ตอนที่ 84 ตามหาคน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 84 ตามหาคน

เจียงป่าวชิงออกจากบ้านอย่างรีบร้อน นางซ่อนเงินไว้ในเสื้อ จากนั้นก็ไปที่บ้านของซุนต้าหูทันที

ซุนต้าหูเพิ่งกลับมาจากไปส่งของด้านนอก และตอนนี้เขากำลังทำความสะอาดล่ออยู่ที่นั่น

เมื่อเจียงป่าวชิงบอกเรื่องทั้งหมดกับซุนต้าหู ซุนต้าหูเองก็มีความงุนงงอยู่เล็กน้อย จากนั้นเขาก็รีบพูดขึ้น “น้องชิง เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป รอข้าให้อาหารล่อสักครู่ ข้าจะพาเจ้าไปส่งในอำเภอเอง”

เจียงป่าวชิงพยักหน้า “พี่ต้าหู ครั้งนี้ข้ารบกวนพี่อีกแล้ว”

ซุนต้าหูพูดอย่างจริงใจ “เจ้าอย่าพูดเช่นนี้ ครั้งนี้เจ้าไม่ได้เห็นข้าเป็นคนนอก เจ้ามาหาข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว” พูดเสร็จ ซุนต้าหูก็เกาศีรษะอย่างเขินอายเล็กน้อย “ถึงอย่างไรเจ้าก็อย่าเพิ่งร้อนใจไป รอก่อน ข้าเตรียมของเสร็จแล้วเราค่อยไปในอำเภอกัน”

มือกับเท้าของซุนต้าหูทำงานคล่องแคล่วมาก เขาเติมหญ้าให้ล่อจำนวนหนึ่ง และใช้จังหวะตอนที่ล่อกำลังกินหญ้าไปหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาดตัวรถแล้วยังไม่ลืมที่จะวางเบาะรองนั่งให้เจียงป่าวชิง

ซุนต้าหูครุ่นคิดอยู่สักครู่ เมื่อเข้าไปในบ้าน เขาก็แอบนำเงินที่เก็บออมมาซ่อนไว้ในแขนเสื้ออย่างเงียบ ๆ

เวลานี้ หากรีบไปอำเภอ เกรงว่าเมื่อไปถึงที่นั่นแล้วประตูเมืองจะปิดในไม่ช้า ซุนต้าหูทิ้งให้เจียงป่าวชิงอยู่ที่นั่นคนเดียวไม่ได้ เขาตัดสินใจว่าครั้งนี้เขาจะไปที่โรงเรียนในอำเภอกับเจียงป่าวชิง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริง ๆ เขาจะได้ดูแลนาง

ผ่านไปไม่นานในตอนที่ล่อกินหญ้าเสร็จ ซุนต้าหูก็ผูกเชือกบังเหียนให้มันอีกครั้ง ล่อดูเหมือนจะไม่พอใจอยู่เล็กน้อย มันส่งเสียงร้องออกมาทางจมูกและใช้ขาขุดดินอย่างไม่หยุดหย่อน

ซุนต้าหูลูบมันเบา ๆ “เจ้าอย่าโอหังนักเลย ลากรถให้ดี ๆ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะเพิ่มอาหารให้เจ้า”

ไม่รู้ว่ามันเข้าใจคำพูดของซุนต้าหูหรือว่าได้รับการปลอบโยนจากการลูบของซุนต้าหูกันแน่ ไม่นานมันก็หยุดพฤติกรรมคัดค้านลง และเริ่มลากรถอย่างอดทน

รถล่อเคลื่อนที่ไม่เร็วมาก มันกำลังแกว่งไปมาอยู่ระหว่างถนนบนภูเขา เจียงป่าวชิงนั่งอยู่บนรถล่อและเอาแต่มองไปข้างหน้าอยู่ตลอด นางกลัวว่าถ้าหากเจียงหยุนชานกลับมาตอนนี้ เขาอาจจะไปผิดทางได้

