ตอนที่ 85 กระดูกหัก

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 85 กระดูกหัก

ประตูห้องไม่ได้ใส่กลอนจากข้างในไว้ เจียงป่าวชิงออกแรงผลักเพียงน้อยนิด ประตูก็เปิดออกทันที

ภายในห้องมีเตียงสองหลัง ดูแล้วน่าจะเป็นห้องสำหรับสองคน เตียงหนึ่งในนั้นไม่มีฟูกและผ้าห่ม มีเพียงโครงเตียงซึ่งดูเหมือนไม่มีใครพักอยู่ที่นี่นอกจากหยุนชาน

เจียงหยุนชานนั่งอยู่บนเตียงอีกหลังด้วยท่าทางที่ดูลุกลี้ลุกลน บนใบหน้าอ่อนวัยยังคงมีความตกใจและตกตะลึงเจืออยู่เล็กน้อย  เขาดึงผ้าห่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวราวกับกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง

ภายในห้องค่อนข้างมืด เมื่อคนเฝ้าประตูถือตะเกียงน้ำมันเข้ามา ภายในห้องก็สว่างขึ้นทันทีทำให้สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆได้บ้าง

เส้นผมของเจียงหยุนชานค่อนข้างยุ่งเหยิง เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงใต้ลำคอด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็พูดด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม “ป่าวชิง เจ้ามาได้อย่างไรหรือ ? เหตุใดพี่ต้าหูก็มาด้วยล่ะ ?”

เจียงป่าวชิงยืนกัดริมฝีปากล่างอยู่กับที่ “วันนี้เป็นวันเลิกเรียนแต่พี่ไม่กลับบ้าน ข้าจึงเป็นห่วงพี่มาก”

เจียงหยุนชานรู้สึกตื้นตันใจ เขาสูดลมหายใจเข้าและพยายามทำอารมณ์ให้นิ่ง “ข้าฝากฝังคนช่วยหาคนไปบอกเจ้าแล้ว คงจะมีบางอย่างผิดพลาด…”

คนเฝ้าประตูที่อยู่ด้านข้างพูดแทรกขึ้นมาเสียงเบา “อ้อ คนที่เจ้าฝากฝังยังไม่ได้ออกจากโรงเรียนก็ถูกคนดักแกล้งและถูกขู่ว่าไม่ให้ติดต่อกับเจ้าอีก… เขาคงจะไม่ได้ไปส่งต่อข้อความให้เจ้าแล้วล่ะ”

เจียงหยุนชานไม่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้ เขาตกตะลึงไปชั่วขณะโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ผ่านไปสักพัก เขาถึงจะพูดขึ้นด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม “ป่าวชิง เจ้าดูสิ เจ้ามาเห็นแล้วนี่นาว่าข้าไม่เป็นอะไร เจ้ากลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า คนที่พักอยู่ที่นี่เป็นผู้ชายทั้งหมด เจ้าเป็นหญิงคนเดียวที่มาที่นี่จึงไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่…”

เจียงป่าวชิงเช็ดน้ำตาเล็กน้อย จากนั้นนางก็เดินไปด้านหน้าและกระชากผ้าห่มของเจียงหยุนชานออกทันที

เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เจียงหยุนชานไม่ทันได้จับผ้าห่มไว้ ผ้าห่มจึงถูกเจียงป่าวชิงกระชากออกไปทั้งอย่างนั้น

ภายใต้แสงไฟสลัว แขนซ้ายของเจียงหยุนชานห้อยอยู่ใต้ไหล่ของเขาด้วยท่าทางแปลก ๆ

เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาก็ดูแทบไม่ได้ ราวกับเขาเพิ่งถูกคนซ้อมมาอย่างไรอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงกัดกรามเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกเสียง แต่น้ำตาของนางกลับไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย

คนเฝ้าประตูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สบถออกมาเสียงเบา “กรรมแท้ ๆ…”

“พี่… พี่บอกข้ามาว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ?” เจียงป่าวชิงกัดฟันกรามแน่น และพยายามทำให้ตัวเองพูดออกมาโดยไร้เสียงสะอื้น

