ตอนที่ 89 คุณอยู่ที่นี่ได้ตามสบาย / ตอนที่ 90 ผมอยากเป็นหนึ่งเดียวในโลก

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 89 คุณอยู่ที่นี่ได้ตามสบาย

 

 

จางมากลับมาถึงห้องก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจโทรหาป๋อจิ่งชวน

 

 

“อืม” เสียงต่ำราบเรียบดังขึ้น

 

 

“คุณผู้ชาย คุณยังอยู่ที่บริษัทรึเปล่าคะ”

 

 

แม้จางมาจะเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังทำให้คิ้วสวยของเขากระตุกเล็กน้อย

 

 

เพียงเสี้ยวนาทีของความเงียบงันก็ทำให้จางมารู้สึกได้ถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี

 

 

เธอรู้ดีว่าคุณผู้ชายจะถือมากหากมีใครมาถามว่าเขาอยู่ที่ไหน

 

 

เธอจึงรีบพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “คุณหนูเฉินเธอบอกว่าจะรอคุณกลับมาทานมื้อเย็นพร้อมกันค่ะ”

 

 

นัยน์ตาลึกล้ำประกายแสงแห่งความประหลาดใจ เขากวาดตามองเอกสารข้างๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่แล้วนิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะรวบเอกสารในมือเข้าด้วยกัน

 

 

“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

 

 

“…ได้ค่ะ คุณผู้ชาย!”

 

 

จางมานิ่งไปครึ่งวิก่อนจะตอบรับ

 

 

เวลาหนึ่งทุ่มตรง รถหรูค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาในคฤหาสน์อันกว้างขวาง

 

 

เฉินฝานซิงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก เพราะตอนบ่ายยังไม่ได้พักผ่อนตอนนี้เธอจึงเริ่มง่วงงุนขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว

 

 

ขณะที่ป๋อจิ่งชวนเดินเข้ามาก็ได้เห็นเข้ากับเฉินฝานซิงที่กำลังขดตัวอยู่บนโซฟาเข้าอย่างพอดิบพอดี มือข้างหนึ่งของเธอวางอยู่บนพนักแขนข้างลำตัว เส้นผมนุ่มดุจเส้นไหมสีดำขลับลู่ลงมาเล็กน้อย ตอนนี้เส้นไหมละเอียดได้ปรกลงตรงหัวไหล่ ขาคู่นั้นงอเอียงไปยังอีกข้างหนึ่งของโซฟา แสงจางๆ กระจายอยู่บนข้อเท้าขาวนวลท่ามกลางแสงไฟ

 

 

เธอก้มหน้าลงคล้ายกำลังงีบหลับ

 

 

“คุณผู้ชาย คุณ…” จางมาเห็นป๋อจิ่งชวนเข้า จึงทักขึ้นเสียงต่ำแต่กลับถูกเขายกมือขึ้นปรามเอาไว้

 

 

เธอโน้มตัวลง พลางถอยออกไปย่างเงียบเชียบ

 

 

 

 

เขาก้าวเข้าไปใกล้โซฟาอย่างช้าๆ แสงไฟกลมๆ กลายเป็นไฮไลท์บนหน้าผากของเธอ

 

 

เขาโน้มตัวลงไปอย่างเผลอไผล เอื้อมมือเกลี่ยเส้นผมซอยที่ปลกอยู่บนไหล่ให้เปิดออก

 

 

แสงไฟพาดผ่านลงบนสันจมูกสวย แพขนตาลู่ลงจนเกิดเงาน้อยๆ ลมหายใจเงียบแทบจะไร้ซึ่งเสียง

 

 

แม้กระทั่งตอนนอนยังดูสงบเยือกเย็นขนาดนี้

 

 

จมูกไวได้กลิ่นหอมเย็นที่แสนคุ้นเคย เฉินฝานซิงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ภาพตรงหน้าคือชายหนุ่มที่รูปหน้าสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าใคร

 

 

หัวใจเธอกระตุกวูบ ก่อนจะถอยร่นไปข้างหลังเพื่อเว้นระยะของทั้งคู่

 

 

“คุณกลับมาแล้ว?”

