“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? ใส่ร้ายพระชายาจะต้องได้รับโทษ!”
สายตามิถึงพอใจของจื่นเยว่ทำให้ร่างของหลินเมิ้งหวู่สั่นเทิ้ม แต่ซ่างกวนฉิงผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างมากมาย ดังนั้นนางจึงเห็นจิ่นเยว่เป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น
ต่อให้ใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยจะเผยให้เห็นถึงความโกรธเกรี้ยว แต่นางก็ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
“สิ่งที่หม่อมฉันพูดล้วนเป็นความจริงทุกประการเพคะ คนภายนอกล้วนไม่รู้เรื่องภายใน พวกเขากล่าวหาว่าหม่อมฉันอิจฉาฮูหยินคนก่อนของท่านโหว ดังนั้นจึงขังหยาเอ๋อร์เอาไว้ในเรือน ทว่ามีเพียงหม่อมฉันคนเดียวเท่านั้นที่รู้ดี หากมิใช่เพื่อปกป้องชื่อเสียงของจวน แล้วเหตุใดหม่อมฉันจะต้องยอมเสียชื่อเสียงด้วยล่ะเพคะ”
ทั้งน้ำเสียงและหยาดน้ำตาล้วนเสแสร้ง หากหลินเมิ้งหยาได้เห็นเข้าคงปรบมือให้
บางทีนางอาจจะยกเก้าอี้และชามาจิบเพื่อดูละครตรงหน้าเลยก็เป็นได้
แม้พระสนมเต๋อเฟยจะไม่เชื่อ แต่เพราะบริเวณรอบๆ มีเพียงสาวใช้ อีกทั้งพระชายายังหายตัวไปจริงๆ
ดังนั้นพระสนมเต๋อเฟยจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัด
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงเกียรติยศของจวนอวี้ ดังนั้นรอหยาเอ๋อร์กลับมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามิทรงเชื่อคำพูดของสองแม่ลูก
ใบหน้างดงามของพระสนมเต๋อเฟยเผยให้เห็นเพียงความเย็นชา
หลินเมิ้งหยาหาใช่คนที่จะหนีตามผู้ชายไปไม่ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไรฮูหยินหลินก็ไม่มีทางร้องห่มร้องไห้เช่นนี้อย่างแน่นอน
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเกียรติยศศักดิ์ศรีของวังหลวง จะนำมาเป็นเรื่องเล่นมิได้
“เฮ้อ ช่างน่าเสียดาย นับตั้งแต่หยาเอ๋อร์แต่งงานเข้ามา ทั้งพระสนมและเหล่าข้าทาสล้วนดีต่อนางเหลือเกิน หม่อมฉันไม่มีหน้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วเพคะ หากเจอตัวหยาเอ๋อร์แล้วละก็ วันพรุ่งหม่อมฉันจะพาหวู่เอ๋อร์กลับจวนแล้วเพคะ”
ซ่างกวนฉิงเช็ดน้ำตาอีกครั้ง เพิ่งรู้สึกตัวว่าการแสดงของนางมิเป็นผลเลยแม้แต่น้อย
นางชำเลืองมองใบหน้าเคร่งขรึมของพระสนมเต๋อเฟย ท่านพี่เคยพูดเอาไว้ว่าพระสนมเต๋อเฟยผู้นี้เป็นชื่อเสียงและมองเรื่องหน้าตาเป็นสำคัญ ดังนั้นสิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือเรื่องขายหน้าพรรค์นี้
แต่เหตุใดคำพูดของนางในเวลานี้จึงดูเหมือนกำลังปกป้องหลินเมิ้งหยา?
หรือนังแพศยาคนนั้นจะทำให้พระสนมเต๋อเฟยยอมรับได้แล้ว?
