เล่มที่ 3 บทที่ 79 จงรับโทษกับคำโป้ปด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? ใส่ร้ายพระชายาจะต้องได้รับโทษ!”

    สายตามิถึงพอใจของจื่นเยว่ทำให้ร่างของหลินเมิ้งหวู่สั่นเทิ้ม แต่ซ่างกวนฉิงผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างมากมาย ดังนั้นนางจึงเห็นจิ่นเยว่เป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น

    ต่อให้ใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยจะเผยให้เห็นถึงความโกรธเกรี้ยว แต่นางก็ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย

    “สิ่งที่หม่อมฉันพูดล้วนเป็นความจริงทุกประการเพคะ คนภายนอกล้วนไม่รู้เรื่องภายใน พวกเขากล่าวหาว่าหม่อมฉันอิจฉาฮูหยินคนก่อนของท่านโหว ดังนั้นจึงขังหยาเอ๋อร์เอาไว้ในเรือน ทว่ามีเพียงหม่อมฉันคนเดียวเท่านั้นที่รู้ดี หากมิใช่เพื่อปกป้องชื่อเสียงของจวน แล้วเหตุใดหม่อมฉันจะต้องยอมเสียชื่อเสียงด้วยล่ะเพคะ”

    ทั้งน้ำเสียงและหยาดน้ำตาล้วนเสแสร้ง หากหลินเมิ้งหยาได้เห็นเข้าคงปรบมือให้

    บางทีนางอาจจะยกเก้าอี้และชามาจิบเพื่อดูละครตรงหน้าเลยก็เป็นได้

    แม้พระสนมเต๋อเฟยจะไม่เชื่อ แต่เพราะบริเวณรอบๆ มีเพียงสาวใช้ อีกทั้งพระชายายังหายตัวไปจริงๆ

    ดังนั้นพระสนมเต๋อเฟยจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัด

    “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงเกียรติยศของจวนอวี้ ดังนั้นรอหยาเอ๋อร์กลับมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”

    แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามิทรงเชื่อคำพูดของสองแม่ลูก

    ใบหน้างดงามของพระสนมเต๋อเฟยเผยให้เห็นเพียงความเย็นชา

    หลินเมิ้งหยาหาใช่คนที่จะหนีตามผู้ชายไปไม่ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไรฮูหยินหลินก็ไม่มีทางร้องห่มร้องไห้เช่นนี้อย่างแน่นอน

    เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเกียรติยศศักดิ์ศรีของวังหลวง จะนำมาเป็นเรื่องเล่นมิได้

    “เฮ้อ ช่างน่าเสียดาย นับตั้งแต่หยาเอ๋อร์แต่งงานเข้ามา ทั้งพระสนมและเหล่าข้าทาสล้วนดีต่อนางเหลือเกิน หม่อมฉันไม่มีหน้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วเพคะ หากเจอตัวหยาเอ๋อร์แล้วละก็ วันพรุ่งหม่อมฉันจะพาหวู่เอ๋อร์กลับจวนแล้วเพคะ”

    ซ่างกวนฉิงเช็ดน้ำตาอีกครั้ง เพิ่งรู้สึกตัวว่าการแสดงของนางมิเป็นผลเลยแม้แต่น้อย

    นางชำเลืองมองใบหน้าเคร่งขรึมของพระสนมเต๋อเฟย ท่านพี่เคยพูดเอาไว้ว่าพระสนมเต๋อเฟยผู้นี้เป็นชื่อเสียงและมองเรื่องหน้าตาเป็นสำคัญ ดังนั้นสิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือเรื่องขายหน้าพรรค์นี้

    แต่เหตุใดคำพูดของนางในเวลานี้จึงดูเหมือนกำลังปกป้องหลินเมิ้งหยา?

    หรือนังแพศยาคนนั้นจะทำให้พระสนมเต๋อเฟยยอมรับได้แล้ว?

