เล่มที่ 3 บทที่ 78 สาดสีสาดโคลน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

น้ำเสียงเย็นเฉียบดังขึ้นมาจากทางด้านหน้า

    หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้น ผลปรากฏว่านางได้เห็นร่างของชิงหูรางๆ

    ชิงหูในเวลานี้มิได้มีท่าทางเกียจคร้านมิเอาอ่าวเหมือนอย่างตอนอยู่จวนไม่ ขนคิ้วขมวดแน่นชนกัน สีหน้าเย็นชา รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน

    “เจ้าเด็กน้อย เหยียมารับเจ้าแล้ว เจ้าคนจมูกงองุ้มน่ารังเกียจช่วยดูแลยัยเด็กน้อยของข้าดีๆ หน่อย หากนางได้รับบาดเจ็บแม้เพียงนิดเดียว เหยียจะเลาะกระดูกทุกซี่ของเจ้าออกมา!”

    หลินเมิ้งหยาไม่เข้าใจเรื่องการต่อสู้ ทว่าตอนนี้นางรู้เพียงว่าชิงหูต้องต่อสู้หนึ่งต่อสอง

    ดูเหมือนว่าชายชุดดำในเรือนเหล่านั้นจะถูกคนที่ชิงหูพามาล้อมเอาไว้แล้ว

    นางไร้ความสามารถทางการต่อสู้ เกรงว่าตนเองจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเสียแล้ว

    เฮ้อ จริงๆ เลย

    ทำไมตอนที่ปลูกถ่ายคลื่นสมองถึงไม่สอดแทรกข้อมูลจำพวกกังฟูหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยนะ?

    “ฮึ เปิ่นหวังคิดว่าสตรีของต้าจิ้นจะอยู่ในครรลองครองธรรม แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงดอกไม้ริมทางเท่านั้น! นี่คือคนรักของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

    เห็นได้ชัดว่าชายจมูกงองุ้มต้องการทำให้ชิงหูโกรธ จากนั้นเขาจะหาโอกาสหลบหนี แต่ชิงหูหาใช่คนที่ถูกหลอกง่ายๆ ไม่ เพียงขนคิ้วขยับ ดาบยาวที่ถือไว้ในมือก็พุ่งตรงเข้ามา

    “ไอ้คนต่ำทราม!”

    สองนายบ่าวคิดไม่ถึงเลยว่าชิงหูจะเปิดฉากการต่อสู้โดยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ เช่นนี้

    ท่ามกลางความโกลาหล ชายจมูกงองุ้มขยับร่างของหลินเมิ้งหยาขึ้นมาบังหน้าอกของตนเองไว้ เพื่อปล่อยให้ร่างของนางรับดาบที่กำลังพุ่งมาของชิงหู

    ทว่ามันกลับไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ยุ่งยากในการหลบมุมมากขึ้นเท่านั้น ปลายดาบเลื่อนผ่านใบหูของหลินเมิ้งหยาไป

    “นายท่านระวัง!”

    หยุนตูแผดร้องเสียงดังและคิดจะเข้าไปบดบังร่างของเจ้านางเอาไว้

    ทว่ามุมปากของชิงหูพลันกระตุกยิ้มเย็นชา ขายกขึ้นถีบเขาออกไป

    ได้เห็นเพียงร่างที่ถูกถีบจนกระเด็นของหยุนตู ส่วนเจ้าคนจมูกงองุ้มรีบปล่อยร่างจากมือทั้งสองของตนเองลง

    “เจ้าเด็กน้อยเป็นอะไรหรือไม่?”

    ชิงหูรีบคว้าตัวของหลินเมิ้งหยามากอดไว้ มุมปากหยักยิ้มซุกซน

    เขากะพริบตาถี่ๆ ขณะมองหน้าหลินเมิ้งหยา อันที่จริงเขาเพียงแต่วางแผนโจมตีเพื่อช่วยหลินเมิ้งหยากลับมาแต่เพียงเท่านั้น

    “ไม่เป็นไร หากเจ้าแทงพลาดไปแม้แต่เพียงนิดเดียว เกรงว่าข้าคงเสียโฉมอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นเจ้าตายแน่!”