ซุนต้าหูมองเห็นถึงความร้อนรนของนางจึงพูดปลอบโยนหวังว่านางจะเบาใจ “บางทีที่โรงเรียนอาจจะมีเรื่องจวนตัวอะไรก็ได้ และหยุนชานก็อาจจะไม่พบใครที่จะแวะมาช่วยส่งต่อข้อความให้ได้เจ้านะน้องชิง”

อาจจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เจียงป่าวชิงพยักหน้า แวบแรกนางก็คิดเช่นนี้ แต่นานเข้า นางกลับยิ่งกลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจียงหยุนชานจริง ๆ นางคงเกิดความเสียใจชนิดที่ไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้

เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามเตือนตนเองว่าอย่าคิดสะเปะสะปะ… อย่าคิดสะเปะสะปะ… อย่าคิดสะเปะสะปะ!

ผ่านไปครู่ใหญ่เจียงป่าวชิงถึงจะค่อย ๆ สงบลงบ้าง

เมื่อซุนต้าหูเห็นสีหน้าของเจียงป่าวชิงดีขึ้น เขาก็แอบโล่งใจเช่นกัน จากนั้นเขาก็พูดยิ้ม ๆ “บนรถมีถุงน้ำอยู่สองถุงเป็นน้ำสะอาด ข้ายังไม่ได้เปิดดื่ม พอดีเพิ่งเติมน้ำตอนถึงบ้านก่อนหน้านี้น่ะ เจ้าดื่มสักหน่อยสิ ข้าเห็นริมฝีปากของเจ้าลอกนิดหน่อยแล้วนะ”

เจียงป่าวชิงพยักหน้าก่อนจะหยิบถุงน้ำขึ้นมาดื่ม ซึ่งเมื่อดื่มแล้วก็รู้ว่านี่เป็นน้ำบ่อที่ตักมาจากในบ้าน หลังจากผ่านการต้ม มันมีรสหวานกว่าน้ำในแม่น้ำเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงพยายามกระจายความคิดของตัวเอง บางทีนางควรหาคนมาเจาะบ่อน้ำที่บ้าน… ถึงแม้ว่าบ้านของนางจะอยู่ใกล้กับลำธารที่เป็นแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำคราด แต่นางยังคงคิดว่าถ้าในบ้านมีบ่อน้ำก็จะสะดวกมากยิ่งขึ้น และจะได้ไม่ต้องไปที่ริมลำธารทุกวันเพื่อตักน้ำมาใส่ในถังน้ำที่บ้าน

ภายใต้การดูแลของซุนต้าหู ตอนนี้ดูเหมือนนางจะไม่ได้ร้อนรนเท่าทีแรกแล้ว

ในที่สุดเมื่อรถล่อมาถึงอำเภอฉือเจีย ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มลง คนเข้าเมืองก็เหลือน้อยแล้วเช่นกัน

ซุนต้าหูพาเจียงป่าวชิงเข้าเมืองด้วยรถล่อ ค่าเข้าเมืองครั้งนี้สูงถึงห้าสลึง แม้แต่ล่อเองก็ต้องถูกเก็บค่าธรรมเนียมเช่นกัน

ซุนต้าหูมาที่อำเภอทุกครั้งที่มีตลาดนัด แต่เขาแทบจะไม่เข้าไปในเมืองเลย เขาคิดว่ารอผู้คนอยู่ด้านนอกก็สะดวกดีอยู่แล้ว ในขณะนี้มืดไม่มีไฟ เมื่อเข้ามาในเมือง ผู้คนที่มาที่นี่จะต้องอาศัยแสงจาง ๆ จากบ้านคนทั้งสองฝั่งของถนน

“ข้ารู้ทางเจ้าค่ะพี่ต้าหู” เจียงป่าวชิงนั่งอยู่บนรถ พยายามแยกแยะทางจากความมืดและชี้ทิศทางให้ซุนต้าหู

“ถนนสายนี้ เลี้ยวซ้ายเลยเจ้าค่ะ”

“เข้าไปในซอยนี้ พอสุดซอยก็เลี้ยวซ้ายอีก”

