พญายมหลังเอ่ยพูดสองประโยคเมื่อครู่จบ ก็กลับมาที่ตำหนักหย่าเฟิงของตน ส่วนหนานกงจวิ้นซีก็วิ่งตามมา ราวกับไม่เห็นถึงสีหน้าที่ผิดปกติของพญายมเลยสักนิดเดียว
ส่วนเล่อเหยาเหยาที่อาภัพ ต้องไปที่ห้องครัว เพื่อจัดเตรียมของว่างมื้อดึกให้กับชายสองคนที่ไม่ปกตินั้น
ทว่าเวลานี้ดึกมากแล้ว
คนทำงานแล้วพักผ่อนถือเป็นเรื่องปกติในวังอ๋อง รวมทั้งตอนกลางคืนก็ไม่มีสถานที่ให้พักผ่อนหย่อนใจ ไม่เหมือนยุคปัจจุบันที่มีชีวิตยามค่ำคืน
ดังนั้นเวลานี้คนในวังอ๋องจึงต่างพากันกลับห้องไปพักผ่อน เหลือเพียงบ่าวและองครักษ์ที่เฝ้ายามกะกลางคืนเท่านั้น
เมื่อเล่อเหยาเหยามาถึงห้องครัว ภายในไม่มีผู้ใดอยู่เลย
เพราะเรื่องไฟไหม้ครั้งที่แล้ว เล่อเหยาเหยาจึงไม่กล้ามาทำอาหารคนเดียวที่ห้องครัว ดังนั้นจึงกลับไปที่ห้องพักของบ่าวรับใช้ เรียกเสี่ยวมู่จื่อออกมาช่วยเหลือ
ตอนนี้เสี่ยวมู่จื่อก็กำลังพัฒนาทางด้านร่างกาย ปกติอาหารที่กินก็ไม่ถือว่าดีมาก เมื่อตอนนี้ชายสองคนนั้นต้องการกินมื้อดึก เธอจะทำของอร่อยให้มากหน่อย ให้เสี่ยวมู่จื่อและตนเองได้กินอย่างเอร็ดอร่อยเล็กน้อย
หลังจากเสี่ยวมู่จื่อเห็นเล่อเหยาเหยามาเรียกให้ตนไปช่วยเหลือ จึงรีบตื่นนอนทันที
หลังจากทั้งสองคนมาที่ห้องครัว เสี่ยวมู่จื่อติดไฟขึ้นอย่างชำนาญ ส่วนเล่อเหยาเหยาเริ่มลงมือจัดเตรียมวัตุดิบที่ต้องใช้
ครั้งนี้ เธอคิดจะทำอาหารประเภทเกี้ยวน้ำและบะหมี่น้ำ
อันที่จริงกลางดึกเช่นนี้ ไม่ควรกินของที่มันเลี่ยนเข้าไปอีก เพื่อป้องกันไม่ให้อีกสักครู่จะนอนไม่หลับ
อาหารพวกนี้ใช้เวลาทำไม่นานก็เสร็จ เล่อเหยาเหยาและเสี่ยวมู่จื่อจึงนำส่วนของตนกินให้หมดก่อน หลังจากกินจนอิ่ม เล่อเหยาเหยาจึงยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วไปที่ตำหนักหย่าเฟิง
ส่วนเสี่ยวมู่จื่อหลังเก็บกวาดเสร็จ ก็กลับไปนอนพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เช้ายังมีงานอีกมากที่ต้องทำ!
ขณะที่เล่อเหยาเหยายกอาหารมื้อดึกที่เพิ่งทำเสร็จไปที่ภายในห้องโถงของตำหนักหย่าเฟิง…
เห็นเพียงภายในตำหนักหย่าเฟิง เหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซีกำลังจิบชาอยู่อย่างเงียบๆ รอการมาถึงของอาหารมื้อดึก
หนานกงจวิ้นซีเห็นท่าทางเคร่งขรึมนิ่งเงียบของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ คิดเพียงว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋คงหนักใจเพราะเรื่องศพถูกควักหัวใจนั้น ดังนั้นหลังจิบชาหอมเสร็จ จึงเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ อย่ากังวลไปเลย เรื่องนี้ท่านส่งคนไปตรวจสอบแล้วมิใช่หรือ เชื่อว่าไม่นาน พวกเราต้องกำจัดลัทธินอกรีตนี้ได้แน่!”
