ตอนที่ 93 หญิงสาวเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าไวน์แดง / ตอนที่ 94 ฉันไม่เอาเธอไว้แน่

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 93 หญิงสาวเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าไวน์แดง

 

 

เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอิทธิพลที่เฉินฝานซิงมีต่อเขาเป็นสิ่งที่ไม่ควรประมาท ทว่าตั้งแต่ที่เขาได้สัมผัสร่างกายเธอมากขึ้นก็ต้องทำให้เขาประหลาดใจ

 

 

ราวกับว่าเธอคือคนที่อยู่เหนือจากการควบคุมของเขา

 

 

เธอนับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายที่สุดในชีวิตเขาก็ว่าได้

 

 

ในเมด็อกแห่งบอร์โดมีโรงกลั่นเหล้าที่คุณปู่ของเขาชื่นชอบเป็นที่สุด ท่านเคยบอกว่าไวน์คือของเหลวมีชีวิตที่ลิ้มลองได้แต่อย่าละโมบ

 

 

อย่ายอมให้สิ่งใดบงการความรู้สึกหรือส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณได้

 

 

อันที่จริงเหล้านั้นเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดเพราะมันจะทำให้คนเราเสพติดได้โดยไม่รู้ตัว

 

 

คุณปู่ยังเคยบอกเขาอีกว่าบนโลกใบนี้หญิงสาวนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าเหล้าเบียร์

 

 

ส่วนเรื่องที่ว่าความอันตรายของหญิงสาวนั้นร้ายแรงแค่ไหนเขาก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เขาค่อนข้างมั่นใจ

 

 

ว่าหญิงสาวนั้นทำให้เสพติดได้จริงๆ

 

 

และเขาเองก็เสพติดไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

 

 

วันถัดมา เฉินฝานซิงจงใจลุกออกจากเตียงสายกว่าปกติ ขณะที่เดินมาถึงบ้านใหญ่ เธอก็ได้ยินจากปากจางมาว่าป๋อจิ่งชวนได้ออกไปแล้ว นั่นจึงทำให้เธอผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปสู้หน้าเขาได้อย่างไร

 

 

“คุณหนูเฉิน เชิญทานมื้อเช้าเถอะค่ะ”

 

 

“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

 

 

จางมาสั่งให้คนรับใช้ยกอาหารขึ้นเสิร์ฟบนโต๊ะ “คุณผู้ชายบอกว่าหากวันนี้คุณจะออกไปข้างนอกคนขับรถจะรอคุณอยู่ที่ประตูนะคะ”

 

 

“อื้ม”

 

 

เธอจัดการอาหารตรงหน้าอย่างลวกๆ ก่อนจะเตรียมเดินทาง

 

 

“คุณหนูเฉินโปรดรอสักครู่ค่ะ” จู่ๆ จางมาร้องเรียกเธอ

 

 

เฉินฝานซิงชะงักเท้าแล้วหันไปมองก็เจอกับจางมาที่ตามหลังมาพร้อมคนรับใช้อีกสองคนที่เดินมาหยุดลงตรงหน้าเธอ

 

 

“นี่เป็นเสื้อผ้าและรองเท้าที่คุณผู้ชายเตรียมไว้ให้ชั่วคราว คุณนำไปเปลี่ยนก่อนจะไปเถอะค่ะ”

 

 

แววตาของเธอฉาบไปด้วยความแปลกใจ

 

 

เขาใส่ใจขนาดนี้เชียว

 

 

มองดูเสื้อตัวเองที่ใส่มาสองวันแล้ว สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

มันเป็นชุดเดรสยาวคลุมเข่าสีขาวแบบตะวันตก คอรูปตัววี ดีไซน์เก็บเอว ด้านข้างของปลายกระบอกแขนเสื้อทั้งสองด้านมีกระดุมสีทองสี่เม็ด

 

 

เรียบง่ายและสง่า มีสไตล์และดูภูมิฐาน

 

 

ดูเข้ากับบุคลิกของเธอ

 

 

และเธอเองก็ชอบชุดนี้มาก

 

 

ทว่าไม่ได้มีเพียงแต่ดีไซน์ของชุดเท่านั้นที่เข้ากับเธอ แม้แต่ไซส์ของมันก็เข้ากับเธอจนน่าตกใจ

 

 

ไซส์นี้ป๋อจิ่งชวนถามมาจากจางมาเหรอ

 

 

ถ้าเช่นนั้นสายตาของจางมาก็คงสุดยอดมาก แค่มองก็รู้สัดส่วนบนร่างกายเธอได้

 