“แล้วก็ตรงไป สุดทางแล้วเลี้ยวขวา…”

เป็นเช่นนี้มาตลอดทาง ในตอนที่ทั้งสองคนมาถึงด้านนอกของโรงเรียน ท้องฟ้าก็มืดสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้านหน้าโรงเรียน โคมไฟขนาดใหญ่สองดวงที่แขวนอยู่ทั้งสองด้านกำลังเปล่งแสงสีส้มสว่างไสวน่าดูชม เจียงป่าวชิงลงจากรถ ขณะที่ซุนต้าหูหาที่เพื่อผูกล่อ เสร็จแล้วเขาก็เดินตามนางไปที่ด้านหน้าประตูโรงเรียน

เมื่ออเห็นประตูสีแดงเข้มที่สูงใหญ่ตรงหน้า ซุนต้าหูก็อดที่จะพูดพึมพำอย่างเสียไม่ได้ “ดูท่าแล้วโรงเรียนในอำเภอคงจะร่ำรวยอยู่พอสมควรนะ…”

เจียงป่าวชิงพูดออกมาทันที “พี่ชายข้าเคยบอกกับข้าว่าโรงเรียนในอำเภอมีเจ้าของที่ดินที่เป็นคหบดีอยู่หลายคน พวกเขามักจะบริจาคเงินให้กับโรงเรียนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น ที่โรงเรียนในอำเภอจึงมีบุตรหลานของคนร่ำรวยและมีอำนาจมาเรียนเป็นจำนวนมาก  พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อศึกษาค้นคว้าความรู้ แต่มาเพื่อพึ่งพาความผูกพันของเพื่อนร่วมชั้นในการบุกเบิกเส้นสายเท่านั้น”

เป็นเช่นนี้ ต่อให้เจียงหยุนชานไม่พูดอะไร เจียงป่าวชิงก็เดาได้ว่าเด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจนเช่นพี่ชายของนางจะต้องเด่นมากในหมู่เด็กที่ร่ำรวยในโรงเรียนอย่างแน่นอน

เจียงป่าวชิงออกแรงผลักประตูสีแดงเข้มบานนั้น ซุนต้าหูก็รีบช่วยเคาะประตูและตะโกนเรียกคนข้างในไปด้วย “โปรดเปิดประตู โปรดเปิดประตูทีขอรับ”

ผ่านไปสักพัก คนเฝ้าประตูก็ถือตะเกียงน้ำมันมาเปิดประตู เผยให้เห็นซอกครึ่งหนึ่งในนั้น จากนั้นเขาก็พูดอย่างหงุดหงิดอยู่ในประตู “ใคร ? เจ้าเคาะทำไม ?”

“อ่า… วันนี้เป็นวันเลิกเรียน แต่พี่ชายของข้ายังไม่กลับไป ข้าเป็นห่วงเขาจึงมาดูเขาที่นี่เจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาที่ใครก็ไม่สามารถต้านทานได้ออกมาให้เห็น

และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ท่าทางของคนเฝ้าประตูมีความนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย “อ้อ พี่ชายเจ่าเรียนอยู่ที่นี่รึ ชื่ออะไรล่ะ ?”

เจียงป่าวชิงบอกชื่อของเจียงหยุนชาน “พี่ชายข้าชื่อเจียงหยุนชานเจ้าค่ะ”

สีหน้าของคนเฝ้าประตูเปลี่ยนไปทันที

ตอนเห็นสีหน้าของคนเฝ้าประตู ในใจของเจียงป่าวชิงก็เหมือนมีอะไรมากระทบกันอยู่ในนั้นทันที จะต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน!

