น้ำเสียงเย็นเฉียบดังขึ้นมาจากทางด้านหน้า
หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้น ผลปรากฏว่านางได้เห็นร่างของชิงหูรางๆ
ชิงหูในเวลานี้มิได้มีท่าทางเกียจคร้านมิเอาอ่าวเหมือนอย่างตอนอยู่จวนไม่ ขนคิ้วขมวดแน่นชนกัน สีหน้าเย็นชา รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน
“เจ้าเด็กน้อย เหยียมารับเจ้าแล้ว เจ้าคนจมูกงองุ้มน่ารังเกียจช่วยดูแลยัยเด็กน้อยของข้าดีๆ หน่อย หากนางได้รับบาดเจ็บแม้เพียงนิดเดียว เหยียจะเลาะกระดูกทุกซี่ของเจ้าออกมา!”
หลินเมิ้งหยาไม่เข้าใจเรื่องการต่อสู้ ทว่าตอนนี้นางรู้เพียงว่าชิงหูต้องต่อสู้หนึ่งต่อสอง
ดูเหมือนว่าชายชุดดำในเรือนเหล่านั้นจะถูกคนที่ชิงหูพามาล้อมเอาไว้แล้ว
นางไร้ความสามารถทางการต่อสู้ เกรงว่าตนเองจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเสียแล้ว
เฮ้อ จริงๆ เลย
ทำไมตอนที่ปลูกถ่ายคลื่นสมองถึงไม่สอดแทรกข้อมูลจำพวกกังฟูหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยนะ?
“ฮึ เปิ่นหวังคิดว่าสตรีของต้าจิ้นจะอยู่ในครรลองครองธรรม แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงดอกไม้ริมทางเท่านั้น! นี่คือคนรักของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าชายจมูกงองุ้มต้องการทำให้ชิงหูโกรธ จากนั้นเขาจะหาโอกาสหลบหนี แต่ชิงหูหาใช่คนที่ถูกหลอกง่ายๆ ไม่ เพียงขนคิ้วขยับ ดาบยาวที่ถือไว้ในมือก็พุ่งตรงเข้ามา
“ไอ้คนต่ำทราม!”
สองนายบ่าวคิดไม่ถึงเลยว่าชิงหูจะเปิดฉากการต่อสู้โดยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ เช่นนี้
ท่ามกลางความโกลาหล ชายจมูกงองุ้มขยับร่างของหลินเมิ้งหยาขึ้นมาบังหน้าอกของตนเองไว้ เพื่อปล่อยให้ร่างของนางรับดาบที่กำลังพุ่งมาของชิงหู
ทว่ามันกลับไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ยุ่งยากในการหลบมุมมากขึ้นเท่านั้น ปลายดาบเลื่อนผ่านใบหูของหลินเมิ้งหยาไป
“นายท่านระวัง!”
หยุนตูแผดร้องเสียงดังและคิดจะเข้าไปบดบังร่างของเจ้านางเอาไว้
ทว่ามุมปากของชิงหูพลันกระตุกยิ้มเย็นชา ขายกขึ้นถีบเขาออกไป
ได้เห็นเพียงร่างที่ถูกถีบจนกระเด็นของหยุนตู ส่วนเจ้าคนจมูกงองุ้มรีบปล่อยร่างจากมือทั้งสองของตนเองลง
“เจ้าเด็กน้อยเป็นอะไรหรือไม่?”
ชิงหูรีบคว้าตัวของหลินเมิ้งหยามากอดไว้ มุมปากหยักยิ้มซุกซน
เขากะพริบตาถี่ๆ ขณะมองหน้าหลินเมิ้งหยา อันที่จริงเขาเพียงแต่วางแผนโจมตีเพื่อช่วยหลินเมิ้งหยากลับมาแต่เพียงเท่านั้น
“ไม่เป็นไร หากเจ้าแทงพลาดไปแม้แต่เพียงนิดเดียว เกรงว่าข้าคงเสียโฉมอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นเจ้าตายแน่!”
หากบอกว่าไม่กลัวคงเป็นเรื่องโกหก ถึงอย่างไรคมมีดก็ไร้ซึ่งหัวใจ แต่หลินเมิ้งหยาเป็นคนที่ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายใบหน้าก็ยังคงสงบนิ่งดั่งเดิม ดังนั้นนางจึงไร้ซึ่งท่าทีตื่นตระหนกเหมือนหญิงสาวทั่วไป
“ไอ้หยา เชื่อใจข้าหน่อยเถิด เหยียเห็นคุณค่าของใบหน้าเจ้าดีกว่าเจ้าเองเสียอีก พวกเราไปกันเถอะ!”
ชิงหูยังคงเจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก เหตุเพราะต้องต่อสู้ติดต่อกันอย่างดุเดือดเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงเสียกำลังไปไม่น้อย
ดังนั้นแม้ทักษะทางการต่อสู้ของเขาจะสูงกว่าทั้งสองคนนั้น แต่เขาก็ไม่นึกอยากต่อสู้
เพื่อช่วยหลินเมิ้งหยาจึงต้องใช้วิชาตัวเบา ดังนั้นน้ำมันที่ฝ่าเท้าจึงเริ่มไหลออกมา
หลินเมิ้งหยาถูกเขาอุ้มเอาไว้ในอ้อมกอด ทว่านางกลับได้เห็นสีหน้าเคียดแค้นของสองนายบ่าว
จดจำความแค้นในครั้งนี้เอาไว้แล้วรอการชำระ!
“พระชายาบาดเจ็บหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หลังจากเจอตัวหลินเมิ้งหยาแล้ว หลินขุยรีบพุ่งเข้ามาหาเป็นคนแรก
หลังจากกระโดดขึ้นลงเพียงไม่กี่ครั้ง ในที่สุดชิงหูก็พาหลินเมิ้งหยากลับมายังเรือนเล็ก
ภายใน หลินขุยพาทหารองครักษ์ประจำจวนมาจัดการกับซากศพ
หวากสายตามองดูร่างไร้วิญญาณของชายชุดดำ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมิรู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ตรวจสอบพบหรือไม่ว่าเป็นฝีมือของใคร?”
หลินขุยพยักหน้าลงด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก ส่งเสียงเคร่งขรึม
“คนเหล่านี้ล้วนถือดาบทองของซีฟาน เกรงว่าคนผู้นั้นจะเป็นชนชั้นสูงของซีฟานพ่ะย่ะค่ะ”
ซีฟาน? หลินเมิ้งหยาเพิ่งนึกได้ว่าชายคนนั้นมั่นใจเหลือเกินว่าหลงเทียนอวี้ไม่มีทางตามมาช่วยนางได้ทันเวลา
อีกทั้งยังโม้เกินจริงว่าตัวเองเก่งกาจ หรือว่า…เขาจะเป็นคนจัดแจงให้หลงเทียนอวี้ต้องไปดูแลองค์ชายแห่งซีฟานในงานเลี้ยงคืนนี้
“เขาบอกว่าเขาเป็นองค์ชาย หรือเขาจะเป็นองค์ชายแห่งซีฟาน?”
หลินขุยส่ายหน้า แม้เขาจะเคยร่วมรบกับท่านอ๋อง
ทว่าเขาจำได้เพียงผู้นำระดับแม่ทัพเท่านั้น อีกทั้งเมื่อครู่หลินขุยยังมิได้เห็นหน้าของชายคนนั้นกับตาตัวเอง
“ข้าไม่สนหรอกว่าเขาเป็นองค์ชายแห่งซีฟานหรือไม่ แต่ถ้ากล้าทำร้ายยัยเด็กน้อย ข้าจะไม่ปล่อยไว้แม้แต่คนเดียว”
ฝีมือทางการต่อสู้ของชิงหูค่อนข้างสูง อาจจะสูงจนเหล่าองครักษ์เทียบไม่ติด เขาเป็นคนเก่งผิดมนุษย์
หลินขุยยังไม่ไว้ใจเขา หากมิใช่เพราะท่านอ๋องเอ่ยว่าต้องการให้เขาเป็นองครักษ์ประจำตัวของพระชายาแล้วละก็ เกรงว่าเขาคงไม่ข้องเกี่ยวกับชายคนนี้เป็นแน่
“แย่แล้ว วันนี้ท่านอ๋องต้องพาฮ่องเต้หมิงไปเยี่ยมชมเมืองหลวง หากมีใครคิดร้ายกับท่านอ๋องจะเป็นเช่นไร? ชิงหู เจ้าไปดูแลท่านอ๋องได้หรือไม่?”
เมื่อได้เห็นท่าทางร้อนใจของหลินเมิ้งหยาที่มีต่อหลงเทียนอวี้ สีหน้าของชิงหูเผยให้เห็นความไม่พึงพอใจ
แต่เขากลับไม่อาจปฏิเสธคำขอของหลินเมิ้งหยาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพยักหน้าลง
จากนั้นร่างของเขาก็หายไปจากเรือนเล็กหลังนี้
“พระชายา เขา…ควรค่าพอที่จะเชื่อใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง สีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าหวังว่านับจากนี้ไปพวกเจ้าจะเลิกระแวงเขาได้แล้ว อดีตเขาอาจเป็นศัตรู แต่นับจากนี้ไปข้าขอรับรองกับพวกเจ้าเลยว่าเขาจะเป็นมิตรที่จริงใจกับพวกเจ้าที่สุด”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
หลินขุยไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้เพียงหวังว่าชิงหูที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายคนนี้จะสามารถปกป้องท่านอ๋องของพวกเขาได้
กว่าหลินเมิ้งหยาจะนั่งรถม้ากลับถึงจวน ท้องฟ้าที่ได้สว่างจ้ากลับกลายเป็นมืดสนิท
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในรถม้าพลางครุ่นคิด
นางที่เป็นชายาอวี้มิได้ออกมายังเมืองหลวงและเปิดเผยใบหน้าให้ผู้อื่นเห็นบ่อยนัก อย่าว่าแต่เหล่าอันธพาลซีฟานเลย แม้แต่คนในเมืองหลวงเองก็น้อยนักที่จะรู้จักนาง
เหตุใดองค์ชายองค์นั้นจึงเอ่ยว่านางเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของต้าจิ้น?