    หากบอกว่าไม่กลัวคงเป็นเรื่องโกหก ถึงอย่างไรคมมีดก็ไร้ซึ่งหัวใจ แต่หลินเมิ้งหยาเป็นคนที่ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายใบหน้าก็ยังคงสงบนิ่งดั่งเดิม ดังนั้นนางจึงไร้ซึ่งท่าทีตื่นตระหนกเหมือนหญิงสาวทั่วไป

    “ไอ้หยา เชื่อใจข้าหน่อยเถิด เหยียเห็นคุณค่าของใบหน้าเจ้าดีกว่าเจ้าเองเสียอีก พวกเราไปกันเถอะ!”

    ชิงหูยังคงเจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก เหตุเพราะต้องต่อสู้ติดต่อกันอย่างดุเดือดเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงเสียกำลังไปไม่น้อย

    ดังนั้นแม้ทักษะทางการต่อสู้ของเขาจะสูงกว่าทั้งสองคนนั้น แต่เขาก็ไม่นึกอยากต่อสู้

    เพื่อช่วยหลินเมิ้งหยาจึงต้องใช้วิชาตัวเบา ดังนั้นน้ำมันที่ฝ่าเท้าจึงเริ่มไหลออกมา

    หลินเมิ้งหยาถูกเขาอุ้มเอาไว้ในอ้อมกอด ทว่านางกลับได้เห็นสีหน้าเคียดแค้นของสองนายบ่าว

    จดจำความแค้นในครั้งนี้เอาไว้แล้วรอการชำระ!

    “พระชายาบาดเจ็บหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

    หลังจากเจอตัวหลินเมิ้งหยาแล้ว หลินขุยรีบพุ่งเข้ามาหาเป็นคนแรก

    หลังจากกระโดดขึ้นลงเพียงไม่กี่ครั้ง ในที่สุดชิงหูก็พาหลินเมิ้งหยากลับมายังเรือนเล็ก

    ภายใน หลินขุยพาทหารองครักษ์ประจำจวนมาจัดการกับซากศพ

    หวากสายตามองดูร่างไร้วิญญาณของชายชุดดำ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมิรู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

    “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ตรวจสอบพบหรือไม่ว่าเป็นฝีมือของใคร?”

    หลินขุยพยักหน้าลงด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก ส่งเสียงเคร่งขรึม

    “คนเหล่านี้ล้วนถือดาบทองของซีฟาน เกรงว่าคนผู้นั้นจะเป็นชนชั้นสูงของซีฟานพ่ะย่ะค่ะ”

    ซีฟาน? หลินเมิ้งหยาเพิ่งนึกได้ว่าชายคนนั้นมั่นใจเหลือเกินว่าหลงเทียนอวี้ไม่มีทางตามมาช่วยนางได้ทันเวลา

    อีกทั้งยังโม้เกินจริงว่าตัวเองเก่งกาจ หรือว่า…เขาจะเป็นคนจัดแจงให้หลงเทียนอวี้ต้องไปดูแลองค์ชายแห่งซีฟานในงานเลี้ยงคืนนี้

    “เขาบอกว่าเขาเป็นองค์ชาย หรือเขาจะเป็นองค์ชายแห่งซีฟาน?”