คนเฝ้าประตูถือตะเกียงน้ำมันและยื่นศีรษะออกมาจากในซอก เขามองซ้ายมองขวา จากนั้นก็หดศีรษะกลับไปมองข้างในอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าบริเวณรอบ ๆ นี้ไม่มีใคร เขาถึงจะพูดกับเจียงป่าวชิงเสียงเบา “ข้าดูก็รู้ว่าเด็กอย่างเจ้าเป็นเด็กดีที่ซื่อตรงคนหนึ่ง เหมือนกับพี่ชายเจ้านั่นแหละ… แต่ฟังคำแนะนำของข้าเถอะ เจ้าช่วยพูดจูงใจให้พี่ชายของเจ้าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอื่นเถอะนะ ถึงอย่างไรก็เป็นการเรียนหนังสือเหมือนกัน ไปเรียนที่ไหนก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ”

น้ำเสียงของเจียงป่าวชิงสั่นเครือเล็กน้อย “พี่เจ้าหน้าที่เจ้าคะ พี่ชายข้าเป็นอะไรหรือเปล่า ?”

คนเฝ้าประตูถอนหายใจยาว ๆ และพูดขึ้นเสียงเบา “เด็กที่มีอำนาจรังแกผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ… ชีวิตในโรงเรียนของพี่ชายเจ้านั้น… ไม่ง่ายเลยจริง ๆ” พูดเสร็จ เขาก็เปิดประตูออกอีกเล็กน้อย “ถ้าหากพูดตามหลักคือไม่ควรให้ผู้คนเข้ามาในเวลากลางคืน แต่นี่เป็นสถานการณ์พิเศษ พวกเจ้าสองคนเข้ามาสิ”

สีหน้าของเจียงป่าวชิงแทบจะกลั้นความกังวลไว้ไม่ไหวอยู่แล้ว นางรีบก้าวข้ามธรณีประตูขั้นสูงและเข้าไปในโรงเรียนทันที

ซุนต้าหูก็ตามหลังเจียงป่าวชิงเข้าไปด้วยเช่นกัน

คนเฝ้าประตูถือตะเกียงน้ำมันนำทางอยู่ด้านหน้า เขาพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่หอพัก วันเลิกเรียน นักเรียนในอำเภอส่วนใหญ่จะกลับไปนอนที่บ้านกัน ส่วนคนที่ยังอยู่ในหอพัก หากว่าไม่ใช่บ้านอยู่ไกลก็จะเป็นนักเรียนที่ครอบครัวยากจน… เฮ้อ เด็กเรียนหนังสือก็ไม่ง่ายเลยจริง ๆ”

หัวใจของเจียงป่าวชิงเต้นแรงและเร็ว

ไม่รู้ว่าเดินอ้อมและผ่านถนนมากี่สายแล้ว แต่ในที่สุดก็มาถึงห้องแถวเล็ก ๆ ที่ผนังด้านนอกทาสีขาวสม่ำเสมอ หน้าต่างค่อนข้างเตี้ยและดูเหมือนจะคับแคบไปหน่อย  มีไฟสลัวสว่างอยู่ในบางห้อง ส่วนบางห้องก็ดับไฟแล้ว

คนเฝ้าประตูพูดแนะนำเสียงเบา “คนที่พักอยู่ที่หอพักฝั่งนี้เป็นเด็กที่ครอบครัวยากจนทั้งหมด ไม่มีเงินจึงต้องอยู่ที่หอพักฝั่งนี้” พูดเสร็จ เขาก็เคาะประตูหอพักที่ดับไฟแล้วเบา ๆ  ผ่านไปสักครู่ น้ำเสียงที่ค่อนข้างอ่อนแอก็ดังมาจากข้างใน “ใครรึ ?”

เมื่อเจียงป่าวชิงได้ยินเสียง ก้อนหินที่ติดอยู่ในใจของนางก็แทบจะร่วงหล่นลงพื้นทันที

นั่นคือเสียงของเจียงหยุนชาน!

คนเฝ้าประตูพูดเสียงเบาโดยมีประตูกั้นไว้อยู่ตรงกลาง “เจียงหยุนชาน น้องสาวของเจ้ามาหา รีบเปิดประตูเถอะ”

เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวข้างในค่อนข้างวุ่นวายอยู่พอสมควร “ประเดี๋ยวนะ… รอสักครู่”

ทว่าเจียงป่าวชิงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว นางออกแรงผลักประตูเข้าไป