เหมือนกับแม่ที่กลายเป็นสัมภเวสีของนางไปแล้วไม่มีผิด เกิดมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นแต่เพียงเท่านั้น
“ตอนนี้ทั้งหยาเอ๋อร์และอวี้เอ๋อร์ล้วนไม่อยู่จวน แม้พวกเราจะคาดเดาสิ่งใดไปก็อาจจะมิใช่เรื่องจริง เจ้าเป็นแม่เลี้ยงของหยาเอ๋อร์ ซ้ำยังเป็นฮูหยินของเจิ้นหนานโหว หากยังไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งด่วนพูดออกมาเลย”
สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยยิ่งไม่น่ามอง
นางไม่เคยรู้ว่าการมีลูกเลี้ยงนั้นเป็นเช่นไร แต่พวกนางล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ทว่าแม่เลี้ยงกลับพูดจาว่าร้ายลูกเลี้ยงเสียๆ หายๆ
ความเกลียดชังที่มีต่อซ่างกวนฉิงยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“หม่อมฉันด่วนตัดสินใจไปเองเพคะ เฮ้อ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาหยาเอ๋อร์เจอหรือไม่”
ซ่างกวนฉิงรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ยังเอ่ยประโยคคำถามลอยๆ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นแผนการของนางเอง
มาหาพระสนมเต๋อเฟย ใส่ร้ายหลินเมิ้งหยา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกลอุบายที่ฮองเฮาคิดเอาไว้
แต่ดูเหมือนผลลัพธ์จะไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิด
แต่ถึงอย่างนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ ขอเพียงหลินเมิ้งหยาไม่กลับบ้านทั้งคืน เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้พระสนมเต๋อเฟยจะไม่ว่ากล่าว แต่ท่านอ๋องอวี้จะต้องทรงกริ้วอย่างแน่นอน
เกรงว่านังเด็กคนนั้นจะไม่อาจแบกหน้าอยู่ที่จวนแห่งนี้ได้อีกต่อไป
“พระชายากลับมาแล้ว! พระชายากลับมาแล้ว! เหนียงเหนียง พระชายากลับมาแล้วเพคะ!”
จู่ๆ เสียงร้องด้วยความดีใจพลันดังขึ้น ทุกคนล้วนหันกลับไปมองทางด้านนอก
ได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราและพาสาวใช้นามป๋ายจื่อเดินเข้ามาจากทางด้านนอก
“หยาเอ๋อร์ถวายคำนับหมู่เฟย หมู่เฟยได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ใบหน้าของซ่างกวนฉิงเจือไว้ซึ่งความรู้สึกสะใจ
นางเปลี่ยนแม้กระทั่งเสื้อผ้า อีกทั้งยังกลับมาดึกมากขนาดนี้ จะมีใครเชื่อบ้างว่านางมิได้ตามผู้ชายไป?
“หยาเอ๋อร์ เจ้าหายไปไหนมา? มิรู้หรือว่าคนในจวนเป็นห่วงเจ้ามากขนาดไหน?”
เมื่อได้เห็นการแต่งตัวของหลินเมิ้งหยา นัยน์ตาของพระสนมเต๋อเฟยเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
แม้ว่าจะไม่ได้ไปพบปะกับใครเป็นการส่วนตัว แต่อาจมีคนใช้ข้ออ้างนี้ใส่ร้ายป้ายสีหลินเมิ้งหยาว่านางมีชู้ได้
จะทำเช่นไรดีนะ? หากอวี้เอ๋ฮร์เข้าใจผิดคงมิวายเกิดเรื่องใหญ่โตอย่างแน่นอน
“วันนี้พี่สะใภ้สามก็ได้รับความสนใจอีกแล้ว เฮ้อ แม้แต่ข้าที่เป็นน้องชายยังอดที่จะอิจฉาไม่ได้ หมู่เฟยจะต้องเอ็นดูกระหม่อมให้มากๆ หน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของหลงชิงหานดังไล่หลังตามมา
ในมือถือพัด ใบหน้าแสดงความเสียใจ
“เจ้านี่หนา! พี่สามของเจ้ายังเอ็นดูเจ้าไม่พออีกหรือ? หลายวันมานี้เจ้ามัวไปเที่ยวเล่นที่ใดกัน?”
มองดูหลงชิงหาน สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยผ่อนคลายมากขึ้น
นางเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กคนนี้มาตั้งแต่เขายังแบเบาะ เขาต่างจากอวี้เอ๋อร์ ชิงหานมักจะมีนิสัยขี้อ้อนประจบประแจง
ดังนั้นนางจึงเอ็นดูเขามาก
“ถวายคำนับหมู่เฟย ก่อนหน้านี้หานเอ๋อร์ออกไปเที่ยวเล่นค่อนข้างไกล ตอนแรกคิดอยากทำให้พี่สะใภ้สามประหลาดใจ ดังนั้นจึงเตรียมของขวัญวันแต่งงานเอาไว้ให้ แต่ใครจะรู้เล่าว่าพี่สามจะรักพี่สะใภ้สามมากขนาดนี้ แม้แต่กระหม่อมเองยังอดที่จะอิจฉาไม่ได้”
หลงชิงหานเอ่ยทิ้งท้ายให้ผู้ฟังสนใจใคร่รู้แต่กลับไม่พูดต่อ ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางของเขาน่ารักยิ่งกว่าหลงเทียนอวี้มาก
เขาถวายคำนับ ก่อนจะนั่งลงข้างกายพระสนมเต๋อเฟยด้วยใบหน้าขี้เล่นแต่ว่านอนสอนง่าย
“เอ๋? เกิดอะไรขึ้นกันเล่า?”