    หลินขุยส่ายหน้า แม้เขาจะเคยร่วมรบกับท่านอ๋อง

    ทว่าเขาจำได้เพียงผู้นำระดับแม่ทัพเท่านั้น อีกทั้งเมื่อครู่หลินขุยยังมิได้เห็นหน้าของชายคนนั้นกับตาตัวเอง

    “ข้าไม่สนหรอกว่าเขาเป็นองค์ชายแห่งซีฟานหรือไม่ แต่ถ้ากล้าทำร้ายยัยเด็กน้อย ข้าจะไม่ปล่อยไว้แม้แต่คนเดียว”

    ฝีมือทางการต่อสู้ของชิงหูค่อนข้างสูง อาจจะสูงจนเหล่าองครักษ์เทียบไม่ติด เขาเป็นคนเก่งผิดมนุษย์

    หลินขุยยังไม่ไว้ใจเขา หากมิใช่เพราะท่านอ๋องเอ่ยว่าต้องการให้เขาเป็นองครักษ์ประจำตัวของพระชายาแล้วละก็ เกรงว่าเขาคงไม่ข้องเกี่ยวกับชายคนนี้เป็นแน่

    “แย่แล้ว วันนี้ท่านอ๋องต้องพาฮ่องเต้หมิงไปเยี่ยมชมเมืองหลวง หากมีใครคิดร้ายกับท่านอ๋องจะเป็นเช่นไร? ชิงหู เจ้าไปดูแลท่านอ๋องได้หรือไม่?”

    เมื่อได้เห็นท่าทางร้อนใจของหลินเมิ้งหยาที่มีต่อหลงเทียนอวี้ สีหน้าของชิงหูเผยให้เห็นความไม่พึงพอใจ

    แต่เขากลับไม่อาจปฏิเสธคำขอของหลินเมิ้งหยาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพยักหน้าลง

    จากนั้นร่างของเขาก็หายไปจากเรือนเล็กหลังนี้

    “พระชายา เขา…ควรค่าพอที่จะเชื่อใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง สีหน้าเคร่งขรึม

    “ข้าหวังว่านับจากนี้ไปพวกเจ้าจะเลิกระแวงเขาได้แล้ว อดีตเขาอาจเป็นศัตรู แต่นับจากนี้ไปข้าขอรับรองกับพวกเจ้าเลยว่าเขาจะเป็นมิตรที่จริงใจกับพวกเจ้าที่สุด”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

    หลินขุยไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้เพียงหวังว่าชิงหูที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายคนนี้จะสามารถปกป้องท่านอ๋องของพวกเขาได้

    กว่าหลินเมิ้งหยาจะนั่งรถม้ากลับถึงจวน ท้องฟ้าที่ได้สว่างจ้ากลับกลายเป็นมืดสนิท

    หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในรถม้าพลางครุ่นคิด

    นางที่เป็นชายาอวี้มิได้ออกมายังเมืองหลวงและเปิดเผยใบหน้าให้ผู้อื่นเห็นบ่อยนัก อย่าว่าแต่เหล่าอันธพาลซีฟานเลย แม้แต่คนในเมืองหลวงเองก็น้อยนักที่จะรู้จักนาง

    เหตุใดองค์ชายองค์นั้นจึงเอ่ยว่านางเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของต้าจิ้น?

    ยิ่งไปกว่านั้นยังวางแผนลักพาตัวนางอย่างลับๆ มาอีก

    หลงเทียนอวี้ติดงานมิอาจปลีกตัว คาดการณ์ว่านางไปไหว้พระขอพร เกรงว่าแม้แต่คนที่มาแย่งกล่องขนมของป๋ายจื่อและวอแวชิงหูเองก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์ชายคนนั้นใช่หรือไม่นะ?

    มิเช่นนั้น…บังเอิญกระนั้นหรือ? หากชายคนนั้นไม่ปรากฏตัวออกมา คาดว่านางก็คงไม่เดินปลีกวิเวกออกไปยังเส้นทางไร้ผู้คนบริเวณกลางเขาหรอก

    นางมิอาจฟันธงเรื่องเหล่านี้ไปเสียทีเดียว ปัจจัยเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในสมองของนางประหนึ่งปริศนาที่ยากจะหาคำตอบ

    ยุ่งยาก! วุ่นวาย!

