ตอนที่ 75 : ปัญหามาถึงที่
ไม่ใช่แค่ที่ห้องสมุด ไม่ว่าหวังเย่าและจ้าวเมิ่งซีจะปรากฏตัวขึ้นที่ใด มันก็จะเกิดฉากคล้าย ๆ กันขึ้น
ยังไม่พ้นช่วงบ่ายในเว็บของมหาวิทยาลัยก็มีหลายโพสที่พูดถึงเด็กใหม่ที่หน้าตาสวย มีคนมากมายเข้ามาพูดคุยกันในเรื่องนี้
และคนที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดไม่ต้องเดาเลยว่าก็คือจ้าวเมิ่งซีและหวังเย่า มีคนจำนวนมากพากันพูดเชิงเสียหายโดยเล็งเป้าหมายไปที่หวังเย่า
มันถึงกับมีคนโด่งดังหลายคนที่อิจฉาตาร้อนขู่ว่าจะอัดหวังเย่า เพื่อดูว่าเขามีดีแค่ไหนถึงได้กล้ามาอยู่ใกล้เทพธิดาแบบนี้ พวกเขาจะทำให้หวังเย่าได้รับรู้ถึงความอับอาย จนกว่าจ้าวเมิ่งซีจะทิ้งเขาไป
พวกเขาถึงจะได้มีโอกาสในการไล่จีบจ้าวเมิ่งซี ซึ่งพอถึงตรงนี้พวกเขาจะทำการแข่งขันกันว่าใครจะเป็นคนที่ได้ใจเธอไปครอง ไม่ใช่แค่จะได้สาวงามมาไว้ในครอบครอง แต่ยังได้รางวัลมาเป็นล้าน ๆ เครดิตด้วย
เนื่องจากหวังเย่ายังไม่ได้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยหัวเซี่ยอย่างเป็นทางการ จึงไม่อาจจะเข้าไปดูในเว็บของมหาวิทยาลัยได้ ดังนั้นเลยไม่เห็นว่าคนอื่น ๆ พูดถึงเขายังไง
หลังจากที่กินข้าวเที่ยงกับจ้าวเมิ่งซีเสร็จ ทั้งสองก็ได้กลับไปที่ห้องสมุดเพื่อเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ เพิ่มเติม
“นายคิดว่าสายตาพวกนั้นแปลก ๆ มั้ย ? ” ช่วงนี้จ้าวเมิ่งซีค่อนข้างสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หวังเย่าแอบมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพยักหน้า “ฉันเองก็ว่าพวกนี้แปลก ดูเหมือนว่าพวกนี้จะสนใจฉัน แต่เป็นการสนใจแบบหวังร้ายน่ะ”
ตอนนั้นเองก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนแรกเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปีหน้าตาหล่อเหลา เขาใส่ชุดแบรนด์เนม ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มดูมั่นใจออกมา
ด้านหลังเขามีคนกว่า 20 คนติดตามมา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหัวหน้าคนกลุ่มนี้ ถึงเขาจะไปหาเรื่องใคร ก็ไม่ต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย
“รุ่นน้องจ้าวเมิ่งซีสินะ ? ” ชายหนุ่มพูดขึ้นมา “ฉัน ฉินเหลย อยู่ปีสาม ได้ยินมาว่าเด็กใหม่ปีนี้มีคนที่สวยอย่างกับนางฟ้าอยู่ ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่เพื่อตรวจสอบ ขออภัยที่มารบกวนอย่างกะทันหัน”
จ้าวเมิ่งซียิ้มออกมา “ยินดีที่ได้พบรุ่นพี่ฉินเหลย ฉัน จ้าวเมิ่งซี ไม่ทราบว่ารุ่นพี่มีธุระอะไรหรือเปล่า ? ”
ถึงจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่ความหมายของมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
ทำให้สีหน้าของฉินเหลยหม่นลง ด้วยหน้าตาและฐานะของตระกูลเขาแล้ว ผู้หญิงมักจะวิ่งเข้าหาเขาตลอด ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะปฏิบัติในทางตรงกันข้าม
เขาเผยรอยิ้มแปลก ๆ ออกมา และมองไปที่จ้าวเมิ่งซี “แต่ทำไมรุ่นน้องถึงรีบไล่พวกเราไปนัก นอกจากจะมาทำความรู้จักกับเธอแล้ว ฉันเองก็อยากเจอคนที่ตัวติดกับเธอที่ชื่อว่าหวังเย่าด้วย”
หวังเย่าแปลกใจนิด ๆ พวกนี้รู้จักชื่อของจ้าวเมิ่งซีได้ยังไง ?
