ตอนที่ 80 : ยอดมนุษย์

ผลดีของหินห้าสีมีหลายด้าน มันมีพลังวิญญาณจำนวนมาก แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ร่างกายของหวังเย่าเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ทำให้การทำงานของร่างกายทะลวงผ่านขีดจำกัดได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่อาจจะมองข้ามได้

เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้ดีกว่าตอนที่ร่างกายพัฒนาจนถึงขีดสุด มันดีกว่า 5 ถึง 6 เท่า ตอนนี้เขาถือว่าเป็นยอดมนุษย์คนหนึ่งก็ว่าได้

“ความแข็งแกร่งของฉันตอนนี้ หากไม่ใช้อสูรแล้วอย่างน้อยก็น่าจะอยู่ระดับ C และกำลังจะทะลวงผ่านไประดับ B”

ตั้งแต่ยุคสัตว์อสูร มนุษย์ก็ได้มีการแบ่งระดับขึ้นมา หนึ่งในนั้นคือระบบแยกความแข็งแกร่งของคน

ระบบนี้ก็คล้ายกับชุดต่าง ๆ ที่มีไปจนถึงระดับ SSS ความแข็งแกร่งของร่างกายก็แบ่งตั้งแต่ G ไปจนถึง SSS เหมือนกัน

ความแข็งแกร่งระดับ G นั้นเทียบได้กับคนทั่วไป ก่อนที่โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็พอฆ่าสัตว์ตัวใหญ่ ๆ ได้บ้าง แต่พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก

ระดับ F คือพวกที่ได้รับการฝึกมา พวกเขามีความสามารถในการต่อสู้อย่างนักมวย, ทหาร

ระดับ E คือพวกนักสู้ระดับสูงอย่างกองกำลังพิเศษ, ทหารรับจ้าง, บอดี้การ์ด

ระดับ D คือพวกที่มีร่างกายพัฒนาจนน่าทึ่ง ความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงก้าวกระโดดขึ้นมา พวกเขาถึงกับสามารถฉีกเสือดาวด้วยมือเปล่าได้ง่าย ๆ

ระดับ C นั้นโดดเด่นทัดเทียมกับระดับบรรพจารย์

ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์เฉินจื้อหรานที่มีความแข็งแกร่งน่ากลัวอย่างมาก เขาได้สร้างทักษะมีดขึ้นมาเอง เขาถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของมนุษย์ก็ว่าได้

สำหรับระดับ B แล้ว มันยิ่งน่าเหลือเชื่อกว่าเดิม ถือว่าเป็นยอดมนุษย์ เป็นตัวตนที่เหนือกว่าบรรพจารย์ เป็นขีดจำกัดทางร่างกายของมนุษย์ และก่อนที่โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็มีคนแบบนี้อยู่บ้าง

แต่เพราะการเปลี่ยนแปลง ตัวตนของความแข็งแกร่งระดับนี้จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในด้านการทำสมาธิ, ทักษะการต่อสู้, การออกกำลัง, การหาเสบียง  พวกเขาทำได้อย่างง่ายดาย

สรุปคือตั้งแต่ระดับ G จนถึงระดับ B นั้นมันมีอีกชื่อคือ ระดับทั่วไป, นักรบ, อาจารย์, ปรมาจารย์, บรรพจารย์และยอดมนุษย์

สำหรับระดับ A แล้ว มันโดดเด่นเท่ากับระดับศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนเรียกระดับนี้ว่าเซียน

เดิมที หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างยากลำบาก พลังต่อสู้ของร่างกายก็ทะลวงไปจนถึงระดับอาจารย์ นี่คือระดับที่กองกำลังพิเศษพร้อมจะรับตัวเข้าไป

หลังจากที่ดูดซับแก่นพลังจากหินห้าสีเข้าไป ความแข็งแกร่งของเขาก็พัฒนาขึ้นมาอย่างมากจนเกือบจะข้ามไป 2 ระดับ ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างขั้นปลายของระดับบรรพจารย์กับขั้นต้นของระดับยอดมนุษย์

เมื่อเขาปรับตัวกับความแข็งแกร่งที่มีได้และฝึกฝนทักษะต่าง ๆ เพิ่มไปอีก สุดท้ายเขาก็จะได้ขึ้นไปอยู่ระดับยอดมนุษย์จริง ๆ

“ ด้วยความแข็งแกร่งของฉันในตอนนี้ ถึงจะไม่ใช้สกิลของอสูร แต่ฉันก็สามารถเผชิญหน้ากับผู้ใช้อสูร 1 –  2 คนในระดับเดียวกันได้ “ หวังเย่าพอใจกับผลลัพธ์นี้เป็นอย่างมาก

นอกจากความแข็งแกร่งของเขาเองแล้ว การ์ฟิลด์และหงอคงก็พัฒนาขึ้นมาไม่ใช่น้อย

การ์ฟิลด์ได้กินน้ำยาขั้นสูงทุกวัน บางครั้งมันก็กินเลือดมังกรดินและน้ำยาพลัง ซึ่งจะเพิ่มค่าประสบการณ์ 1,000-2,000 หน่วยต่อวัน

สองเดือนที่ผ่านมานี้ค่าประสบการณ์ของมันก็มากกว่า 80,000 หน่วยแล้ว

ด้วยค่าประสบการณ์นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เลเวลมันเพิ่มขึ้น 4 เลเวลเป็นเลเวล 36

