เมื่อได้ยินคำถามของอันหลิน ใบหน้าของเถียนหลิงหลิงก็ฉายความลำบากใจ

“เป็นอะไรไป ไม่ได้เหรอ” อันหลินถามอย่างกังวลใจ

เถียนหลิงหลิงไม่ตอบ แต่พูดขึ้นมาว่า “อันที่จริง…ตงฟางเสวี่ยคนนี้ นายรู้จักอยู่แล้ว…”

“ฉันรู้จักงั้นเหรอ!” อันหลินได้ฟังก็ตกใจ

เถียนหลิงหลิงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ตงฟางเสวี่ยก็คือเซียนหญิงจิ้งซินในกลุ่มนั่นแหละ!”

“เซียนหญิงจิ้งซิน…”

อันหลินได้ฟังก็เบิกตากว้าง เหตุการณ์ต่างๆ ผุดขึ้นในสมองของเขา

เซียนหญิงจิ้งซินปรากฎตัวครั้งแรกในกลุ่ม ตกใจกับความเร็วในการเลื่อนขั้นอันน่ากลัวของเขาจนเกิดความสงสัยในชีวิต จากนั้นก็อาเจียนเป็นเลือดเป็นลมหมดสติไป…

เซียนหญิงจิ้งซินปรากฎตัวครั้งที่สองในกลุ่ม เมื่อโผล่มาก็วิงวอนขอร้องเขา อยากเข้าร่วมภารกิจล้อมสังหารราชามารในครั้งนี้

แต่เพราะได้นักพรตกายแห่งมรรคขั้นสิบครบแล้ว เขาจึงปฏิเสธเธอไปอย่างสมเหตุสมผล…

“นี่มัน…” อันหลินมึนงง

ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเขาจะพูดออกมาว่า “เวรกรรมแท้ๆ…”

ตอนแรกมีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกัน เขาอาจจะได้ลายเซ็นก็ได้

แต่ว่า อันหลินกลับทำร้ายเธอโดยไม่ได้ตั้งใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไปขอลายเซ็นเธอตอนนี้ เธอจะให้เหรอ

อาจจะตบหน้าแทนล่ะมั้ง…

สวรรค์เคยปราณีใครบ้าง!

อันหลินหน้าซีดเซียว นอนแอ้งแม้งอยู่บนเก้าอี้

เถียนหลิงหลิงเองก็สังเกตเห็นความสัมพันธ์นี้เช่นกัน ถึงได้ทำหน้าลำบากใจ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

“อันที่จริง…อยากได้ลายเซ็นก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง เพียงแต่ว่าค่าตอบแทนสูงไปหน่อย…”

เถียนหลิงหลิงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก

“ค่าตอบแทนอะไร” อันหลินมีกำลังใจขึ้นมาเล็กน้อย หันมองใบหน้าลำบากใจของคนข้างกาย

“พี่ตงฟางติดหนี้บุญคุณฉัน แม้ว่าเธอจะไม่เคยให้ลายเซ็นเลย แต่ถ้าฉันไปขอร้องละก็ เธอน่าจะยอมตกลง เพียงแต่ว่า…นายเข้าใจดี…” เถียนหลิงหลิงลูบคาง ถอนหายใจเบาๆ “หนี้บุญคุณหมดง่าย…”

อันหลินคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หินวิญญาณยี่สิบก้อน!”

เถียนหลิงหลิงยังไม่ยอม “บอกตามตรง เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายไปกว่ารวบรวมรูปของนักพรตหญิงห้าสิบใบเลย…”

อันหลินกำลังจะพูดว่า ‘หินวิญญาณหนึ่งร้อยก่อน’ เถียนหลิงหลิงก็ชิงพูดก่อนว่า “หินวิญญาณสามสิบก้อน! ฉันจะยอมช่วยนาย!”

อันหลินกะพริบตาปริบๆ “เอ่อ…ได้!”

เมื่อเห็นอันหลินรับปาก มุมปากจิ้มลิ้มของเถียนหลิงหลิงก็ยกขึ้นเล็กน้อย เผยความกระหยิ่มใจที่มองแทบไม่ออก

คนรวยแต่โงเขลาชัดๆ… แค่ลายเซ็น เราออกโรงด้วยตัวเอง พี่ตงฟางต้องเซ็นให้อยู่แล้ว ได้หินวิญญาณจากเขาเพิ่มอีกสามสิบก้อน สะใจจริงๆ!

เมื่อเห็นเถียนหลิงหลิงรับปาก มุมปากของอันหลินก็ยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้ามียิ้มแสยะที่มองออกได้ยาก

โลลิน้อยหลอกง่ายจริงๆ…แค่หินวิญญาณสามสิบก้อน ค่าตอบแทนของลายเซ็นคือหินวิญญาณแปดร้อยก้อน เราได้หินวิญญาณตั้งเจ็ดร้อยเจ็ดสิบก้อน สะใจจริงๆ!