แม้แต่ชายร่างใหญ่อย่างซุนต้าหูก็ยังทนมองอีกไม่ได้

เมื่อเจียงหยุนชานเห็นน้องสาวร้องไห้จนกลายเป็นเช่นนี้ เขาก็ลุกลี้ลุกลนทันที เขาไม่รู้ว่าควรพูดกล่อมนางอย่างไร ได้แต่พูดขึ้นอย่างลนลาน “ป่าวชิง เจ้าอย่าร้อง เจ้าร้องแล้วหัวใจข้า… ข้า… ข้าไม่เป็นอะไร ก็แค่หกล้มนิดเดียว ข้ากลัวว่าเจ้าจะเป็นห่วง ก็เลยคิดว่าเลิกเรียนครั้งนี้ข้าจะไม่กลับบ้าน”

เจียงป่าวชิงเช็ดน้ำตาตัวเองเล็กน้อย “ถึงตอนนี้พี่ยังจะหลอกข้าอีกรึ ?” นางเดินไปใกล้พี่ชายมากขึ้น จากนั้นก็คว้าแขนอ่อนแรงที่ห้อยอยู่ใต้ไหล่ของเขาและทำการคลำขึ้นข้างบนเรื่อย ๆ จนกระทั่งคลำถึงกระดูกต้นแขน เจียงหยุนชานก็ส่งเสียงร้องออกมาภายใต้ความเจ็บปวด จากนั้นเขาก็กัดกรามไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมา

ถึงแม้ว่าเจียงหยุนชานจะมีนิสัยอ่อนโยน แต่เขาเหมือนเจียงป่าวชิงตรงที่พวกเขาทั้งสองคนเป็นคนเข้มแข็งและทรหดอดทน

เด็กหนุ่มเจ็บจนเหงื่อไหลลงมาจากบนหน้าผากอย่างไม่ขาดสาย แต่เขายังคงพูดปลอบเจียงป่าวชิง “ป่าวชิง ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ… ผ่านไปไม่กี่วันก็หายดีแล้ว”

เจียงป่าวชิงที่กำลังคลำกระดูกอยู่เกือบร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แขนบาดเจ็บขนาดนี้ ‘ผ่านไปไม่กี่วันก็หายแล้วที่ไหนกันล่ะ’

‘กระดูกต้นแขนของพี่หักชัด ๆ!’

เจียงป่าวชิงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว นางหันไปพูดกับคนเฝ้าประตู “พี่เจ้าหน้าที่เจ้าคะ ข้าสามารถพาพี่ชายของข้าออกไปรักษาแขนได้ไหมเจ้าคะ ?”

เจียงหยุนชานอ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าของเจียงป่าวชิงที่ผิดปกติไป เขาจึงปิดปากเงียบ

คนเฝ้าประตูรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ พาเขาไปรักษาเถอะ”

เจียงหยุนชานรู้สึกลังเล “แต่ว่า… ข้ายังไม่ได้ขอลาหยุดกับครูเลย…”

เจียงป่าวชิงจ้องเขาเขม็ง และน้ำเสียงของนางก็โหดเหี้ยมมากในเวลานี้ “ลาวันพรุ่งก็ยังไม่สายนะพี่! พี่ไม่ต้องการแขนของตัวเองแล้วใช่ไหม ?!”

เจียงหยุนชานจึงทำได้เพียงเงียบปากอย่างรู้สถานการณ์

เจียงป่าวชิงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างแรง จากนั้นก็พูดกับคนเฝ้าประตู “พี่เจ้าหน้าที่ คืนนี้ข้าต้องขอบคุณพี่มากเลยเจ้าค่ะ”

คนเฝ้าประตูไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงจะเกรงใจเขาขนาดนี้  เขาคิดแล้วเชียวว่าตนเองดูคนไม่ผิด เขาลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็พูดกับเจียงป่าวชิงเสียงเบา “เจ้าก็ไม่ต้องไปโกรธพี่ชายเจ้าขนาดนั้นหรอก… ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พี่ชายเจ้าจะเรียนอยู่ที่นี่ เขาโดดเด่นในด้านการเรียนขนาดนั้น จึงมักจะถูกใครหลายคนทำเหมือนเขาเป็นหนามในตา…”