ส่วนหงอคงนั้นเป็นพวกกินพืช มันกินแต่ผลไม้หยวนที่ได้มาจากเขตลับซึ่งทำให้มันขึ้นมาเลเวล 30 ได้ ตอนนี้มันเป็นอสูรระดับลอร์ดแล้ว

หลังจากที่เลเวลขึ้นมาถึง 30 สกิลของหงอคงก็เพิ่มขึ้นมา มันเรียกว่าพลิกเมฆ หงอคงสามารถตีลังกากลางอากาศได้นานขึ้น

มื่อเห็นสกิลเหวังเย่าก็รู้สึกผิดหวัง แต่เมื่อเห็นข้อความจากระบบ เขาก็ต้องตื่นเต้นขึ้นมาทันที

เพราะสกิลนี้จะพัฒนาขึ้นไปเป็นสกิลไต่เมฆา ตอนที่หงอคงขึ้นไปอยู่ระดับราชาซึ่งก็คือเลเวล 40

“พลิกเมฆ ไต่เมฆา” หวังเย่าคิดและนึกถึงนิยายที่เขาเคยอ่านมา

“อย่าบอกนะว่าหลังจากที่ได้สกิลนี้มา แกจะเปลี่ยนร่างเป็นเมฆได้ ? ”

หวังเย่าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เขาทั้งคาดหวังและกังวลไปพร้อมกัน

การเพิ่มเลเวลของอสูรทั้งสองทำให้ขนาดของมันเพิ่มขึ้น อีกทั้งความแรงและความเร็วก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก

การเพิ่มเลเวลมานี้ก็ทำให้ค่าความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นไปด้วย พลังของพวกมันจึงแข็งแกร่งขึ้นไปตาม

“ทักษะธนู ด้วยแรงแขนที่ฉันมีกับธนูระดับ B แล้ว ภายในระยะทาง 800 เมตร ฉันจะสามารถยิงโดน 100% ในระยะ 1 กิโลเมตรความแม่นอยู่ที่ 95% และไม่อาจจะยิงทะลุเป้าหมายได้ ความเสียหายนั้นไม่มากนัก” หวังเย่าสรุป  “แต่ถ้าอยู่ในระยะ 500 เมตร เมื่อยิงโดนเป้าหมายก็จะสร้างความเสียหายให้กับอสูรเลเวลน้อยกว่า 40 ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับพลังป้องกันของอสูรตัวนั้นด้วย”

“แน่นอนว่าด้วยความช่วยเหลือของหงอคงแล้ว ในระยะ 300 เมตร พวกอสูรที่เลเวลน้อยกว่า 30 จะโดนยิงจนตัวทะลุได้”

การที่ทักษะเกลียวธนู สามารถสร้างความเสียหายระดับนี้ได้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว  หวังเย่าพอใจกับผลลัพธ์นี้อย่างมาก

ทักษะมีดลมหายใจมังกร มันใช้ร่างกายร่วมกับทักษะ ซึ่งมันถือว่าเป็นทักษะขั้นที่ 4

ด้วยความแข็งแกร่งของเขารวมกับทักษะต่อสู้แล้ว หวังเย่าสามารถสู้กับอสูรเลเวล 30 ได้โดยไม่มีสัตว์อสูร และเขาอาจจะฆ่ามันได้ด้วยซ้ำ

“ตอนนี้ทักษะมีดลมหายใจมังกรพัฒนาจนถึงจุดคอขวดแล้ว ทักษะเกลียวธนูก็มาถึงทางตัน ฉันต้องหาทักษะใหม่มาฝึก”

จากนั้นหวังเย่าก็ไปที่ห้องสมุด เขาเข้าไปในพื้นที่ที่ต้องเสียเงินก่อนจะเริ่มทำการเลือกทักษะที่เขาต้องการ

“ฉันมีระบบคอยช่วยยกระดับอสูร ยิ่งฉันมีอสูรมากเท่าไหร่ ฉันก็ควรจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้นไปด้วย”

หวังเย่าตัดสินใจจะซื้อทักษะทำสมาธิที่เหมาะกับเขามา

“ร่างกายพึ่งพาวิทยาศาสตร์และการฝึกฝนได้ ฉันต้องเพิ่มพลังจิต”

“ทักษะต่อสู้และพลังจิตนั้นต่างกัน พวกมันมีระดับชั้นของตัวเองตั้งแต่ขั้นที่ 1-9 แต่ทักษะต่อสู้นั้นสามารถสอนกันได้ ฉันเรียนรู้จากอาจารย์คนอื่น ๆ ได้ แต่การทำสมาธินั้นต้องพึ่งความเข้าใจของตัวเองทั้งหมด”

เมื่อเลือกได้แล้ว หวังเย่าก็ได้มุ่งหน้าไปยังเขตทำสมาธิ

แม้แต่ในมหาวิทยาลัยจีน ทักษะสมาธิเองก็ยังมีน้อย ยังไงซะมันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดและวิญญาณ

เรื่องนี้มนุษย์ไม่ได้เชี่ยวชาญนักและยากจะรับรู้ถึงแก่นสำคัญได้ มันเต็มไปด้วยอันตรายและความเสี่ยงที่สูง ทักษะที่มีนี้ได้ผ่านการศึกษาและทดลองมาอย่างดีแล้ว

สรุปคือทักษะสมาธิที่นี่มีแค่ช่วงเริ่มต้น พวกที่ฝึกสมาธิจริง ๆ จัง ๆ นั้นมีไม่มาก พวกที่ฝึกไปถึงระดับสูงนั้นยิ่งน้อยลงไปอีก

ผลก็คือทักษะสมาธิระดับสูงจึงหาได้ยาก