ยิ่งไปกว่านั้นยังวางแผนลักพาตัวนางอย่างลับๆ มาอีก
หลงเทียนอวี้ติดงานมิอาจปลีกตัว คาดการณ์ว่านางไปไหว้พระขอพร เกรงว่าแม้แต่คนที่มาแย่งกล่องขนมของป๋ายจื่อและวอแวชิงหูเองก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์ชายคนนั้นใช่หรือไม่นะ?
มิเช่นนั้น…บังเอิญกระนั้นหรือ? หากชายคนนั้นไม่ปรากฏตัวออกมา คาดว่านางก็คงไม่เดินปลีกวิเวกออกไปยังเส้นทางไร้ผู้คนบริเวณกลางเขาหรอก
นางมิอาจฟันธงเรื่องเหล่านี้ไปเสียทีเดียว ปัจจัยเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในสมองของนางประหนึ่งปริศนาที่ยากจะหาคำตอบ
ยุ่งยาก! วุ่นวาย!
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”
ป๋ายจื่อกระตุกชายเสื้อหลินเมิ้งหยาด้วยความระมัดระวัง เมื่อครู่เหตุการณ์ในเรือนหลังนั้นวุ่นวายมากเหลือเกิน
ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจนาง กลับกันนางเป็นฝ่ายวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปยังประตูสำรองของเรือน เปิดผิดเปิดถูกจนทหารองครักษ์ของจวนสามารถเข้ามาจัดการชายชุดดำเหล่านั้นได้
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บหรือไม่?”
ดึงมือป๋ายจื่อหาตัว สายตารู้สึกผิด เด็กคนนี้อยู่เคียงข้างนางมาตั้งแต่สมัยยังเด็กแล้ว
ไม่มีวันไหนเลยที่จะมีความสุข นางต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เสมอ
“หนู่ปี้เองก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอเพียงคุณหนูไม่เป็นไร ป๋ายจื่อก็รู้สึกดีใจยิ่งกว่าอะไรทั้งปวงอีกเจ้าค่ะ”
แม้จะรู้สึกหวาดผวา แต่เมื่ออยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยา นางกลับส่งยิ้มอ่อนหวานกลับมาให้
ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนั้นไม่ส่งผลอะไรกับนางเลยแม้แต่น้อย
“ดีแล้ว เช่นนั้นข้าก็สบายใจ ขนมกล่องนั้นข้าค่อยซื้อให้เจ้าใหม่ทีหลัง”
ถือว่าสบายใจเรื่องป๋ายจื่อได้แล้ว บางครั้งนางก็แอบอิจฉาอุปนิสัยของป๋ายจื่อเหลือเกิน
ขอเพียงมีอาหารมีเครื่องดื่ม นางก็สามารถลืมเลือนเรื่องเลวร้ายและไม่เก็บมาใส่ใจอีกได้
ไม่นานรถม้าก็แล่นเข้าสู่ตัวเมือง หลินขุ๋ยอยากรีบพาหลินเมิ้งหยาไปส่งที่จวนให้เร็วที่สุด
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกใครบางคนขวางทาง
…
ขณะนี้จวนอวี้กำลังตกอยู่ในความโกลาหล
ภายในตำหนักหยาเสวียน สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยเปี่ยมไปด้วยความเสียใจ
หากมิใช่เพราะนางตั้งใจพาหลินเมิ้งหยาไปไหว้พระแล้วละก็ เด็กคนนั้นคงไม่หายตัวไป
ตอนนี้ไร้ซึ่งข่าวคราวใดๆ แล้วแบบนี้นางจะตอบอวี้เอ๋อร์อย่างไร?