เจียงป่าวชิงรู้สึกตื้นตันใจมาก

ซุนต้าหูพยุงเจียงหยุนชาน จากนั้นเจียงป่าวชิงก็พาพี่ชายไปที่ด้านหน้าสถานที่ให้บริการรักษาโรคเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมซอย

สถานที่ให้บริการรักษาโรคปิดทำการแล้ว แต่เจียงป่าวชิงรู้ว่าที่นี่มีรูปแบบของบ้านที่มีประตูอยู่ด้านหน้าและมีลานบ้านอยู่ข้างหลัง ตอนนี้เกิ่งจื่อเจียงก็คงจะอยู่ในลานบ้านข้างหลัง

เจียงป่าวชิงออกแรงเคาะประตูและเรียกชื่อของเกิ่งจื่อเจียง “หมอเกิ่ง เปิดประตูหน่อยเจ้าค่ะ”

ตะโกนเรียกอยู่สักพัก ในที่สุดข้างในก็มีการเคลื่อนไหว และฟังดูเหมือนเสียงเดินมาอย่างรวดเร็วด้วยรองเท้าแตะทำนองนั้น

ประตูที่ลงกลอนข้างในถูกเปิดออก เมื่อเกิ่งจื่อเจียงเห็นว่าเป็นเจียงป่าวชิง เขาก็ตาเป็นประกายทันที “แม่หนู เจ้ามาอีกแล้วหรือ ? ครั้งนี้มีธุระอะไรล่ะ ?”

เจียงป่าวชิงไม่พูดพร่ำทำเพลง นางพยุงเจียงหยุนชานเข้าไปในสถานที่ให้บริการรักษาโรคแห่งนี้ทันที

เกิ่งจื่อเจียงจุดตะเกียงน้ำมันสองดวงในร้าน จากนั้นบริเวณรอบ ๆ ก็สว่างไสวขึ้นมา

เจียงป่าวชิงไม่สนใจอะไรแล้ว นางเอ่ยถามเกิ่งจื่อเจียง “หมอเกิ่ง ที่นี่มีแผ่นไม้ขนาบไหมเจ้าคะ ?”

เกิ่งจื่อเจียงดึงสติกลับมาจากแขนที่ดูไม่ค่อยปกติของเจียงหยุนชาน “ข้ามี ๆ” จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหยิบให้นาง

เจียงป่าวชิงทำการเข้ากระดูกให้เจียงหยุนชานและทำให้คงที่ด้วยแผ่นไม้ขนาบ

เจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงเหมือนกันตรงที่เป็นคนอดทน แม้จะเจ็บถึงขนาดนี้แล้วแต่เขายังไม่ปริปากร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว เมื่อทำการเข้ากระดูกเสร็จแล้ว เจียงหยุนชานก็เจ็บจนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ

เกิ่งจื่อเจียงมองอย่างตะลึงอยู่ด้านข้าง “เจ้า… เจ้าเข้ากระดูกเป็นด้วยรึ ?”

“ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย จึงต้องมีความสามารถรอบด้านเข้าไว้เจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงไม่มีอารมณ์จึงตอบกลับไปโดยไม่คิดอะไร ทว่านั่นทำให้เกิ่งจื่อเจียงรู้สึกเลื่อมใสนางจริง ๆ

“ช่วงนี้กลับไปรักษาบาดแผลกับข้าที่บ้านนะพี่” เจียงป่าวชิงไม่เปิดทางให้เจียงหยุนชานได้ปฏิเสธ “แล้วพรุ่งนี้เช้าเราจะไปทำเรื่องลาหยุดกัน”

เจียงหยุนชานรู้ว่าคืนนี้น้องสาวของเขาคงจะตกใจแย่แล้ว เขาจึงเผยรอยยิ้มปลอบโยนออกมาให้เห็น “ได้”

เมื่อเห็นรอยยิ้มของเจียงหยุนชาน เจียงป่าวชิงก็แหงนหน้าเพื่ออดกลั้นน้ำตาจากความตื้นตันใจ ในตอนนี้เอง ซุนต้าหูถึงจะพูดแทรกขึ้นมา “ยุ่งกันทั้งคืนแล้วพวกเจ้าเหนื่อยไหม ข้าออกไปซื้อของกินที่ด้านนอกให้ดีไหม ?”