    “คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”

    ป๋ายจื่อกระตุกชายเสื้อหลินเมิ้งหยาด้วยความระมัดระวัง เมื่อครู่เหตุการณ์ในเรือนหลังนั้นวุ่นวายมากเหลือเกิน

    ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจนาง กลับกันนางเป็นฝ่ายวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปยังประตูสำรองของเรือน เปิดผิดเปิดถูกจนทหารองครักษ์ของจวนสามารถเข้ามาจัดการชายชุดดำเหล่านั้นได้

    “ข้าไม่เป็นไร เจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บหรือไม่?”

    ดึงมือป๋ายจื่อหาตัว สายตารู้สึกผิด เด็กคนนี้อยู่เคียงข้างนางมาตั้งแต่สมัยยังเด็กแล้ว

    ไม่มีวันไหนเลยที่จะมีความสุข นางต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เสมอ

    “หนู่ปี้เองก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอเพียงคุณหนูไม่เป็นไร ป๋ายจื่อก็รู้สึกดีใจยิ่งกว่าอะไรทั้งปวงอีกเจ้าค่ะ”

    แม้จะรู้สึกหวาดผวา แต่เมื่ออยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยา นางกลับส่งยิ้มอ่อนหวานกลับมาให้

    ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนั้นไม่ส่งผลอะไรกับนางเลยแม้แต่น้อย

    “ดีแล้ว เช่นนั้นข้าก็สบายใจ ขนมกล่องนั้นข้าค่อยซื้อให้เจ้าใหม่ทีหลัง”

    ถือว่าสบายใจเรื่องป๋ายจื่อได้แล้ว บางครั้งนางก็แอบอิจฉาอุปนิสัยของป๋ายจื่อเหลือเกิน

    ขอเพียงมีอาหารมีเครื่องดื่ม นางก็สามารถลืมเลือนเรื่องเลวร้ายและไม่เก็บมาใส่ใจอีกได้

    ไม่นานรถม้าก็แล่นเข้าสู่ตัวเมือง หลินขุ๋ยอยากรีบพาหลินเมิ้งหยาไปส่งที่จวนให้เร็วที่สุด

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกใครบางคนขวางทาง

    …

    ขณะนี้จวนอวี้กำลังตกอยู่ในความโกลาหล

    ภายในตำหนักหยาเสวียน สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยเปี่ยมไปด้วยความเสียใจ

    หากมิใช่เพราะนางตั้งใจพาหลินเมิ้งหยาไปไหว้พระแล้วละก็ เด็กคนนั้นคงไม่หายตัวไป

    ตอนนี้ไร้ซึ่งข่าวคราวใดๆ แล้วแบบนี้นางจะตอบอวี้เอ๋อร์อย่างไร?

    “เหนียงเหนียง ตอนนี้องครักษ์ในจวนกำลังออกค้นหา จะต้องหาตัวพระชายาเจออย่างแน่นอนเพคะ อย่าได้ร้อนใจไปเลย”

    จิ่นเยว่ปลอบโยนพระสนมเต๋อเฟย หลินเมิ้งหยาหายตัวไป อันที่จริงนางเองก็ร้อนใจไม่น้อย

    “ข้าผิดเอง ข้าผิดเอง หากข้าไม่พานางไปที่วัด เกรงว่าคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”

    ช่วงเวลาที่ผ่านมา นางเห็นความดีความชอบของหลินเมิ้งหยาทั้งหมด

    หากมิใช่เพราะหลินเมิ้งหยาจริงใจกับนาง แล้วเด็กคนนั้นจะเข้ามาพูดคุยและคอยปรนนิบัติรับใช้นางทุกวันทำไม

    นางมีอวี้เอ๋อร์เป็นลูกชายเพียงคนเดียว แม้เหล่าองค์ชายองค์หญิงในวังจะเคารพนับถือนาง แต่ถึงกระนั้นก็หาได้จริงใจกับนางไม่

