อนที่จิ่งเป่ยเฉินยื่นมาให้ โดยไม่ได้สนใจจิ่งเป่ยเฉินที่กำลังสวมเสื้อ เธอพยายามใส่เสื้อด้วยร่างกายที่เริ่มเจ็บปวด

เธอมองร่องรอยความยุ่งเหยิงและรอยยับบนเตียงพลางขมวดคิ้วยุ่ง ไม่สนใจจิ่งเป่ยเฉินที่กำลังหันหลังใส่ชุดสูทอยู่แต่อย่างใด เธอก้มตัวและรีบเดินออกไปทันที

จิ่งเป่ยเฉินได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ก่อนที่เธอจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว หากเปรียบดวงตาของเขาในตอนนี้ก็คงลึกล้ำราวกับทะเลลึก

เขาก้าวเดินออกไปด้านนอก นั่งสับสนมองไปที่เตียงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกัดริมฝีปากและหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ พลางยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี

อันโหรวคิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะเป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว

จริง ๆ แล้วพวกเขา….

ก็ได้! หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ราวกับไม่รู้ว่าปีนี้เป็นปีไหน

เมื่อคิดถึงช่วงเวลาตอนบ่ายสองที่มีถ่ายงาน เธอก็รีบลุกขึ้นทันทีก่อนจะหยิบกระเป๋าและเดินออกไปข้างนอก จึงได้พบกับฉิวซีที่เพิ่งกินข้าวเสร็จ

“อันอีหาน เธอช่างกล้ามากนะ หายไปครึ่งวันแบบนี้!” เธอมองก่อนจะเท้าไปที่เอวของตน ครั้งนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขาเลย

เธอสามารถบอกได้ว่าเธออยู่ที่บริษัทตั้งแต่แรกแล้ว?

“หัวหน้าฉิว ฉันมาตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ แต่กำลังพูดคุยเรื่องงานกับประธานจิ่งอยู่เลยไม่ได้แจ้งเวลาเข้างานล่วงหน้า” เธอหัวเราะก่อนจะเผยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่แหบแห้งออกมา แต่ทว่าเมื่อครู่นี้เพิ่งโต้เถียงกับจิ่งเป่ยเฉินค่อนข้างหนัก จึงทำให้น้ำเสียงแหบแห้งของเธอเริ่มแย่ลง

“คอของเธอนี่….” ฉิวซีสังเกตเห็นรอยแดงที่คอของเธอเป็นรอยจ้ำไปทั่ว ราวกับว่าเป็นรอยประทับตรา

“แปลกเหรอคะ? ลูกของฉันก็อายุห้าขวบแล้วนะ!” นิ้วของเธอเผลอชี้ไปที่ข้างนอก “วันนี้มีถ่ายงาน ฉันต้องไปแล้วค่ะ”

“เธอ….” ฉิวซีมองดูเธอเดินออกไปด้วยความไม่พอใจ

เมื่อเช้าตอนที่คุยงานกับประธานจิ่งมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครจะเชื่อ เธอไม่มีทางเชื่อหรอก

เมื่อมาถึงสตูดิโอถ่ายภาพก็เห็นพนักงานคนอื่น ๆ มาถึงกันแล้ว และกำลังเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ

เธอจึงเดินไปยังห้องแต่งตัวเพื่อหาเหอเฉ่า เมื่อเห็นว่าเธอเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วและกำลังแต่งหน้าอยู่ เธอจึงเดินเข้าไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มให้ “วันนี้รู้สึกยังไงบ้าง?”

“คุณอัน คุณมาแล้วเหรอคะ ฉันคิดว่าวันนี้คุณจะไม่มาเสียอีก ฉันรับประกันได้เลยว่าวันนี้จะต้องไม่มีเรื่องเกิดขึ้นเหมือนครั้งนั้นแน่นอนค่ะ” เธอพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่สวยงามเช่นนี้ ช่างดูนุ่มนวลและน่าหลงใหลจริง ๆ

“แน่นอน ฉันต้องมาอยู่แล้ว แค่มาช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง” เธอคิดอยากมาตั้งแต่เช้า ๆ แล้ว แต่เผลอหลับไปเสียก่อน

ตอนนี้เมื่อคิดถึงจิ่งเป่ยเฉิน เธอก็รู้สึกโกรธมาก โกรธจนอดขบฟันแน่นไม่ได้ ทั่วร่างของเธอนั้นเจ็บปวดไปหมด ครั้งที่แล้วเธอจำได้ว่าเขาเมา แต่ครั้งนี้เขามีสติดีทุกอย่าง

เมื่อมาทักทายเหอเฉ่าเป็นที่เรียบร้อย เธอจึงเดินออกไป

อันโหรวหาที่นั่งลงก่อนชั่วคราว พลางมองไปที่เหอเฉ่าที่อยู่เบื้องหน้า แต่ทันใดนั้นเองเธอก็รู้สึกหิวขึ้นมา ก่อนจะคิดว่าทุกอย่างเป็นความผิดของจิ่งเป่ยเฉิน กระทั่งมื้อกลางวันเธอก็ไม่ได้กิน