เจียงหยุนชานรีบพูดขึ้นทันที “พี่ต้าหูขอรับ เกรงใจพี่มากเลยที่ต้องทำให้มาเป็นเพื่อนเจียงป่าวชิง ถึงที่นี่”

ซุนต้าหูพูดขึ้น “ไม่รบกวนหรอกไม่รบกวน น้องป่าวชิงเป็นห่วงจนแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว ข้ามาดูด้วยกันกับนาง เราทุกคนจะได้สบายใจขึ้นอย่างไรล่ะ”

เจียงป่าวชิงขอบคุณซุนต้าหูครั้งแล้วครั้งเล่า ทำจนซุนต้าหูรู้สึกเขินอายมาก เขาจึงอ้างว่าจะไปซื้อข้าวและเดินออกไปทันที

เวลานี้เมื่อสถานการณ์กระดูกหักของเจียงหยุนชานคงที่แล้ว เจียงป่าวชิงถึงจะโล่งใจขึ้นหน่อย นางถามเกิ่งจื่อเจียง “อาการโรคของคุณหนูฉือเมื่อครั้งที่แล้วเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะหมอเกิ่ง ?”

พูดถึงเรื่องนี้ เกิ่งจื่อเจียงก็หน้าบานเป็นกระด้งทันที “ข้าจะบอกว่าใบสั่งยาของเจ้าน่ะมหัศจรรย์มากเลยจริง ๆ  สาวใช้ของคุณหนูฉือมาเอาไม่กี่ครั้ง แต่รอยยิ้มบนใบหน้านางกลับมีมากขึ้นทุกครั้ง และไม่ค่อยพูดจาหยาบคายแล้ว ดูแล้วทำให้คนรู้สึกสบายใจมากเลยทีเดียวนะ”

เจียงป่าวชิงพยักหน้าและไม่ได้ถามเรื่องของคุณหนูฉืออีก  ตรงกันข้าม เจียงหยุนชานกลับฟังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เขาถามขึ้น “คุณหนูฉือ ใครรึ ?”

เจียงป่าวชิงเล่าเรื่องติดพันระหว่างนางกับฉือเชียนเชียนให้เขาฟังคร่าว ๆ  เมื่อเจียงหยุนชานได้ฟัง สีหน้าของเขาก็แข็งทื่อไปเล็กน้อย

“ฉือเชียนเชียน… ที่เป็นบุตรสาวของขุนนางอำเภอหรือเปล่า ?” เจียงหยุนชานถามอย่างหวาดหวั่น

เจียงป่าวชิงพยักหน้า

สีหน้าของเจียงหยุนชานเคร่งขรึมขึ้นทันที “ป่าวชิง เจ้าไม่ต้องไปมีความสัมพันธ์อะไรกับคุณหนูฉือนั่น และอยู่ให้ห่างจากนางซะ” เจียงหยุนชานชะงักไปเล็กน้อย เขากลัวว่าเจียงป่าวชิงจะไม่เชื่อจึงลังเลอยู่สักครู่ สุดท้ายก็พูดออกมาจนได้ “คือว่า… แขนข้าหักโดยฝีมือของคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับขุนนางอำเภอ ตระกูลฉือมักจะชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ในอำเภอเสมอ  ที่น่าเศร้าคือคน ๆ อื่นทำอะไรพวกเขาไม่ได้”

แต่ที่เขายังไม่ได้บอกน้องสาวคือหานอิงฉีคนนั้นบอกไว้แล้วว่า ‘ครั้งนี้แขนซ้าย ครั้งหน้าก็จะเป็นแขนขวา’