    เหมือนกับแม่ที่กลายเป็นสัมภเวสีของนางไปแล้วไม่มีผิด เกิดมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นแต่เพียงเท่านั้น

    “ตอนนี้ทั้งหยาเอ๋อร์และอวี้เอ๋อร์ล้วนไม่อยู่จวน แม้พวกเราจะคาดเดาสิ่งใดไปก็อาจจะมิใช่เรื่องจริง เจ้าเป็นแม่เลี้ยงของหยาเอ๋อร์ ซ้ำยังเป็นฮูหยินของเจิ้นหนานโหว หากยังไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งด่วนพูดออกมาเลย”

    สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยยิ่งไม่น่ามอง

    นางไม่เคยรู้ว่าการมีลูกเลี้ยงนั้นเป็นเช่นไร แต่พวกนางล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ทว่าแม่เลี้ยงกลับพูดจาว่าร้ายลูกเลี้ยงเสียๆ หายๆ

    ความเกลียดชังที่มีต่อซ่างกวนฉิงยิ่งเพิ่มมากขึ้น

    “หม่อมฉันด่วนตัดสินใจไปเองเพคะ เฮ้อ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาหยาเอ๋อร์เจอหรือไม่”

    ซ่างกวนฉิงรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ยังเอ่ยประโยคคำถามลอยๆ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นแผนการของนางเอง

    มาหาพระสนมเต๋อเฟย ใส่ร้ายหลินเมิ้งหยา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกลอุบายที่ฮองเฮาคิดเอาไว้

    แต่ดูเหมือนผลลัพธ์จะไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิด

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ ขอเพียงหลินเมิ้งหยาไม่กลับบ้านทั้งคืน เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้พระสนมเต๋อเฟยจะไม่ว่ากล่าว แต่ท่านอ๋องอวี้จะต้องทรงกริ้วอย่างแน่นอน

    เกรงว่านังเด็กคนนั้นจะไม่อาจแบกหน้าอยู่ที่จวนแห่งนี้ได้อีกต่อไป

    “พระชายากลับมาแล้ว! พระชายากลับมาแล้ว! เหนียงเหนียง พระชายากลับมาแล้วเพคะ!”

    จู่ๆ เสียงร้องด้วยความดีใจพลันดังขึ้น ทุกคนล้วนหันกลับไปมองทางด้านนอก

    ได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราและพาสาวใช้นามป๋ายจื่อเดินเข้ามาจากทางด้านนอก

    “หยาเอ๋อร์ถวายคำนับหมู่เฟย หมู่เฟยได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วยเพคะ”

    ใบหน้าของซ่างกวนฉิงเจือไว้ซึ่งความรู้สึกสะใจ

    นางเปลี่ยนแม้กระทั่งเสื้อผ้า อีกทั้งยังกลับมาดึกมากขนาดนี้ จะมีใครเชื่อบ้างว่านางมิได้ตามผู้ชายไป?

    “หยาเอ๋อร์ เจ้าหายไปไหนมา? มิรู้หรือว่าคนในจวนเป็นห่วงเจ้ามากขนาดไหน?”

    เมื่อได้เห็นการแต่งตัวของหลินเมิ้งหยา นัยน์ตาของพระสนมเต๋อเฟยเคร่งขรึมลงเล็กน้อย

    แม้ว่าจะไม่ได้ไปพบปะกับใครเป็นการส่วนตัว แต่อาจมีคนใช้ข้ออ้างนี้ใส่ร้ายป้ายสีหลินเมิ้งหยาว่านางมีชู้ได้

    จะทำเช่นไรดีนะ? หากอวี้เอ๋ฮร์เข้าใจผิดคงมิวายเกิดเรื่องใหญ่โตอย่างแน่นอน

    “วันนี้พี่สะใภ้สามก็ได้รับความสนใจอีกแล้ว เฮ้อ แม้แต่ข้าที่เป็นน้องชายยังอดที่จะอิจฉาไม่ได้ หมู่เฟยจะต้องเอ็นดูกระหม่อมให้มากๆ หน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”

    เสียงของหลงชิงหานดังไล่หลังตามมา

    ในมือถือพัด ใบหน้าแสดงความเสียใจ

    “เจ้านี่หนา! พี่สามของเจ้ายังเอ็นดูเจ้าไม่พออีกหรือ? หลายวันมานี้เจ้ามัวไปเที่ยวเล่นที่ใดกัน?”