“เหนียงเหนียง ตอนนี้องครักษ์ในจวนกำลังออกค้นหา จะต้องหาตัวพระชายาเจออย่างแน่นอนเพคะ อย่าได้ร้อนใจไปเลย”
จิ่นเยว่ปลอบโยนพระสนมเต๋อเฟย หลินเมิ้งหยาหายตัวไป อันที่จริงนางเองก็ร้อนใจไม่น้อย
“ข้าผิดเอง ข้าผิดเอง หากข้าไม่พานางไปที่วัด เกรงว่าคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
ช่วงเวลาที่ผ่านมา นางเห็นความดีความชอบของหลินเมิ้งหยาทั้งหมด
หากมิใช่เพราะหลินเมิ้งหยาจริงใจกับนาง แล้วเด็กคนนั้นจะเข้ามาพูดคุยและคอยปรนนิบัติรับใช้นางทุกวันทำไม
นางมีอวี้เอ๋อร์เป็นลูกชายเพียงคนเดียว แม้เหล่าองค์ชายองค์หญิงในวังจะเคารพนับถือนาง แต่ถึงกระนั้นก็หาได้จริงใจกับนางไม่
ส่วนเจียงหรูฉินที่นางรักและเอ็นดูก็เป็นเพียงเด็กเอาแต่ใจ ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงกลายเป็นคนสำคัญ
“มิใช่อย่างนั้นหรอกเพคะเหนียงเหนียง อย่าได้เอ่ยเช่นนั้นเลย พระชายาเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา หนู่ปี้เชื่อว่าพระชายาจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ”
ยังไม่ทันที่พระสนมเต๋อเฟยจะได้เอ่ยตอบ จิ้งเยว่เดินเข้ามาภายในตำหนักหยาเสวียนด้วยสีหน้าอึดอัดใจ
“เหนียงเหนียง ฮูหยินหลินขอเข้าเฝ้าเพคะ”
คิ้วของพระสนมเต๋อเฟยเลิกสูงขึ้น คนผู้นี้มักเป็นคนทำดีหวังผล เกรงว่าการมาในคราวนี้จะต้องมีแผนการอะไรแอบแฝงอย่างแน่นอน
“เข้ามาได้”
พระสนมเต๋อเฟยสบตากับจิ่นเยว่ พยายามสะกดกลั้นความหนักใจของตนเองเอาไว้
พาลูกสาวของตนเองเดินผ่านธรณีประตูตำหนักหยาเสวียนเข้ามา สีหน้าของซ่างกวนฉิงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดระคนอับอาย
เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระสนมเต๋อเฟย ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร หยาดน้ำตาพลันรินไหล ร่างกายทรุดลงกับพื้น
“พระสนมเต๋อเฟยได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันสั่งสอนลูกสาวไม่ดีเอง หยาเอ๋อร์จึงก่อเรื่องน่าอับอายเช่นนี้”
ทั้งสองก้มศีรษะต่ำพลางร้องไห้ตำหนิตัวเองไม่หยุดปาก ราวกับว่าเกิดเรื่องใหญ่หลวงขึ้น
บรรยากาศภายในตำหนักแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย คิ้วของพระสนมเต๋อเฟยขมวดเข้าหากันแน่น
ตกลง…มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“ฮูหยินหลินไม่ต้องมากพิธี มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นขอให้รีบแจ้งออกมา”
แต่ไหนแต่ไรมาพระสนมเต๋อเฟยมิเคยมองพวกนางสองแม่ลูกในแง่ดี
ตอนนี้ยังเข้ามาก่อความวุ่นวายในขณะที่นางกำลังกระวนกระวาย ดังนั้นเสียงของพระสนมเต๋อเฟยจึงเย็นเฉียบ
สาวใช้สองคนเข้ามาพยุงร่างของซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่
ซ่างกวนฉิงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา สีหน้ายังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกอับอาย ก่อนจะเอ่ยตำหนิตัวเองออกมา
“เรื่องนี้ต้องโทษลูกสาวไม่รักดีของหม่อมฉัน ตอนยังอาศัยอยู่ที่จวน นางแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายแปลกประหลาดคนหนึ่ง หม่อมฉันขังนางไว้ในบ้านเพื่ออนาคตที่ดีของนาง แต่ใครจะรู้เล่าว่านางไม่เพียงไม่รู้สึกผิด แต่ยัง…ยังก่อเรื่องน่าอับอายขายหน้าเช่นนี้ได้ หม่อม…หม่อมฉันอยากตายเหลือเกินเพคะ”
คำพูดของซ่างกวนฉิงทำให้ทุกคนตกตะลึง
พระสนมเต๋อเฟยและจิ่นเยว่ล้วนแสดงสีหน้าตกใจ
มันจะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร?
หรือว่าพระชายามิได้หายตัวไป แต่ถูกใครบางคนลักพาตัวไป
หรือ…หรือว่าหนีตามกันไป?
สวรรค์โปรด เรื่องนี้จะปล่อยให้ถูกแพร่งพรายออกไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!