จำได้ว่าพวกเขาไม่เคยคุยกับใครมาก่อนเลยนอกจากฝ่ายศึกษา
ด้วยความสงสัยในใจ หวังเย่ จึงพูดขึ้นมาทันที “รุ่นพี่นี่รอบรู้จริง ๆ ถึงจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลับรู้ชื่อพวกเราได้ รุ่นพี่มีอสูรที่สามารถทำให้รู้ชื่อคนอื่นหรือ ? ”
“ฮ่าฮ่า….” พวกลูกน้องด้านหลังฉินเหลยต่างพากันหัวเราะออกมา
ฉินเหลยเองเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “สมองของรุ่นน้องหวังเย่าคงพังไปแล้ว เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกว่ามีสัตว์อสูรแบบนั้นอยู่ด้วย แต่ในเมื่อรุ่นน้องพูดแบบนั้นออกมา ที่เมืองอรุณอาจจะมีสัตว์อสูรแบบนั้นอยู่ก็ได้ และถ้ามีจริง ๆ ล่ะก็ ฉันอยากให้นายแนะนำมันให้ฉัน เพื่อคลายข้อสงสัยหน่อย”
หวังเย่าโบกมือคล้ายไม่ได้คิดอะไรมาก “เมืองอรุณเป็นสถานที่เล็ก ๆ ทุกอย่างนั้นล้าหลัง แต่เมืองหัวเซี่ยน่ะเป็นที่ที่คึกคักและเจริญกว่า มีทั้งคนที่เก่งและพวกกระจอกปะปนกันไป ฉันมาจากสถานที่เล็ก ๆ ไม่รู้จักอะไรมาก เลยคิดว่าในเมืองใหญ่อาจจะมีสัตว์อสูรที่มีความสามารถรู้ชื่อแบบนั้นอยู่ ไม่อย่างนั้น คนที่เพิ่งมาถึงแค่สองวัน แถมยังไม่เคยพูดคุยกับใครเลยสักคน จะมีคนเรียกชื่อถูกได้ยังไง นั่นไม่ประหลาดไปหน่อยหรือ”
คำพูดของหวังเย่าเหมือนจะไร้สาระ แต่ความหมายมันชัดเจนอยู่แล้ว หวังเย่าด่าฉินเหลยและคนอื่น ๆ ว่าเป็นสัตว์อสูรที่เสือกเรื่องชาวบ้าน และเหตุนี้มันจึงทำให้พวกนั้นสีหน้าบิดเบี้ยวไปตาม ๆ กัน
“ พูดได้ดีจริง ๆ นายไม่ใช่คนทั่วไปสินะ ไม่แปลกเลยที่คนธรรมดา ๆ อย่างนายถึงเอาชนะใจจ้าวเมิ่งซีไปได้ นายมันฝีปากกล้านี่เอง”
คำถากถางของฉินเหลยนั้นเทียบไม่ได้กับคำด่าของหวังเย่าเลยแม้แต่น้อย มันทำได้แค่ทำให้จ้าวเมิ่งซีไม่พอใจนิดๆ
จ้าวเมิ่งซีขมวดคิ้วและพยายามจะอธิบาย แต่หวังเย่ากลับจับมือเธอไว้และก้าวออกมาขวางข้างหน้า
“พวกนายน่ะโชคร้าย เธอมีฉันอยู่แล้ว เพราะถ้าเธอไม่ได้คุยกับฉัน เธอคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ” หวังเย่ายักคิ้ว “อีกอย่าง ถึงแม้ฉันจะไม่กล้าพูดว่าจะอยู่กับเธอตลอดไป แต่ตราบใดที่ฉันไม่ปล่อยเธอ งั้นก็ไม่ปล่อยให้ใครแย่งเธอไปจากฉันได้ บอกตรง ๆ เลยนะว่าพวกนายไม่มีสิทธิ์”