    มองดูหลงชิงหาน สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยผ่อนคลายมากขึ้น

    นางเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กคนนี้มาตั้งแต่เขายังแบเบาะ เขาต่างจากอวี้เอ๋อร์ ชิงหานมักจะมีนิสัยขี้อ้อนประจบประแจง

    ดังนั้นนางจึงเอ็นดูเขามาก

    “ถวายคำนับหมู่เฟย ก่อนหน้านี้หานเอ๋อร์ออกไปเที่ยวเล่นค่อนข้างไกล ตอนแรกคิดอยากทำให้พี่สะใภ้สามประหลาดใจ ดังนั้นจึงเตรียมของขวัญวันแต่งงานเอาไว้ให้ แต่ใครจะรู้เล่าว่าพี่สามจะรักพี่สะใภ้สามมากขนาดนี้ แม้แต่กระหม่อมเองยังอดที่จะอิจฉาไม่ได้”

    หลงชิงหานเอ่ยทิ้งท้ายให้ผู้ฟังสนใจใคร่รู้แต่กลับไม่พูดต่อ ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางของเขาน่ารักยิ่งกว่าหลงเทียนอวี้มาก

    เขาถวายคำนับ ก่อนจะนั่งลงข้างกายพระสนมเต๋อเฟยด้วยใบหน้าขี้เล่นแต่ว่านอนสอนง่าย

    “เอ๋? เกิดอะไรขึ้นกันเล่า?”

    นางจ้องมองลูกชายด้วยความรักใคร่ หัวใจของพระสนมเต๋อเฟยพลันสงบลง

    ชิงหานและหยาเอ๋อร์กลับมาพร้อมกัน ดังนั้นข่าวลือเสียๆ หายๆ ก็จะไม่เป็นจริงอีกต่อไป

    “โอ้ ทางซีฟานมาเยือนเมืองหลวงของพวกเราและได้มอบกระโปรงผ้าไหมปักดิ้นทองลายคางคกให้กับพี่สาม ตอนแรกกระหม่อมคิดจะอุบเอาไว้แล้วเอาไปให้คนที่กระหม่อมชอบ แต่ใครจะรู้เล่าว่าพี่สามจะเก็บเอาไว้เสียเอง อีกทั้งยังนำมันมามอบให้พี่สะใภ้สาม เฮ้อ ดูท่าน้องชายอย่างกระหม่อมจะถูกลืมเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

    หลงชิงหานพูดพลางเบะปากไม่พอใจไปทางหลินเมิ้งหยา

    ขณะเดียวกันหลินเมิ้งหยาก้มศีรษะต่ำพลางแสดงท่าทีขวยเขินเพื่อให้ความร่วมมือกับเขา

    ตอนนี้บรรยากาศพลันอบอวลไปด้วยความรักหวานซึ้ง

    ใครจะรู้เล่าว่าท่านอ๋องผู้มีใบหน้าเย็นชาเสมอจะคิดถึงคะนึงหาพระชายาของตนเองเช่นนี้

    “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หากองค์ชายหกไม่รังเกียจแล้วละก็ หม่อมฉันให้ยืมก็ได้นะเพคะ”

    นางเงยหน้า มุมปากหยักยิ้มอ่อนหวาน

    ราวกับต้องการจะบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่าทุกห้องหัวใจของหลงเทียนอวี้มีแต่นางเพียงผู้เดียว

    “เฮ้อ ข้าคงมิบังอาจ หากพี่สามรู้เข้าละก็ ข้าจะต้องถูกถลกหนังอย่างแน่นอน!”