นางจ้องมองลูกชายด้วยความรักใคร่ หัวใจของพระสนมเต๋อเฟยพลันสงบลง
ชิงหานและหยาเอ๋อร์กลับมาพร้อมกัน ดังนั้นข่าวลือเสียๆ หายๆ ก็จะไม่เป็นจริงอีกต่อไป
“โอ้ ทางซีฟานมาเยือนเมืองหลวงของพวกเราและได้มอบกระโปรงผ้าไหมปักดิ้นทองลายคางคกให้กับพี่สาม ตอนแรกกระหม่อมคิดจะอุบเอาไว้แล้วเอาไปให้คนที่กระหม่อมชอบ แต่ใครจะรู้เล่าว่าพี่สามจะเก็บเอาไว้เสียเอง อีกทั้งยังนำมันมามอบให้พี่สะใภ้สาม เฮ้อ ดูท่าน้องชายอย่างกระหม่อมจะถูกลืมเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลงชิงหานพูดพลางเบะปากไม่พอใจไปทางหลินเมิ้งหยา
ขณะเดียวกันหลินเมิ้งหยาก้มศีรษะต่ำพลางแสดงท่าทีขวยเขินเพื่อให้ความร่วมมือกับเขา
ตอนนี้บรรยากาศพลันอบอวลไปด้วยความรักหวานซึ้ง
ใครจะรู้เล่าว่าท่านอ๋องผู้มีใบหน้าเย็นชาเสมอจะคิดถึงคะนึงหาพระชายาของตนเองเช่นนี้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หากองค์ชายหกไม่รังเกียจแล้วละก็ หม่อมฉันให้ยืมก็ได้นะเพคะ”
นางเงยหน้า มุมปากหยักยิ้มอ่อนหวาน
ราวกับต้องการจะบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่าทุกห้องหัวใจของหลงเทียนอวี้มีแต่นางเพียงผู้เดียว
“เฮ้อ ข้าคงมิบังอาจ หากพี่สามรู้เข้าละก็ ข้าจะต้องถูกถลกหนังอย่างแน่นอน!”
ศีรษะของหลงชิงหานส่ายไปมาเหมือนของเล่นป๋องแป๋ง
พระสนมเต๋อเฟยพอจะเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
อวี้เอ๋อร์ได้รับชุดกระโปรงมา ดังนั้นจึงรีบร้อนนำมาให้หยาเอ๋อร์
แต่…หยาเอ๋อร์ไปวัดกับนาง
บางทีอาจเพราะถูกอวี้เอ๋อร์มารับไป ดังนั้นจึงกลับมาผิดเวลา
ยังดี แม้หัวใจเกือบจะหยุดเต้นแล้วก็ตาม
“พี่ชายของเจ้าจะถลกหนังเจ้าได้อย่างไร? ซนจริงๆ เลย แล้วเหตุใดเจ้าจึงกลับมาพร้อมกับพี่สะใภ้สามของเจ้าได้เล่า?”
พระสนมเต๋อเฟยพอจะเดาได้แล้ว
แต่ถึงกระนั้นยังต้องพูดให้ชัดเจน นางไม่อยากให้หลินเมิ้งหยาต้องเสียหาย
“เฮ้อ พี่สามนั่นแหละที่เป็นคนใช้กระหม่อม หมู่เฟยจะต้องสงสารกระหม่อมมากๆ นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องเดินทางจากอี้จ้านไปที่วัด ก่อนจะพาพี่สะใภ้ออกจากวัดไปส่งที่อี้จ้าน ไปๆ กลับๆ เช่นนี้อยู่หลายรอบ กระหม่อมเดินทางจนขาแทบขาดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลงชิงหาน ทุกคนเข้าใจต้นสายปลายเหตุในที่สุด
อาจอธิบายได้ว่าท่านอ๋องอวี้รักพระชายามาก
หลินเมิ้งหยาทำเพียงยิ้มไม่พูดอะไร นางมอบหมายหน้าที่ในการอธิบายให้หลงชิงหานทั้งหมด
ทว่า หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ผ่านไป ข่าวลือเรื่องราวความรักที่ท่านอ๋องมีให้กับพระชายาต่างถูกแพร่สะพรัดราวกับสายลม
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ ข้าว่าแล้วเชียว หยาเอ๋อร์เป็นเด็กน่ารักจะทำเรื่องอัปยศเช่นนั้นได้อย่างไร ฮูหยินหลิน ตอนนี้ดึกมาแล้ว ข้าเองก็ควรพักผ่อน หยาเอ๋อร์ หานเอ๋อร์ พวกเจ้าอยู่รอก่อน”
“เพคะ หมู่เฟย”
สีหน้าของซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่ไม่น่ามอง