สองคนที่มีเจตนาแอบแฝง ตอนนี้อารมณ์ดีไม่หยอก

เถียนหลิงหลิงเริ่มค้นหาเบาะแสของตงฟางเสวี่ย พบว่าเธอจัดคอนเสิร์ตที่เมืองหรงเฉิงคืนนี้

บังเอิญจริงๆ!

โอกาส สถานที่ คนมีครบหมดแล้ว!

ตอนนี้เวลากำลังพอดี คอนเสิร์ตก็เพิ่งเริ่มต้น

อันหลินกับเถียนหลิงหลิงเดินทางไปตอนนี้ ทันเวลาพอดี

ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงเคลื่อนไหว มุ่งหน้าไปสถานที่จัดคอนเสิร์ตทันที

เถียนหลิงหลิงติดต่อตงฟางเสวี่ย แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยุ่งอยู่ ไม่ตอบข้อความแต่อย่างใด

เถียนหลิงหลิงเห็นว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล จึงต่อสายหาผู้จัดการของเทียนอวี๋กรุ๊ป ให้พวกเขาจัดการติดต่อให้เรียบร้อย เปิดไฟเขียวให้เข้าห้องแต่งตัวของตงฟางเสวี่ยโดยตรง

ลูกสาวของประธานเทียนอวี๋กรุ๊ปใช้ได้ดีจริงๆ ไม่ถึงสิบนาที ก็บอกกล่าวเจ้าหน้าที่ทั้งหมดในคอนเสิร์ตเรียบร้อยแล้ว

ไม่นาน ทั้งคู่ก็มาถึงสถานที่จัดคอนเสิร์ต

ตอนนี้แม้อันหลินจะอยู่นอกสถานที่จัดคอนเสิร์ต แต่สามารถมองเห็นแท่งไฟสีขาวนับหมื่นแท่ง กำลังโบกไปโบกมาเป็นจังหวะ ภายในฮอลล์คอนเสิร์ตเป็นดั่งหิมะทะเล ขาวสะอาดและงดงาม

เสียงไพเราะน่าฟังดังสะท้อนไปทั่วฮอลล์ ชวนให้เคลิบเคลิ้มไม่มีที่สิ้นสุด

ไม่พูดไม่ได้ว่า ตงฟางเสวี่ยร้องเพลงเพราะมากจริงๆ

หากให้เก้าอี้ตัวหนึ่งกับอันหลิน เขาคิดว่าตัวเองสามารถนั่งฟังอยู่นอกฮอลล์จนจบการแสดงได้!

แต่ทว่า ก็มีแฟนคลับจำนวนมากพกเก้าอี้เตี้ยมาด้วย นั่งอยู่นอกฮอลล์คอนเสิร์ต กำลังฟังเสียงเพลงอันงดงามอย่างเคลิบเคลิ้ม

อันหลินลองนับดูคร่าวๆ แล้ว มีไม่ต่ำกว่าหลายพันคน…

เขาแอบเดาะปาก อิทธิพลจากเสียงของตงฟางเสวี่ยสร้างประสบการณ์ใหม่ให้เขาอีกครั้ง

คิดว่าคนเหล่านี้คงซื้อบัตรคอนเสิร์ตไม่ทัน

แต่ว่า แค่ผนังกั้นไม่สามารถกีดขวางความรักของคนเหล่านี้ได้ ลากเก้าอี้เตี้ยมานั่งฟังข้างนอกก็ได้ยินเหมือนกัน!

เถียนหลิงหลิงลากอันหลินเข้ามาทางประตูหลัง ราบรื่นไร้อุปสรรคตลอดทาง จนมาถึงห้องแต่งตัวของตงฟางเสวี่ย

พี่หลิวผู้จัดการของตงฟางเสวี่ยต้อนรับทั้งคู่อย่างเป็นมิตร

แม้พี่หลิวจะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่หญิงสาวน่ารักคนนี้ เป็นถึงเพื่อนสนิทของตงฟางเสวี่ย แถมเบื้องหลังยังยิ่งใหญ่จนน่ากลัว เธอย่อมไม่กล้าเมินเฉย

ตงฟางเสวี่ยยังร้องเพลงอยู่ข้างนอก คอนเสิร์ตสองชั่วโมง เธอร้องแค่ห้าบทเพลง

เวลาที่เหลือหากไม่ใช่แขกรับเชิญคนอื่นมาร่วมร้องเพลง ก็จะฉายวิดีโอบนจอโปรเจคเตอร์ให้ผู้ชมดู เอาแต่ใจแบบนี้แหละ!

