เสียง ‘พรึบ’ดังขึ้น เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงทั่วร่างคล้ายถูกฟ้าผ่า จนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
แม้เธอจะไม่เคยเห็นหมูวิ่ง แต่ก็เคยกินหมูมาก่อน จึงเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
เพราะชายหนุ่มมีเพียงสองขาสองมือ เธอจึงไม่เชื่อว่าชายผู้หนึ่งจะมีมืองอกออกมาอีกอย่างน่าประหลาดใจ หากไม่ใช่มือ เช่นนั้นสิ่งที่อยู่บนระหว่างขาของเธอก็คือ…
มารดามันเถอะ!
องค์ชายเจ็ดที่น่าตายนี้วิปริตจริงเป็นแน่! กลับมีความคิดที่ไม่ควรคิดกับขันทีเช่นเธอ!
ขณะที่เล่อเหยาเหยาตะโกนอยู่ในใจ สายตาที่มองไปที่หนานกงจวิ้นซีนั้นดูฉุนเฉียวหยิ่งนัก
หนานกงจวิ้นซีที่เดิมทีกำลังแปลกใจกับสิ่งผิดปกติบนร่างกาย ค่อยๆ รับรู้ถึงความผิดปกติบนท่อนล่างของตน โดยเฉพาะเมื่อเห็นเล่อเหยาเหยามองเขาด้วยสายตาฉุนเฉียว พลันทำให้เขาตกตะลึง ดวงตาดอกท้อที่งดงามนั้น
พลันปรากฎความอึดอัดออกมา
และตอนนี้ในที่สุดเขาก็นึกได้ว่า เวลานี้ตนยังทับอยู่บนตัว‘เขา’ อีกทั้งด้านล่างตนกลับมีความคิดที่ไม่ควรเกิดขึ้นมา สวรรค์ เขาบ้าไปแล้ว!
หรือเมื่อครู่เขาถูกผีเข้าสิง หรือขันทีด้านล่างหน้าตาน่าหลงใหลเกินไป หรือเพราะเขาอายุสิบเจ็ดและเป็นหนุ่มเต็มตัว นิสัยถึงบิดเบือนไปเช่นนี้!
พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ทำให้ในใจหนานกงจวิ้นซีเกิดความตกตะลึงและแปลกใจขึ้นมา
พลันตกใจจนได้สติกลับมา คิดจะกระโดดออกจากตัวเล่อเหยาเหยา คิดไม่ถึง เวลานั้นกลับมีน้ำเสียงโกรธเกี้ยวดังขึ้นมาจากทางหน้าต่าง สองคนในห้องอาบน้ำที่ได้ยินราวกับถูกฟ้าผ่าเข้าตอนกลางวันแสกๆ จนชะงักงันทันที
“พวกเจ้า กำลังทำอันใดกัน!”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกจนถึงกระดูก คล้ายกับสายลมหนาวในเดือนสิบสองที่พลันพัดผ่านมา ทำให้สั่นเทิ้มไปทั่วร่าง เลือดในกายคล้ายจับตัวเป็นน้ำแข็ง
เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้น สีหน้าทั้งสองคนบนพื้นตะลึงงัน ก่อนจะมองไปยังที่มาของเสียงนั้นพร้อมกัน
เพราะเป็นหน้าร้อน ดังนั้นหน้าต่างทั้งหมดภายในห้องจึงถูกเปิดออก แม้จะอยู่ในห้องอาบน้ำก็เช่นกัน เวลานี้ด้านนอกหน้าต่างลายสลักที่เปิดไว้บานนั้น มีเงาร่างสูงใหญ่ที่ไม่รู้ว่ามาปรากฎตัวขึ้นตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใด
ท้องฟ้าด้านนอกมืดมิด ไร้ดาวไร้พระจันทร์ ส่วนชายหนุ่มซ่อนกายอยู่ในความมืด ดังนั้นเมื่อครู่หากชายหนุ่มไม่พูดขึ้นมา ก็ไม่มีผู้ใดรับรู้ว่ามีเขาอยู่
สองคนภายในห้องที่มองตามที่มาของเสียงไป เห็นเพียงใต้แสงไข่มุกราตรีในห้องอาบน้ำ แสงสีขาวนวลที่อ่อนโยนสาดส่องออกไปอาบบนร่างกายของชายหนุ่ม
แสงของไข่มุกราตรีอ่อนโยนอย่างยิ่ง แต่กลับทำให้ความโกรธและความเดือดดาลบนตัวชายหนุ่มในเวลานี้อ่อนลงไม่ได้เลย
นั่นมีเพียงคนที่สังหารผู้คนมาหลายปีอย่างโชกโชนถึงจะมีอยู่บนร่างกาย อีกทั้งจากรังสีโหดเหี้ยมที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของชายหนุ่ม ไม่มองยังรู้ว่าเวลานี้ชายหนุ่มโมโหอย่างยิ่ง และผลที่ตามมาต้องรุนแรงแน่นอน!
แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหลิ่งจวิ้นอวี๋ถึงโมโหเช่นนี้ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเขา สองคนบนพื้นที่ตกตะลึงเล็กน้อย ก็รีบลุกขึ้นจากพื้นทันที
หนานกงจวิ้นซีรู้ว่าตนยังไม่ได้สวมเสื้อผ้า จึงเดินเข้าไปในฉากกั้นลมอย่างรวดเร็ว หยิบเสื้อชั้นในที่สะอาดตัวหนึ่งมาสวมอย่างเร่งรีบ
อาจเป็นเพราะรู้ว่าเรื่องหดหู่เมื่อครู่นั้นถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเข้า จึงทำให้หนานกงจวิ้นซีมีสีหน้าหมองคล้ำ ก่อนจะแดงก่ำอย่างอับอาย
เล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้าง หลังจากหนานกงจวิ้นซีลุกขึ้น ก็พลันหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพราะชายหนุ่มผู้นี้หนักยิ่งนัก เมื่อครู่ถูกเขาทับเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง เธอแทบแบนไปทั้งตัว!
ทว่าเล่อเหยาเหยายังไม่ทันได้หายใจ พลันรู้สึกสายตาร้อนแรงที่แฝงด้วยความโหดเหี้ยมกำลังจ้องมาที่ตน เธอหนังศีรษะชาววาบขึ้นทันที
เอ่อ น่าเศร้าจริงๆ!
หรือเธอไม่ถูกโฉลกกับที่นี่ หรือเธอหน้าตาน่ารังแก เมื่อครู่องค์ชายเจ็ดที่ใจแคบเพิ่งรังแกเธอเสร็จ ตอนนี้พญายมก็จ้องเธอด้วยสีหน้าเย็นชาดุจโลงศพอีก
เฮ้อ เมื่อครู่เธอคล้ายไม่ได้ล่วงเกินชายผู้นี้มิใช่หรือ!
อีกทั้งเมื่อครู่คล้ายเขาสั่งให้เธอมาช่วยองค์ชายเจ็ดอาบน้ำ เหตุใดตอนนี้เขากลับมีท่าทางโกรธเคืองอย่างรุนแรงเช่นนี้ สายตาที่โหดเหี้ยมนั้นดูราวกับราชสีห์คลั่งตัวหนึ่ง ทำให้คนที่เห็นใจเต้นตึกตักผิดจังหวะไม่หยุด
เล่อเหยาเหยารู้สึกขลาดกลัวอยู่ในใจเล็กน้อย ดังนั้นหลังจากยืนขึ้นมาก็เห็นชัดว่าต้านทานสายตาทำลายล้างอันแข็งแกร่งของพญายมไม่ได้ ดังนั้นจึงถอยหลังออกมา
ทว่าท่าทางนี้ของเธอ เห็นชัดว่ายิ่งทำให้ชายผู้นั้นโมโหยิ่งขึ้น
เห็นเพียงดวงตาแคบยาวของพญายมหรี่ลงเล็กน้อย ภายในปรากฏประกายเย็นชาเคร่งขรึม คล้ายกับจะถลกหนังเลาะกระดูกเล่อเหยาเหยาออกมาทั้งตัว
เพราะเขาโมโหอย่างยิ่ง อย่างถึงที่สุด!