    ส่วนเจียงหรูฉินที่นางรักและเอ็นดูก็เป็นเพียงเด็กเอาแต่ใจ ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงกลายเป็นคนสำคัญ

    “มิใช่อย่างนั้นหรอกเพคะเหนียงเหนียง อย่าได้เอ่ยเช่นนั้นเลย พระชายาเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา หนู่ปี้เชื่อว่าพระชายาจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ”

    ยังไม่ทันที่พระสนมเต๋อเฟยจะได้เอ่ยตอบ จิ้งเยว่เดินเข้ามาภายในตำหนักหยาเสวียนด้วยสีหน้าอึดอัดใจ

    “เหนียงเหนียง ฮูหยินหลินขอเข้าเฝ้าเพคะ”

    คิ้วของพระสนมเต๋อเฟยเลิกสูงขึ้น คนผู้นี้มักเป็นคนทำดีหวังผล เกรงว่าการมาในคราวนี้จะต้องมีแผนการอะไรแอบแฝงอย่างแน่นอน

    “เข้ามาได้”

    พระสนมเต๋อเฟยสบตากับจิ่นเยว่ พยายามสะกดกลั้นความหนักใจของตนเองเอาไว้

    พาลูกสาวของตนเองเดินผ่านธรณีประตูตำหนักหยาเสวียนเข้ามา สีหน้าของซ่างกวนฉิงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดระคนอับอาย

    เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระสนมเต๋อเฟย ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร หยาดน้ำตาพลันรินไหล ร่างกายทรุดลงกับพื้น

    “พระสนมเต๋อเฟยได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันสั่งสอนลูกสาวไม่ดีเอง หยาเอ๋อร์จึงก่อเรื่องน่าอับอายเช่นนี้”

    ทั้งสองก้มศีรษะต่ำพลางร้องไห้ตำหนิตัวเองไม่หยุดปาก ราวกับว่าเกิดเรื่องใหญ่หลวงขึ้น

    บรรยากาศภายในตำหนักแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย คิ้วของพระสนมเต๋อเฟยขมวดเข้าหากันแน่น

    ตกลง…มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

    “ฮูหยินหลินไม่ต้องมากพิธี มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอให้รีบแจ้งออกมา”

    แต่ไหนแต่ไรมาพระสนมเต๋อเฟยมิเคยมองพวกนางสองแม่ลูกในแง่ดี

    ตอนนี้ยังเข้ามาก่อความวุ่นวายในขณะที่นางกำลังกระวนกระวาย ดังนั้นเสียงของพระสนมเต๋อเฟยจึงเย็นเฉียบ

    สาวใช้สองคนเข้ามาพยุงร่างของซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่

    ซ่างกวนฉิงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา สีหน้ายังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกอับอาย ก่อนจะเอ่ยตำหนิตัวเองออกมา

    “เรื่องนี้ต้องโทษลูกสาวไม่รักดีของหม่อมฉัน ตอนยังอาศัยอยู่ที่จวน นางแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายแปลกประหลาดคนหนึ่ง หม่อมฉันขังนางไว้ในบ้านเพื่ออนาคตที่ดีของนาง แต่ใครจะรู้เล่าว่านางไม่เพียงไม่รู้สึกผิด แต่ยัง…ยังก่อเรื่องน่าอับอายขายหน้าเช่นนี้ได้ หม่อม…หม่อมฉันอยากตายเหลือเกินเพคะ”

    คำพูดของซ่างกวนฉิงทำให้ทุกคนตกตะลึง

    พระสนมเต๋อเฟยและจิ่นเยว่ล้วนแสดงสีหน้าตกใจ

    มันจะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร?

    หรือว่าพระชายามิได้หายตัวไป แต่ถูกใครบางคนลักพาตัวไป

    หรือ…หรือว่าหนีตามกันไป?

    สวรรค์โปรด เรื่องนี้จะปล่อยให้ถูกแพร่งพรายออกไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!