ขณะที่เธอกำลังคิด จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกจากใครบางคน

“อันอีหาน มีคนชื่ออันอีหานอยู่ไหม?“

“ฉันเองค่ะ” เธอมองไปที่คนส่งอาหาร ซึ่งเธอรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนสั่งมันแน่ ๆ

“นี่เป็นอาหารของคุณครับ ช่วยเซ็นรับด้วย” ชายคนนั้นหยิบถุงอาหารขนาดใหญ่ยื่นมาให้อันโหรว พร้อมกับแนบกระดาษมาให้เธอเซ็น

อันโหรวมองไปที่ถุงอาหารในมือ ก็พลันเห็นตัวอักษร ‘ร้านอาหารซิว’ เธอก็เข้าใจทุกอย่างในทันที

เพราะว่าที่แห่งนี้เป็นที่ที่จิ่งเป่ยเฉินชอบไปกินมาก อาหารที่สั่งมาหากไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครได้อีก

เพราะตั้งแต่เช้ายันเที่ยงที่นอนหลับกับเขาไปหนึ่งช่วง เขาเลยส่งอาหารมาให้กินแบบนี้ไม่ใช่หรือไง

เธอยิ้มและเซ็นชื่อ ก่อนจะยื่นคืนให้คนส่งอาหารและถือถุงอาหารไปที่มุมเงียบ ๆ และกินมื้อกลางวัน!

[1] ดอกซิ่งแดงออกนอกกำแพง หมายถึงหญิงสาววัยแรกรุ่นที่อยากมีคู่ พยายามเสนอตัวเอง ทำตัวเด่น เรียกร้องความสนใจ เพื่อให้เพศตรงข้ามสังเกตเห็นและสนใจตน แล้วยังสื่อความหมายโดยนัยถึงหญิงมีสามีแล้วที่ไม่สำรวมตน คบชู้สู่ชายอีกด้วย

……………………..

ตอนที่ 126 จุดประสงค์ที่คุณเข้ามาใกล้เขาคืออะไร

ขณะที่กำลังกินอย่างมีความสุข ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอจึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ก่อนจะรู้ว่ามันเป็นสายจากฮ่าวเหล่ย

เธอรีบดึงทิชชูออกมาเช็ด ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปด้านนอกเพื่อหาที่เงียบ ๆ พลางกดรับโทรศัพท์ เธอเปลี่ยนน้ำเสียงเล็กน้อยก่อนจะพูด “ผอ.ฮ่าว”

“ขอบอกเลยนะคุณอันอีหาน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่! มาเรียนแค่วันเดียว สองวันก็ลาซะแล้ว! โรงเรียนอนุบาลเองก็สำคัญมากนะ ไม่ใช่ว่าพวกคุณคิดจะมาก็มา รู้หรือเปล่าว่ามีใครหลายคนต่างก็อยากเข้าโรงเรียนอนุบาลของเรา แต่ใช่ว่าจะเข้าได้ รู้อยู่หรอกว่าคุณถังเขาสนับสนุนพวกคุณ แต่เวลาเรียนแบบนี้กลับไม่เข้า ไม่คิดอยากจะเรียนแล้วเหรอ?” ฮ่าวเหล่ยรู้สึกโมโหเล็กน้อย เพราะตอนนั้นคิดอยากจะให้เข้าเรียน แต่ก็มาเพียงแค่หนึ่งวัน

“ผอ.ฮ่าวอย่าเพิ่งโกรธไปเลยค่ะ พรุ่งนี้รับรองว่าฉันต้องส่งพวกเขาไปเรียนแน่นอน” เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จิ่งเป่ยเฉินคงจะไม่ทำอะไรที่น่าเบื่อ อย่างเช่นอยากตามไปรับอีกหรอกมั้ง?

ไม่ใช่สิ เขาย่อมทำตามอำเภอใจแน่ ๆ

“แบบนั้นก็ดีค่ะ!” ฮ่าวเหล่ยพูดจบก็วางสายไป

เมื่อเธอได้ยินเสียงดัง “ตื้ด ตื้ด ตื้ด” ก็หันหลังกลับ ก่อนที่หางตาของเธอจะเหลือบไปเห็นร่างของคนคนหนึ่งที่กำลังจับจ้องมาที่เธอ และแน่นอนว่านั่นคือลูซี่ที่กำลังจ้องมองมาที่เธอ

เสียงของเธอกลับมาแหบแห้งอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างใจเย็นไปว่า “มีธุระอะไรเหรอคะ?”