เมื่อครู่หลังจากตนให้ขันทีน้อยตรงหน้าไปปรนนิบัติศิษย์น้องของตน เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้สึกหงุดหงิดร้อนรนไปทั่วร่างกาย
หลายวันมานี้วิ่งวุ่นจัดการเรื่องต่างๆ นานา อันที่จริงเปลืองแรงเปลืองสมองอย่างยิ่ง เขาเวลานั้นจึงอยากอาบน้ำและหลับพักผ่อน
แต่หลังจากนอนบนลงบนเตียง เขากลับพลิกตัวกลับไปกลับมาตลอด เพียงเพราะคนในห้องด้านข้างเขาไม่กลับมาเสียที
เพียงไปปรนนิบัติอาบน้ำ ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเชียวหรือ!
ยิ่งคิด ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งหงุดหงิด ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นมาจากเตียง ก่อนจะคลุมเสื้อคลุม เดินไปทางตำหนักชิงเซี่ยว
หลังมาถึงตำหนักชิงเซี่ยว มีเพียงขันทีน้อยเฝ้าอยู่ด้านนอก ประตูห้องกลับปิดเอาไว้
สำหรับเรื่องนี้ ทำให้ใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งแย่ลง
ไม่รู้ด้วยอันใดดลใจ จึงทำให้พลันอยากรู้ว่าสองคนในห้องทำอันใดกันแน่ ดังนั้นเขาจึงหลบเลี่ยงขันทีน้อยสองคนตรงหน้าประตูไป ก่อนเดินอ้อมไปทางด้านหลังห้อง
คิดไม่ถึง เมื่อมาถึงหน้าต่าง เห็นภาพภายในห้อง เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้สึกเพียงทั่วร่างราวถูกฟ้าผ่า จนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
เห็นเพียง ภายในห้องที่ปกคลุมด้วยไอน้ำ ควันลอยเป็นระลอกคลื่น ผ้าแพรบางพลิ้วไสว แฝงด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้จางๆ
ส่วนสองคนบนพื้น คนหนึ่งบอบบางจิ้มลิ้ม ทำให้อยากปกป้อง อีกคนเปลือยกายทั้งตัว รูปร่างสมบูรณ์แบบ
สองคนนี้ นอนอยู่บนพื้น คนหนึ่งอยู่ด้านบนคนหนึ่งอยู่ด้านล่าง ภาพที่กำกวมเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกสงสัยยิ่งนัก
กระทั่งเหลิ่งจวิ้นอวี๋เวลานี้ก็ไม่รู้ว่าตนโมโหอันใดกันแน่ แต่ความโกรธในใจของเขากำลังซัดสาดมาที่เขา
หากดวงตาสามารถสังหารคนได้ เล่อเหยาเหยาเวลานี้เกรงว่าคงถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋สังหารเป็นศพไปแล้ว
ดังนั้นภายใต้สายตาสังหารนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกกดดันอย่างมาก จึงก้มหน้าลง เอาแต่มองปลายเท้าตนเองไม่หยุด
เพราะเธอตอนนี้ ไม่รู้ว่าควรพูดอันใดออกมาถึงจะดี
รวมทั้งเรื่องเมื่อครู่น่าอับอายเกินไปจริงๆ!
ทว่าทั้งหมดนี้ต้องโทษองค์ชายเจ็ดที่น่าตายผู้นั้น เมื่อครู่เธอเรียกให้เขาลุกขึ้นชัดๆ เขากลับไม่ลุก ตอนนี้ดียิ่งนัก!ถูกพญายมเห็นเข้าจนได้ ครั้งนี้เธอกระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ไม่อาจลบล้างความผิดได้
ทว่าที่ทำให้เธอแปลกใจสงสัยที่สุดคือ เหตุใดพญายมจึงโมโห!
แม้เมื่อครู่เธอจะมีเรื่องอันใดกับองค์ชายเจ็ดจริง เขาก็ไม่ควรโมโหมิใช่หรือ!
แปลก แปลกเสียจริง!