หากหลินเมิ้งหยาไม่กลับบ้านทั้งคืน ข่าวลือเสียๆ หายๆ คงถูกแพร่กระจายไปทั่ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายท่านอ๋องอวี้จะเป็นคนช่วยนางเอาไว้
ทั้งสองแม่ลูกไม่อาจแบกหน้าอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงพากันออกจากตำหนักหยาเสวียน
“พวกเจ้านี่หนา หากคราวหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกก็ควรส่งคนมาบอกข้าก่อนจะได้รับมือถูก จวนแห่งนี้ทำคนตกม้าตายมานักต่อนัก หากข่าวลือเสียๆ หายๆ ถูกแพร่ออกไปคงมิเป็นการดี”
หลินเมิ้งหยานั่งลงข้างกายพระสนมเต๋อเฟยด้วยท่าทางว่านอนสอนง่าย ส่งยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร
“แม่เลี้ยงของเจ้า…หยาเอ๋อร์ ปัญหาเช่นนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ต่อจากนี้ไปเจ้าต้องตั้งสติให้ดี ห้ามให้ใครหาโอกาสใดๆ ได้อีก”
พระสนมเต๋อเฟยชอบใจเลยที่ซ่างกวนฉิงและฮองเฮาร่วมมือกันเช่นนี้
กอปรกับข่าวลือหนาหูที่ด้านนอกนั้นอีก หยาเอ๋อร์คงลำบากไม่น้อยที่มีแม่เลี้ยงเช่นนี้
“หยาเอ๋อร์เข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันทำให้หมู่เฟยต้องเป็นกังวลแล้ว”
คิดไม่ถึงเลยว่าขณะที่นางถูกลักพาตัวไป ซ่างกวนฉิงจะหาข้ออ้างมาใส่ร้ายป้ายสีนางเช่นนี้
แอบไตร่ตรองอยู่ในใจ เกรงว่าเรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในบางอย่างอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ข้าเองก็เหนื่อยแล้วจริงๆ พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด จิ่นเยว่ นำเงินหนึ่งพันตำลึงให้หานเอ๋อร์เป็นรางวัลตอบแทนที่พาหย๋าเอ๋อร์กลับมา”
หลงชิงหานหยักยิ้มประหนึ่งจิ้งจอกตัวน้อย หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจ
ทั้งเสื้อผ้าหรือแม้แต่เครื่องประดับล้วนเป็นของมีราคา
แต่เหตุใดเขาจึงยิ้มเสมือนหมากระดิกหางเพียงเพราะได้เงินหนึ่งพันตำลึงเช่นนี้?
ทั้งสองเดินนำหน้าและตามหลังกันออกจากตำหนักหยาเสวียน
จนกระทั่งกลับมายังตำหนักหลิวซิน หลินเมิ้งหยาจึงหุบยิ้ม
ฉีกยิ้มว่าเหนื่อยแล้ว ยิ่งยิ้มอ่อนหวานก็ยิ่งเหนื่อย!
แต่เพราะเหตุใดหลงชิงหานจึงหาตัวนางเจอตอนเดินทางกลับได้เพียงครึ่งทางกัน?
“นายหญิง! ท่านกลับมาแล้ว!”
เพียงเปิดประตูตำหนักออก ทั้งสาวใช้และหลินจงอวี้ต่างพากันพุ่งตัวเข้ามา
ผอจื่อที่มีความจริงใจกับหลินเมิ้งหยา ภายในบริเวณตำหนักเองก็ส่งยิ้มดีใจขณะมองทางหลินเมิ้งหยา
ว่ากันว่าเพื่อนแท้มักเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยในยามยาก นางเคยระแวดระวังผอจื่อเหล่านี้มาก่อน
แต่พอมาถึงวันนี้ถือว่าบางส่วนยังพอจะเชื่อใจได้บ้าง
“ข้าไม่เป็นอะไรเสียหน่อย พวกเจ้าอย่าได้เสียใจหรือร้อนใจไปเลย”
นางถูกหลินจงอวี้และสาวใช้พยุงกลับตำหนัก
ป๋าจื่อถูกจับนั่งลงบนเก้าอี้ เด็กน้อยที่ไม่มีเรื่องให้หนักใจก้มหน้าก้มตากินขนมและน้ำชาที่ถูกตระเตรียมเอาไว้ให้
“นายหญิง ตกลงเกิดเรื่องอะไรที่วัดกันแน่เจ้าคะ? เหตุใดพวกท่าน?”
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าพวกเขากำลังเป็นห่วง ทุกคนที่นี่ล้วนถามไถ่เพราะความสงสัย
ทว่าตอนนี้หาใช่เวลาตอบคำถามไม่