“แน่นอนว่าถ้าพวกนายไม่พอใจและอยากจะใช้ลูกไม้อะไรก็ลงมือได้เลย ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกนายจะมีความสามารถสักแค่ไหน”
หวังเย่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย เขาประกาศความเป็นเจ้าของในตัวจ้าวเมิ่งซี จนทำให้ฉินเหลยและคนอื่น ๆ ต้องสีหน้าบิดเบี้ยวไป ในหัวพวกเขามีแต่ความหงุดหงิดที่ก่อขึ้นมา
แต่ทว่า ความมั่งคั่งทำให้ผู้คนหวั่นไหว สาวงามก็คือความปรารถนาของผู้คน ถึงหวังเย่าจะพูดแบบนั้น แต่จ้าวเมิ่งซีน่ะสวยราวกับนางฟ้า ฉินเหลยไม่อาจจะปล่อยเธอไปง่าย ๆ
อีกอย่างการที่หวังเย่าพูดแบบนี้ ก็ทำให้ฉินเหลยเสียหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายกำลังท้าทายเขาซึ่ง ๆ หน้า ถ้าหากไม่ทำอะไรเลย เขาก็จะยิ่งโดนดูถูก และอีกฝ่ายก็จะยิ่งไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
“ปากแกนี่มันวอนหาเรื่องจริง ๆ ” ลูกน้องด้านหลังฉินเหลยทนไม่ไหวอีกต่อไป
ดวงตาของฉินเหลยพลันเย็นชา แต่เมื่อมองไปที่จ้าวเมิ่งซี สายตาของเขาก็สะท้อนความต้องการออกมา เขาได้กัดฟันแน่นและพูดขึ้น “ไว้หน้าเขาหน่อย อย่าทำอะไรเขา ฉันจะให้เวลาแก 4 เดือน เมื่อครบกำหนดเราจะมาสู้กันในวันประชุมพยับเมฆ”
สำหรับการประชุมพยับเมฆนั้น หวังเย่าเคยได้ยินมาครั้งหนึ่งและไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่เขาก็คิดว่ามันคงเป็นงานแข่งขันอย่างหนึ่ง
เขายิ้มออกมาด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัว “ตกลงตามนั้น ถ้าใครไม่มาถือว่าเป็นหมา”
เมื่อเห็นว่าหวังเย่าดูมั่นใจ ฉินเหลยและคนอื่น ๆ ก็พากันกังวล รึว่าไอ้เด็กนี่จะมีคนให้พึ่ง ?
“เด็กนี่ไม่กลัวพวกเราเลยรึยังไง ? หรือว่ามันคิดจะขู่เรา ? แม้ว่ามันจะเป็นอันดับ 1 ของเมืองอรุณ แต่ข้อมูลที่เราได้มาก็บอกว่ามันมีอสูรระดับทองแค่ 2 ตัว แต่ทำไมมันถึงได้มั่นใจแบบนี้…”
ฉินเหลยแสดงท่าทีสนใจออกมาและพูดขึ้น “แกเลือดร้อนดีนี่ แต่ความเลือดร้อนกับความกล้าที่แกมี เมื่ออยู่ต่อหน้าความแข็งแกร่งแล้วมันไม่ต่างอะไรจากเรื่องตลกเลย อย่าผิดคำพูดก็แล้วกัน”
“ไม่มีปัญหา” หวังเย่าแสดงท่าทีเฉยเมยออกมา