ตอนนี้เธอร้องบทเพลงที่สามแล้ว เพลงนี้มีชื่อว่า ‘เมืองวาดทราย’

แม้จะอยู่ในห้องแต่งตัว อันหลินก็ยังได้ยินเสียงเพลงอย่างชัดเจน

เสียงฟังสบายของตงฟางเสวี่ยเจือความแหบพร่า บทเพลงแฝงความยอมจำนนและความอ้างว้างต่อความไม่แน่นอน

ขณะที่ทุกคนฟัง ก็จะเผลอนึกถึงภาพบางอย่าง ราวกับเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนอยู่ท่ามกลางเมืองโบราณที่ถูกพายุทรายปกคลุม ร้องเพลงรำลึกความหลังเสียงแผ่วเบา

เสียงเพลงส่งผ่านความรู้สึกได้ และถ่ายทอดความงดงามได้เช่นกัน

เห็นได้ชัดเจนว่า ตงฟางเสวี่ยทำทั้งสองด้านนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

บทเพลงจบลง แต่ความรู้สึกยังวนเวียนไม่จางหาย

ตงฟางเสวี่ยจะกลับมาแล้ว แต่อันหลินกลับเริ่มกระวนกระวายนั่งไม่ติดขึ้นมา

ด้านหนึ่งเป็นเพราะความสัมพันธ์แย่ๆ ระหว่างพวกเขา…

อีกด้านหนึ่งเพราะเขาเกิดความรู้สึกเหมือนแฟนคลับจะได้เจอไอดอล…

ใช่แล้ว อันหลินติดใจแล้ว…

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงที่ไพเราะอย่างยิ่งก็แว่วมา

“พี่หลิว ช่วยชงชามะลิให้ฉันแก้วหนึ่ง”

เสียงเพิ่งสิ้นสุด ผู้หญิงคนหนึ่งก็ผลักประตูเข้ามา

เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีชา รูปร่างเพรียวระหง ผิวขาวดุจหิมะ ดวงตาสุกใสน่าหลงใหล

เธอเป็นหญิงงามที่มีกลิ่นอายของหญิงโบราณ

ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่ออันหลินเห็นเธอ ในใจก็ค่อยๆ สงบลงช้าๆ

“พี่ตงฟาง!”

เมื่อเถียนหลิงหลิงเห็นเธอ ก็พุ่งเข้าไปหาเธออย่างตื่นเต้น ใช้ข้อได้เปรียบทางส่วนสูงจมอยู่ในอกเธอ

ตงฟางเสวี่ยสะดุ้งก่อน จากนั้นก็ลูบหัวหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรักใคร่ ยิ้มแล้วพูดว่า “หลิงหลิง ทำไมจู่ๆ ถึงมาคอนเสิร์ตฉันได้ล่ะ ไหนบอกว่าไม่ชอบเสียงของฉันไม่ใช่เหรอ”

พออันหลินได้ฟังก็โมโห ไม่ชอบเสียงของเธองั้นเหรอ

ยังเป็นคนอยู่ไหม!

เขายังไม่รู้ตัวว่า นิสัยคลั่งไอดอลของตัวเองถูกกระตุ้นแล้ว…

เถียนหลิงหลิงกอดเอวคอดของตงฟางเสวี่ยหน้าระรื่น พูดเสียงหวานว่า “คิดถึงพี่นี่ไงเล่า!”

“เธอมันปากหวานจริงๆ!”

ตงฟางเสวี่ยยิ้ม จากนั้นเบนสายตาไปที่ผู้ชายอีกคน

เถียนหลิงหลิงสังเกตเห็นสายตาของเธอ ก็โพล่งขึ้นมาว่า “พี่ตงฟาง เดาสิว่าเขาเป็นใคร”

ตงฟางเสวี่ยเพ่งมองผู้ชายหน้าตาดีตรงหน้าคนนี้รอบหนึ่ง

ชายคนนั้นกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่จนใจเธอกลับนึกไม่ออกเลยสักนิด

สุดท้าย เธอทำได้แค่ส่ายหน้าอย่างสงสัย “เลิกยึกยักได้แล้ว เขาเป็นใครกันแน่”

เถียนหลิงหลิงกระซิบข้างหูเธอพลางแสยะยิ้ม พูดเสียงนุ่มว่า “นักพรตจอมปลอมอันหลินจำได้หรือเปล่า…”

เมื่อตงฟางเสวี่ยได้ฟังก็กะพริบตาปริบๆ คำพูดทั้งหลายแหล่ปรากฏขึ้นมาในสมอง

จากนั้น ใบหน้างดงามอ่อนโยนของเธอก็ถมึงทึง สูดหายใจเข้าลึกๆ

“พี่หลิว ส่งแขก!”

…………………………………………