 

เธอขึ้นไปนั่งบนรถที่ป๋อจิ่งชวนเตรียมไว้เพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านสกุลเฉิน

 

 

บ้านสกุลเฉินอยู่ในย่านคฤหาสน์หรู

 

 

เมื่อกลับมาถึงคนในบ้านทุกคนแทบจะอยู่กันพร้อมหน้า

 

 

ทั้งเจียหรงหรง เฉินเต๋อฝาน หยางลี่เวยและเฉินเชียนโหรว

 

 

ยามที่เธอก้าวเข้ามายังห้องรับแขกด้วยสีหน้าราบเรียบทุกๆ คนก็ต่างตกตะลึง

 

 

และเมื่อเฉินเชียนโหรวได้เห็นเฉินฝานซิงที่เปล่งประกายตั้งแต่หัวจรดเท้า พร้อมทั้งท่าทีที่ดูเย่อหยิ่งและเย็นชา นัยน์ตาของเธอก็สั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

เธอเกลียดเฉินฝานซิงจนเข้าไส้

 

 

โดยเฉพาะความถือตัวอย่างที่ไม่มีใครเหมือนของเธอ

 

 

ตัวเองคือคนที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่แท้ๆ!

 

 

แล้วยังจะถือดียังไงมาลอยหน้าลอยตาทำตัวเย่อหยิ่งราวกับไม่เห็นหัวใคร

 

 

ความเกลียดชังผุดขึ้นในดวงตานั้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เฉินเชียนโหรวลุกยืนจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น

 

 

“พี่คะ พี่กลับมาแล้ว”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 94 ฉันไม่เอาเธอไว้แน่

 

 

เฉินฝานซิงไล่สายตามองเธออย่างเรียบเฉย สายตาเย็นชาไม่มีแม้แต่ความรู้สึกใดๆ

 

 

เฉินเชียนโหรวกัดริมฝีปากแล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปคว้าแขนเสื้อเธอเอาไว้ ท่าทางน่าสงสารเช่นนั้น ดูราวกับน้องสาวที่ทำผิดกำลังออดอ้อนขอคืนดีกับพี่สาว

 

 

“พี่คะ…”

 

 

เฉินฝานซิงดึงแขนของเธอกลับมา แล้วเดินผ่านเฉินเชียนโหรวไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะไปหยุดลงตรงหน้าคนเหล่านั้น

 

 

“คุณปู่อยู่ไหน”

 

 

เฉินเต๋อฝานเลือดขึ้นหน้าทันที!

 

 

“แกนี่ถูกสั่งสอนมายังไงฮะ เข้ามาแทนที่จะทักทายกันสักคำก็ไม่มี? ในสายตาแกยังมีคำว่าผู้หลักผู้ใหญ่หลงเหลืออยู่บ้างไหม”

 

 

เฉินฝานซิงยกยิ้มเย็นพร้อมส่งสายตาแข็งกร้าวไปยังผู้คนในห้องนั้น

 

 

“ผู้หลักผู้ใหญ่? เหอะ…แล้วพวกผู้ใหญ่ที่โยนฉันทิ้งปล่อยให้ฉันไปเผชิญชีวิตคนเดียวในต่างแดนเคยคิดสักนิดไหมว่าฉันจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง”

 

 

ถูกส่งออกนอกประเทศไปปีนั้น คนในบ้านสกุลเฉินนอกจากจองตั๋วให้เธอใบหนึ่งแล้วเงินสักแดงเดียวก็ไม่เคยทิ้งเอาไว้ให้

 

 

หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นคุณแม่ให้เงินติดตัวเอาไว้บ้าง เธอก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าจะอดตายในต่างบ้านต่างเมืองไปตอนไหน

 

 

ยิ่งไม่ต้องถามเลยว่าพวกเขาจะชายตาแลเธอบ้างไหม แค่โทรมาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบบ้างสักคนก็ยังไม่มี

 

 

ผู้หลักผู้ใหญ่?