ถึงแม้เล่อเหยาเหยาจะสงสัยในใจ แต่ทว่าก็คาดเดาความคิดในใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ออก ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงโมโหเช่นนี้
ไม่ใช่แค่เธอ ปัญหานี้ ความจริงเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็อยากรู้ให้ชัดเจนเช่นกัน
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หนานกงจวิ้นซีที่เพิ่งสวมเสื้อผ้าเสร็จจากด้านข้าง กลับดูอึดอัดขึ้นมา
แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่เขารู้จักมาหลายปี แต่เรื่องเมื่อครู่น่าอึดอัดจริง เขาก็ละอายใจไม่รู้จะอธิบายเช่นไร
เมื่ออธิบายไม่ได้ เขาก็ทำเป็นไม่ตอบออกไป
เพียงยื่นมือลูบไปที่ท้ายทอย ก่อนหัวเราะพลางเอ่ยถามเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่พลันปรากฎตัวขึ้นมาว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
ความจริงปัญหานี้ เล่อเหยาเหยาก็แปลกใจมากเช่นกัน
เพราะที่นี่คือตำหนักชิงเซี่ยว แม้จะเป็นสถานที่ของพญายม แต่ตอนนี้คนที่พักอยู่คือองค์ชายเจ็ด อีกทั้งตรงที่พญายมยืนอยู่ก็ลับตายิ่งนัก ไม่รู้เหตุใดเขาถึงมายืนอยู่ตรงนั้น และหากเมื่อครู่เขาไม่พูด ก็ยังจะไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีเขาอยู่!
นอกจากนี้ เมื่อครู่เขายืนอยู่ตรงนั้นคิดทำสิ่งใด! ยืนอยู่นานเพียงใด
หรือพญายมจะชอบแอบดูคนอื่น!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันพูดไม่ออก
ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างเช่นเดิม หลังได้ยินคำถามของหนานกงจวิ้นซี สีหน้าเคร่งขรึมเฉยชาเช่นเดิม ทว่าน้ำเสียงกลับเย็นชาลงไม่น้อย
คล้ายกับน้ำแข็งหมื่นปีที่เย็นยะเยือก
“ข้ามีเรื่องกับกระต่ายน้อย”
คำพูดกระชับได้ใจความที่ออกมาจากปากของพญายม ทำให้ใบหน้างดงามของเล่อเหยาเหยาอดตะลึงเล็กน้อยไม่ได้ ก่อนเงยหน้ามองไปยังใบหน้าดังน้ำแข็งของพญายม
ในใจยิ่งสงสัย
หาเธอหรือ มีเรื่องใดกัน
แม้จะมาหาเธอ เขาก็ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ที่หน้าต่าง! ทว่าพญายมยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม โดยไม่คิดว่าตนยืนอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะสมเลยสักนิด และไม่รู้สึกใดๆ เลย
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดอยู่ในใจ ทางด้านเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็คล้ายเป็นพยาธิในท้องเธอ จึงรู้ความคิดในใจของเธอ ก่อนพลันเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
“ข้าหิวแล้ว”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาพลันพูดไม่ออก
ที่แท้ที่พญายมยืนอยู่ตรงนั้น เป็นเพราะเขาหิว…
แต่หากเขาหิว สามารถสั่งให้บ่าวรับใช้ไปจัดเตรียมของว่างมื้อดึกได้ หรือเขาคิดจะให้เธอเป็นคนลงมือทำ
ขณะที่เล่อเหยาเหยาสงสัยอยู่ในใจ ทางด้านหนานกงจวิ้นซีหลังได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ คล้ายไม่รับรู้ถึงสีหน้าเคร่งขรึมของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เพียงลูบที่หน้าท้อง ก่อนจะยิ้มเอ่ยปากว่า
“ฮ่าๆ ศิษย์พี่ใหญ่ไม่พูด ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าก็หิวเช่นกัน พอดีเลยข้าอาบน้ำเสร็จแล้ว กระต่ายน้อย เจ้าไปเตรียมของว่างมื้อดึกมาสักนิดเถิด! จำไว้ต้องเตรียมมาให้มากหน่อย!”
“เอ่อ
เมื่อได้ยินคำสั่งของคนหน้าหนาเช่นหนานกงจวิ้นซี คล้ายกับว่าเรื่องอึดอัดเมื่อครู่พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้เล่อเหยาเหยาอดถอนหายใจไม่ได้
คนผู้นี้หน้าหนายิ่งนัก เธอเลื่อมใสจริงๆ …