 

 

เส้นผมหนานุ่มลื่นไหลออกจากหว่างนิ้วเขาไป นัยน์ตาของเขามืดสลัวลงอย่างแทบไม่ทันสังเกตเห็น ก่อนจะเหยียดกายขึ้นเต็มความสูงอย่างนิ่งสงบ

 

 

“ทำไมมานอนตรงนี้ ไม่กลัวจะป่วยเอาเหรอ”

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก แค่แป๊บเดียวเอง” เธอว่าพลางยกขาออกจากโซฟา หลังจากหารองเท้าแตะเจอแล้วจึงลุกขึ้นยืน

 

 

เธอเหลือบไปมองนาฬิกาบนโทรทัศน์หนึ่งครั้ง “คุณกลับบ้านดึกแบบนี้ประจำเหรอ”

 

 

ป๋อจิ่งชวนถอดเสื้อสูทออกแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ชินแล้ว”

 

 

เฉินฝานซิงขมวดคิ้วมุ่น ความเคยชินแบบนี้ไม่ดีแน่

 

 

หันกลับมามองอีกที เขาก็ได้ตรงเข้าไปล้างมือในห้องน้ำตรงชั้นหนึ่งแล้ว

 

 

 

 

บนโต๊ะอาหารมีเพียงเสียงกระทบกันเบาๆ ของเครื่องกระเบื้อง

 

 

ปริมาณอาหารของทั้งคู่ไม่ได้มากนัก ขณะที่ใกล้จะเสร็จเฉินฝานซิงจึงได้บอกกับเขาว่า

 

 

“ฉันเลือกอยู่ที่บ้านหลังแรกนะ อีกสองวันฉันก็จะไปหาบ้านแล้ว เพราะงั้นสองวันนี้รบกวนหน่อยนะ”

 

 

ป๋อจิ่งชวนวางตะเกียบลง ใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดตรงมุมปากด้วยท่วงท่าสง่า

 

 

จากนั้นจึงมองไปยังเธอ “ผมไม่ลำบากหรอก คุณอยู่ที่นี่ได้ตามสบายเลย”

 

 

เฉินฝานซิงพยักหน้ารับยิ้มๆ “ยังไงก็ไม่ค่อยดี”

 

 

แววตาของเข้าค่อยๆ หม่นลง “ตามใจ”

 

 

เธอมองไปยังเขาพร้อมทั้งรับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังอารมณ์เขาไม่ดี เพียงแค่คิดว่าจะพูดอะไรเสียงกริ่งที่คุ้นเคยก็ได้ดังมาจากทางห้องรับแขก

 

 

มันคือเสียงโทรศัพท์ของเฉินฝานซิงนั่นเอง

 

 

เธอหยิบผ้าขึ้นเช็ดปากแล้วลุกเดินไปยังห้องรับแขก

 

 

เมื่อเห็นหน้าจอโทรศัพท์ใบหน้างามก็เย็นเยียบทันที

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 90 ผมอยากเป็นหนึ่งเดียวในโลก

 

 

ปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน จนกระทั่งป๋อจิ่งชวนเดินเข้ามามองเธอจากด้านหลัง เธอถึงได้กดรับมัน

 

 

“ทำไมถึงเพิ่งมารับเอาป่านนี้!”

 

 

เมื่อกดรับน้ำเสียงหงุดหงิดของเฉินเต๋อฝานก็ดังขึ้น

 

 

เธอถามเสียงเย็น “มีธุระอะไร”

 

 

“สารเลว ไม่มีธุระฉันก็โทรหาแกไม่ได้เลยใช่ไหม”

 

 

เสียงของเฉินเต๋อฝานดังลอดออกมา ท่ามกลางห้องรับแขกโอ่อ่าที่เงียบสงบ เธออดไม่ได้ที่จะขยับโทรศัพท์ให้ห่างออกจากหูเล็กน้อย เหลือบมองป๋อจิ่งชวนที่กำลังมองเธออยู่ ก่อนจะเม้มปากเล็กน้อยแล้วหันกลับมา

 

 

“ถ้าไม่มีอะไรฉันวางนะ”

 

 

“ระยำเอ๊ย พรุ่งนี้กลับบ้านมาหาฉันหน่อย!”

 

 

“ทำไม” เธอยิ้มเย็น รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังแกล้งถามไปอย่างนั้น

 

 

วันนั้นเธอตบหน้าเฉินเชียนโหรวไปฉาดนึงที่จัตุรัสซินซื่อเจี้ยแถมยังทุบรถแสนรักของเธอด้วย กลับไปเธอก็คงฟ้องพลางร้องห่มร้องไห้ปานดอกสาลี่ต้องหยาดฝน [1]

 

 

คิดบัญชีย้อนหลังแบบนี้ ตระกูลเฉินทำมานักต่อนัก เธอชินเสียแล้ว

 

 

ครั้งนี้ก็คงหนีไม่พ้นมาทวงความเป็นธรรมให้เฉินเชียนโหรวอีกตามเคย

 

 

เธอรู้อยู่แล้ว

 

 

“เดี๋ยวแกกลับมาก็รู้เอง!” เฉินเต๋อฝานกระแทกเสียงตัดรำคาญ!