“เมื่อครู่ที่ได้ยินเสียงของเธอ มันไม่ใช่แบบนี้นี่!” ลูซี่เอ่ยถามอย่างมั่นใจ

เธออดไม่ได้ที่จะไม่คิดถึงเรื่องเมื่อกี้ ก่อนจะถอนหายใจออกมา ตอนที่ได้พบกับอันอีหานเมื่อครู่ก็รับรู้ได้ว่าเสียงของเธอนั้นแตกต่างจากเสียงในครั้งไหน ๆ

“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่คะ?” อันโหรวไม่ได้ตอบคำถาม ถ้าหากเธอจำไม่ผิดละก็ ครั้งที่แล้วเธอได้ออกจากห้องของจิ่งเป่ยเฉินไปด้วยความโกรธ เดินกระแทกเท้าออกไปโดยไม่สนใจใคร

“ฉันกำลังถ่ายงานอยู่ที่สตูดิโอข้าง ๆ” ลูซี่เดินเข้ามาใกล้ ๆ เธอทีละก้าว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เธอทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน เธอที่ดูน่าเกลียดขนาดนี้ ทั้งยังใช้เสียงที่ไม่น่าฟังอีก มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ถึงได้เข้าใกล้ตัวจิ่งเป่ยเฉินแบบนั้น?”

“คุณจินตนาการเกินกว่าเหตุแล้ว ขอชื่นชมจริง ๆ” เธอยิ้มและพยักหน้า ก่อนจะกำโทรศัพท์ไว้ในมือและเดินหันหลังกลับ ก่อนจะพูดว่า “ฉันยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ ขอตัวก่อนนะคะ”

“วิ่งหนีเร็วขนาดนี้ ไม่คิดจะสำนึกผิดเลยสินะ!” ลูซี่เดินตามเธอไปอย่างไม่ลดละ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “อันอีหาน เธอหยุดเดี๋ยวนี้นะ! เธอพูดออกมาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้!”

ฉิวซีที่เพิ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง เมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นก็รับรู้ได้เลยว่าเกี่ยวข้องกับอันอีหาน เธอรู้สึกสนใจอย่างมากจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินตามเข้าไปในสตูดิโอทันที

“อันอีหาน เธอจงใจเข้ามาที่บริษัทจิ่งและใช้น้ำเสียงแหบแห้ง มีแผนอะไรอยู่กันแน่!” ลูซี่เดินเข้ามาโดยไม่แม้แต่จะเก็บเสียงจากรองเท้าส้นสูงที่ดังขึ้นเลยแม้แต่น้อย

อันโหรวท้ายที่สุดก็ต้องยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่สายตาของเธอจะเหลือบเห็นฉิวซีที่กำลังเดินเข้ามา

เธอไม่ควรมาเวลานี้เลยจริง ๆ

“คุณลูซี่น่าจะคิดผิดแล้ว เสียงของฉันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วค่ะ บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันกำลังเลียนเสียงเพื่ออย่างน้อยจะทำให้ทุกคนสบายใจอยู่ก็ได้” เธอเคยคิดไว้แล้วว่าอาจถูกเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องเล็กน้อยพวกนี้จะถูกพบโดยลูซี่เสียได้

“เธอยังคิดว่าฉันจะเชื่อเธออยู่อีกเหรอ!” ลูซี่สังเกตเห็นฉิวซี ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณน่าจะเป็นพนักงานของบริษัทสกุลจิ่ง เธอคนนี้เมื่อครู่ฉันได้ยินเสียงอีกเสียงของเธอที่เปลี่ยนไปตอนคุยโทรศัพท์ เสียงมันไม่ได้เป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ”

เสียงที่เอะอะดังขึ้นในสตูดิโอส่งผลให้ทุกคนจับจ้องสายตามาที่พวกเขา คล้ายรอคอยดูโชว์สนุก ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น

“เสียงคงไม่ใช่พวกอาชญากรรมหรอกใช่ไหม?” อันโหรวยิ้มก่อนจะเผยใบหน้าที่สงบนิ่งและพูดว่า “หัวหน้าฉิว มันไม่ควรมีคนนอกมาอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูซี่ที่กำลังโกรธเคืองอยู่ตอนนี้

“อันอีหาน ในเมื่อคุณลูซี่พูดออกมาแบบนี้ เธอก็ต้องอธิบายให้ประธานจิ่งเข้าใจด้วย เธอเคยเป็นพนักงานของพวก TE ที่อยู่ประเทศอังกฤษ พวกเราทุกคนก็เคยสงสัยว่าเธอเป็นสายลับเหมือนกัน” ฉิวซีพูดขึ้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา คิดที่จะโทรไปหาจิ่งเป่ยเฉิน

“หัวหน้าฉิว คุณจะคิดเล็กคิดน้อยไปเพื่ออะไรกัน?” เธอไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเลย เพราะจิ่งเป่ยเฉินรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าเธอเปลี่ยนเสียงได้

“เรื่องนี้เป็นมาตรการความปลอดภัย เราเองก็ต้องระวังเธอเหมือนกัน!” ฉิวซีมองไปที่เธอ ก่อนจะกดโทรออก

อันโหรวเหลือบมองลูซี่ ก่อนจะหันไปมองทุก ๆ คนที่อยู่ด้านข้าง และพูดขึ้น “อะไรกัน ดูแบบนี้ไม่คิดจะทำงานกันบ้างเลยเหรอ?”

เธอยังกินข้าวกลางวันไม่เสร็จ! ยังจะมาถูกลูซี่รังควานแบบนี้อีก!

เหอเฉ่ามองไปที่อันโหรวด้วยท่าทีจดจ่อ ภายในหัวของเธอล้วนเต็มไปด้วยคำถาม