    ศีรษะของหลงชิงหานส่ายไปมาเหมือนของเล่นป๋องแป๋ง

    พระสนมเต๋อเฟยพอจะเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น

    อวี้เอ๋อร์ได้รับชุดกระโปรงมา ดังนั้นจึงรีบร้อนนำมาให้หยาเอ๋อร์

    แต่…หยาเอ๋อร์ไปวัดกับนาง

    บางทีอาจเพราะถูกอวี้เอ๋อร์มารับไป ดังนั้นจึงกลับมาผิดเวลา

    ยังดี แม้หัวใจเกือบจะหยุดเต้นแล้วก็ตาม

    “พี่ชายของเจ้าจะถลกหนังเจ้าได้อย่างไร? ซนจริงๆ เลย แล้วเหตุใดเจ้าจึงกลับมาพร้อมกับพี่สะใภ้สามของเจ้าได้เล่า?”

    พระสนมเต๋อเฟยพอจะเดาได้แล้ว

    แต่ถึงกระนั้นยังต้องพูดให้ชัดเจน นางไม่อยากให้หลินเมิ้งหยาต้องเสียหาย

    “เฮ้อ พี่สามนั่นแหละที่เป็นคนใช้กระหม่อม หมู่เฟยจะต้องสงสารกระหม่อมมากๆ นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องเดินทางจากอี้จ้านไปที่วัด ก่อนจะพาพี่สะใภ้ออกจากวัดไปส่งที่อี้จ้าน ไปๆ กลับๆ เช่นนี้อยู่หลายรอบ กระหม่อมเดินทางจนขาแทบขาดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

    เมื่อได้ยินคำอธิบายของหลงชิงหาน ทุกคนเข้าใจต้นสายปลายเหตุในที่สุด

    อาจอธิบายได้ว่าท่านอ๋องอวี้รักพระชายามาก

    หลินเมิ้งหยาทำเพียงยิ้มไม่พูดอะไร นางมอบหมายหน้าที่ในการอธิบายให้หลงชิงหานทั้งหมด

    ทว่า หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ผ่านไป ข่าวลือเรื่องราวความรักที่ท่านอ๋องมีให้กับพระชายาต่างถูกแพร่สะพรัดราวกับสายลม

    “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ ข้าว่าแล้วเชียว หยาเอ๋อร์เป็นเด็กน่ารักจะทำเรื่องอัปยศเช่นนั้นได้อย่างไร ฮูหยินหลิน ตอนนี้ดึกมาแล้ว ข้าเองก็ควรพักผ่อน หยาเอ๋อร์ หานเอ๋อร์ พวกเจ้าอยู่รอก่อน”

    “เพคะ หมู่เฟย”

    สีหน้าของซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่ไม่น่ามอง

    หากหลินเมิ้งหยาไม่กลับบ้านทั้งคืน ข่าวลือเสียๆ หายๆ คงถูกแพร่กระจายไปทั่ว

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายท่านอ๋องอวี้จะเป็นคนช่วยนางเอาไว้

    ทั้งสองแม่ลูกไม่อาจแบกหน้าอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงพากันออกจากตำหนักหยาเสวียน

    “พวกเจ้านี่หนา หากคราวหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกก็ควรส่งคนมาบอกข้าก่อนจะได้รับมือถูก จวนแห่งนี้ทำคนตกม้าตายมานักต่อนัก หากข่าวลือเสียๆ หายๆ ถูกแพร่ออกไปคงมิเป็นการดี”

    หลินเมิ้งหยานั่งลงข้างกายพระสนมเต๋อเฟยด้วยท่าทางว่านอนสอนง่าย ส่งยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร

    “แม่เลี้ยงของเจ้า…หยาเอ๋อร์ ปัญหาเช่นนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ต่อจากนี้ไปเจ้าต้องตั้งสติให้ดี ห้ามให้ใครหาโอกาสใดๆ ได้อีก”

    พระสนมเต๋อเฟยชอบใจเลยที่ซ่างกวนฉิงและฮองเฮาร่วมมือกันเช่นนี้

    กอปรกับข่าวลือหนาหูที่ด้านนอกนั้นอีก หยาเอ๋อร์คงลำบากไม่น้อยที่มีแม่เลี้ยงเช่นนี้

    “หยาเอ๋อร์เข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันทำให้หมู่เฟยต้องเป็นกังวลแล้ว”

    คิดไม่ถึงเลยว่าขณะที่นางถูกลักพาตัวไป ซ่างกวนฉิงจะหาข้ออ้างมาใส่ร้ายป้ายสีนางเช่นนี้

    แอบไตร่ตรองอยู่ในใจ เกรงว่าเรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในบางอย่างอย่างแน่นอน

    “เอาล่ะ ข้าเองก็เหนื่อยแล้วจริงๆ พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด จิ่นเยว่ นำเงินหนึ่งพันตำลึงให้หานเอ๋อร์เป็นรางวัลตอบแทนที่พาหย๋าเอ๋อร์กลับมา”

    หลงชิงหานหยักยิ้มประหนึ่งจิ้งจอกตัวน้อย หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจ

    ทั้งเสื้อผ้าหรือแม้แต่เครื่องประดับล้วนเป็นของมีราคา

    แต่เหตุใดเขาจึงยิ้มเสมือนหมากระดิกหางเพียงเพราะได้เงินหนึ่งพันตำลึงเช่นนี้?

    ทั้งสองเดินนำหน้าและตามหลังกันออกจากตำหนักหยาเสวียน

    จนกระทั่งกลับมายังตำหนักหลิวซิน หลินเมิ้งหยาจึงหุบยิ้ม

    ฉีกยิ้มว่าเหนื่อยแล้ว ยิ่งยิ้มอ่อนหวานก็ยิ่งเหนื่อย!

    แต่เพราะเหตุใดหลงชิงหานจึงหาตัวนางเจอตอนเดินทางกลับได้เพียงครึ่งทางกัน?

    “นายหญิง! ท่านกลับมาแล้ว!”

    เพียงเปิดประตูตำหนักออก ทั้งสาวใช้และหลินจงอวี้ต่างพากันพุ่งตัวเข้ามา

    ผอจื่อที่มีความจริงใจกับหลินเมิ้งหยา ภายในบริเวณตำหนักเองก็ส่งยิ้มดีใจขณะมองทางหลินเมิ้งหยา

    ว่ากันว่าเพื่อนแท้มักเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยในยามยาก นางเคยระแวดระวังผอจื่อเหล่านี้มาก่อน

    แต่พอมาถึงวันนี้ถือว่าบางส่วนยังพอจะเชื่อใจได้บ้าง

    “ข้าไม่เป็นอะไรเสียหน่อย พวกเจ้าอย่าได้เสียใจหรือร้อนใจไปเลย”

    นางถูกหลินจงอวี้และสาวใช้พยุงกลับตำหนัก

    ป๋าจื่อถูกจับนั่งลงบนเก้าอี้ เด็กน้อยที่ไม่มีเรื่องให้หนักใจก้มหน้าก้มตากินขนมและน้ำชาที่ถูกตระเตรียมเอาไว้ให้

    “นายหญิง ตกลงเกิดเรื่องอะไรที่วัดกันแน่เจ้าคะ? เหตุใดพวกท่าน?”

    หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าพวกเขากำลังเป็นห่วง ทุกคนที่นี่ล้วนถามไถ่เพราะความสงสัย

    ทว่าตอนนี้หาใช่เวลาตอบคำถามไม่