 

 

ตอนแรกคิดว่าโทรศัพท์จะถูกตัดไปแล้ว แต่สุดท้ายเฉินเต๋อฝานก็ได้พูดเสริมขึ้นอีก “ปู่ของแกเองก็บ่นๆ ถึงแกอยู่ แกลองคิดดูสิว่าไม่ได้กลับมาหาท่านนานแค่ไหนแล้ว!”

 

 

จริงๆ เฉินฝานชิงไม่ได้คิดจะกลับไป ทว่าประโยคสุดท้ายของเฉินเต๋อฝานกลับทำให้ใจของเธอกระตุกวูบ

 

 

คุณปู่…

 

 

ถ้าจะพูดให้ถูกความรู้สึกเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ต่อสกุลเฉินนั่นก็คงหนีไม่พ้นความรู้สึกต่อคุณปู่ของเธอ

 

 

ตอนเด็กๆ คุณปู่ทั้งรักและเอ็นดูเธอมาก เธอเคยออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของท่าน เคยนั่งอยู่บนไหล่ของท่าน เคยเล่นว่าวด้วยกัน ตกปลาด้วยกัน ท่านยังเคยถักเปียให้อีกด้วย แม้มันจะไม่ถือว่างดงามเสียทีเดียว

 

 

แต่เดิมทีเธอก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำ

 

 

ทว่าหลายปีมานี้คนที่เป็นห่วงเป็นใยเธอจริงๆ ก็เกรงว่าจะมีแค่คุณปู่เท่านั้น

 

 

ไม่ได้กลับไปเยี่ยมท่านตั้งนาน ดูๆ แล้วก็ครึ่งปีเห็นจะได้

 

 

คงต้องกลับไปเยี่ยมท่านสักหน่อยแล้ว

 

 

หลังจากวางสายไป เฉินฝานซิงได้นำโทรศัพท์เย็นๆ แตะลงหว่างคิ้วของเธอแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

 

หันหน้ามาเธอเจอเข้ากับป๋อจิ่งชวนที่ยังคงยืนอยู่ในห้องรับแขกแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนเพลียเล็กน้อย

 

 

“พรุ่งนี้ัฉันคงต้องกลับบ้านสกุลเฉินสักหน่อย”

 

 

“ผมจะให้คนไปส่ง”

 

 

เธอพยักหน้ารับเบาๆ จากที่นี่ถึงบ้านสกุลเฉินเธอเองก็อยากให้มีคนไปส่งเธอสักหน่อย

 

 

“จะออกไปเดินเล่นสักหน่อยไหม” เขามองเธอพลางออกปากถาม “เพิ่งทานเสร็จต้องออกกำลังหน่อย”

 

 

“ก็ดีค่ะ” ที่นี่บรรยากาศดี การออกไปเดินเล่นสักหน่อยหลังมื้อค่ำก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

 

 

 

 

อากาศต้นฤดูใบไม้ผลิ ดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย ยามเช้ายังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของอากาศ ตกค่ำก็หนาวลงมานิดหน่อย

 

 

ก่อนป๋อจิ่งชวนจะเดินออกมาได้คว้าเสื้อสูทออกมาด้วย ตอนที่เดินออกมาเขาจึงได้นำมันคลุมไว้บนไหล่ของเธอ

 

 

เฉินฝานซิงหันมามองเขาพร้อมหัวใจที่อุ่นซ่าน

 

 

เมื่อรวบเสื้อคลุมบนร่างกายเข้าด้วยกันแล้ว ก็พบว่ากลิ่นบนร่างกายเธอนั้นช่างหอมหวน

 

 

กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ทำให้เธอเริ่มร่างกลิ่นของเขาขึ้นมาในสมอง

 

 

“คิดอะไรอยู่” เขาถาม

 

 

“คิดถึงกลิ่นของคุณ”

 

 

เธอตอบไปอย่างลืมตัว จนเท้าของป๋อจิ่งชวนค่อยๆ หยุดลง

 

 

เธอกลอกตาพลางเอ่ยขึ้นทั้งใบหน้าที่แดงปลั่ง “ฉันหมายถึง…บนโลกใบนี้จะมีน้ำหอมกลิ่นไหนที่เข้ากับคุณ”

 

 

รอยยิ้มผุดขึ้นตรงหว่างคิ้วของเขา “จะออกแบบน้ำหอมให้ผมเหรอ”

 

 

“คุณจะใช้หรือเปล่า”

 

 

“แน่นอนสิ ผมอยากเป็นหนึ่งเดียวในโลก”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ดอกสาลี่ต้องหยาดฝน เปรียบเปรยกับหญิงสาวที่ถึงแม้จะร้องไห้แต่ก็ยังงดงาม