 

 

เหอะ ช่างเป็นคำที่น่าขันสิ้นดี

 

 

ความตกตะลึงเข้าแทนที่ความรู้สึกบนใบหน้าของเฉินเต๋อฝาน สายตาของเขาถูกเคลือบแฝงไปด้วยความอึดอัดใจ

 

 

ทว่าขณะนั้นเองอีกด้านหนึ่งเจียงหรงหรงก็ได้เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

 

 

“ตอนส่งแกไปต่างประเทศปีนั้น แกก็อายุได้ยี่สิบปีแล้ว หรือยังอยากจะเกาะบ้านนี้กินไปตลอดชีวิตรึไง ยิ่งไปกว่านั้นที่แม่แกยังเหลือเงินให้แกได้นั่นถือว่าฉันยังใจดี”

 

 

เฉินฝานซิงพยักหน้า เธอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สายตาเย็นชาเต็มไปด้วยความถากถาง

 

 

“ใช่สิ ในสายตาของพวกคุณ เงินบันดาลได้ทุกสิ่ง แค่ฉันไม่ตายอยู่ข้างนอกนั่นก็ถือเป็นพระคุณของพวกคุณแล้ว”

 

 

เฉินฝานซิงเมินใส่สีหน้าบอกบุญไม่รับของทุกคนตรงหน้า เธอเม้มริมฝีปากก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามกับคนพวกนั้น

 

 

“ว่ามาสิเหตุผลที่โทรเรียกฉันกลับมา”

 

 

เฉินเต๋อฝานเคร่งขรึมขึ้นทันตา “เมื่อวานทุบรถของเฉินเชียนโหรวทำไม”

 

 

รอยยิ้มของเธอหุบลง ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ไม่มีผิด

 

 

“แม่ลูกสาวสุดที่รักของพวกคุณยังไม่ได้บอกพวกคุณงั้นหรอ”

 

 

“โอหัง! ใครบ้างที่ไม่เคยประมาทเวลาขับรถ น้องก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ ทำไม่แกถึงยังทำแบบนั้นอีก”

 

 

เธอมีท่าทีเรียบเฉย ใบหน้ายังคงถูกประดับด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน

 

 

“ในเมื่อเธอบีบน้ำตาฟ้องพวกคุณไปแล้ว จะมาถามฉันให้ได้อะไร หรืออยากให้ฉันพูดอีกครั้ง ก็ได้เพราะเธอมันรกหูรกตาฉัน!”

 

 

พูดความจริงต่อหน้าพวกเขาไปแล้วพวกเขาจะเชื่อเหรอ

 

 

เฉินเต๋อฝานถลึงตาใส่เธอ “เฉินเชียนโหรวเป็นศิลปินของหลานอวิ้น รู้รึเปล่าว่าการกระทำของแกเมื่อวานมันสร้างความวุ่นวายให้กับหลานอวิ้นแค่ไหน สร้างความเจ็บปวดให้เชียนโหรวมากแค่ไหน!”

 

 

“แกเคยมีความเป็นพี่คนบ้างไหม เชียนโหรวเป็นน้องสาวของแกแต่กลับเป็นน้องที่ต้องคอยยอมให้แกทุกครั้ง! ทำไมแกถึงไม่เคยสำนึกและคิดจะกลับตัวบ้างเลย หัวใจของแกมันต่ำช้าแค่ไหนกันแน่! แก…”

 

 

เฉินเต๋อฝานโมโหจนกระหืดกระหอบ

 

 

สำหรับเฉินฝานซิง ก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยทั้งรักทั้งเอ็นดู

 

 

อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่เคยรู้สึกเกลียดเธอเท่าตอนนี้มาก่อน

 

 

แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าต่อให้อดทนมากแค่ไหนก็กลับถูกขยี้จนป่นปี้

 

 

ทั้งที่เป็นลูกสาวของเขาเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้แตกต่างกับเฉินเชียนโหรวราวฟ้ากับเหว!

 

 

“ไม่เอาสิคะคุณพ่อ อย่าโมโหสิ หนูเข้าใจความรู้สึกของพี่เขาดี ต้องขอโทษพี่ด้วย พี่จะโมโหใส่หนูก็สมควรแล้ว หนูไม่เคยคิดจะโทษพี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว…อีกอย่างหนูเองก็มีส่วนผิด ที่แฟนคลับขาดสติบางคนเกือบทำร้ายพี่หลังจากที่จบเรื่อง…หนูยังไม่ได้ขอโทษพี่สักคำเลย…”

 

 

เฉินเชียนโหรวเดินไปหยุดตรงหน้าผู้เป็นพ่อพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง

 

 

จากนั้นเคลื่อนสายตาขึ้นมองเฉินฝานซิงด้วยแววตาเสียใจอย่างสุดซึ้ง

 

 

“แฟนคลับขาดสติ?”

 

 

เฉินฝานซิงเชิดหน้าขึ้นกวาดตามองเธออย่างเยือกเย็น “ถ้างั้นก็ดี แต่อย่าให้ฉันจับได้ก็แล้วกัน ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่!”