เมื่อพูดถึงลัทธินอกรีตนี้ ความจริงหนานกงจวิ้นซีก็โกรธแค้นอย่างมากเช่นกัน
แต่เขาก็รู้ว่ารีบร้อนไปไม่ใช่วิธีที่ดี ตอนนี้ส่งคนออกไปตรวจสอบแล้ว เชื่อว่าไม่นานจะมีข่าวคราวส่งกลับมาแน่
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเม้มริมฝีปากบางแน่นอยู่ครู่หนึ่ง
แม้ช่วงนี้จะเกิดเรื่องควักหัวใจขึ้นมา จนเขายุ่งยากใจยิ่งนัก แต่เวลานี้สิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขาที่สุดคือ เรื่องนั้นที่เขาเห็นในห้องอาบน้ำเมื่อครู่
เพียงนึกถึงภาพเมื่อครู่ที่หนานกงจวิ้นซีเปลือยกายทับอยู่บนตัวของเล่อเหยาเหยา ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋หงุดหงิดและโมโหอย่างมาก
คล้ายกับสิ่งของที่เป็นของตนถูกคนอื่นแย่งชิงไป
แม้หนานกงจวิ้นซีจะเป็นศิษย์น้องของเขา แต่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
หลังคิดถึงเรื่องนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเผยอริมฝีปากออกมา เอ่ยเสียงเย็นชากับหนานกงจวิ้นซีว่า
“เมื่อครู่ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
“หา เมื่อครู่ เรื่องใดหรือ”
เมื่อได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันเอ่ยถามปัญหาออกมา หนานกงจวิ้นซีรู้สึกมึนงงเล็กน้อย หลังหายตกตะลึง จึงเข้าใจว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยถึงเรื่องในห้องอาบน้ำ
บนใบหน้าพลันปรากฎความขัดเขินและอึดอัดขึ้นมาหลายส่วน
เพราะเขาในเวลานี้ ก็กำลังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมื่อครู่เช่นกัน
คิดถึงว่าร่างกายนุ่มนิ่มด้านล่างของขันทีน้อย ใบหน้าเล็กที่โมโหทว่าน่าหลงใหลของ ‘เขา’กลิ่นหอมจางชื่นใจ และยังมีความผิดปกติบนร่างกายของเขา ล้วนทำให้เขาติดใจทว่ากลับอึดอัด
เดิมทีเขาเพียงคิดอยากให้ขันทีน้อยนั้นลำบากใจ ใครให้ ‘เขา’ กำเริบเสิบสานเช่นนี้ คิดไม่ถึงสุดท้ายกลับถูกขันทีน้อยนั้นจัดการ
ตอนที่ทับอยู่บนตัว ‘เขา’ ก็คิดอยากลงโทษ ‘เขา’ สักเล็กน้อย คิดไม่ถึงต่อมาเขารู้สึกราวกับว่าตนเป็นคนถูกลงโทษเสียเอง
อีกอย่าง การสนิทสนมที่ผิดปกติบนตัวของเขาในตอนนั้น และความรู้สึกชาวาบบนร่างกาย คล้ายราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วร่างกาย กระทั่งเขาเองเหมือนกับไร้เรี่ยวแรง
พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่และความผิดปกติของร่างกาย ทำให้หนานกงจวิ้นซีกัดฟันกรอด แต่ภายในสายตากลับปรากฏความหลงใหล ติดใจขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“ที่จริงเมื่อครู่ข้าเพียงอยากสั่งสอนขันทีน้อยนั้นสักเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีเรื่องใด”
“โอ เป็นเช่นนี้จริงหรือ”
สำหรับคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังคงน้ำเสียงเย็นชาเช่นเดิม แต่ว่าหนานกงจวิ้นซีคล้ายชินชากับความเยือกเย็นของเหลิ่งจวิ้นอวี๋แล้ว และไม่รู้สึกอันใด เพียงพยักหน้ายิ้มพลางเอ่ยว่า
“ใช่ ศิษย์พี่ใหญ่ ที่จริงข้าคิดว่าขันทีน้อยนี้น่าสนใจทีเดียว ไม่สู้ท่านมอบเขาให้ข้าเป็นรางวัลดีหรือไม่”
หากเป็นเช่นนี้ เขาจะสามารถหยอกล้อและยั่วโมโห ‘เขา’ ได้ทุกวัน
เพราะหนานกงจวิ้นซีพบว่า เล่อเหยาเหยาคล้ายม้าป่าที่ยังไม่เคยถูกปราบพยศมาก่อน จึงตื่นเต้นอยากจะสยบหัวใจของ ‘เขา’ อย่างมาก
เขาอยากจะทำให้ขันทีน้อยดื้อด้านนั้น กลายเป็นลูกแกะน้อยแสนเชื่องยิ่งนัก!
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีอดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ดวงตาดุจดอกท้อน่ามองคู่นั้นดูหัวแข็งดื้อรั้นอย่างยิ่ง
เพราะเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี นิสัยจึงยังไม่มั่นคง ชอบเล่นสนุกถือเป็นเรื่องปกติ
เมื่อเห็นรอยยิ้มเบิกบานใจบนใบหน้าของหนานกงจวิ้นซี กลับทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ่งมีสีหน้าเย็นชายิ่งขึ้น
น่าเสียดาย หนานกงจวิ้นซีที่กำลังลุ่มหลงในความสุขที่จะได้หยอกล้อเล่อเหยาเหยากลับไม่รู้สึกตัวเลย
เพียงรู้สึกว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋เงียบไปนาน จึงได้สติกลับมา ก่อนเอ่ยถามว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านตอบได้หรือไม่ ให้ขันทีน้อยนั้นเป็นรางวัลให้ข้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
แม้ตอนเช้าศิษย์พี่ใหญ่จะปฏิเสธเขาแล้ว แต่หนานกงจวิ้นซีกลับไม่ละทิ้งความพยายามเลยแม้แต่น้อย
สำหรับเล่อเหยาเหยา ความจริงเขาอยากได้ตัวมาจริงๆ เช่นนั้นเขาจะสามารถเพลิดเพลินเล่นสนุกกับ ‘เขา’ ได้
เดิมที! หลังจากรู้ว่าฮองเฮาต้องการให้เขาอยู่ร่วมกับหอยทากนั้น เขารีบร้อนหนีมาที่นี่ ความจริงคิดว่าเพียงจะมาหลบภัยอยู่ที่วังของศิษย์พี่ใหญ่ที่นี่ ไม่ได้สนใจสิ่งใด
คิดไม่ถึง กลับพบกับขันทีน้อยผู้นั้น!
แม้ความประทับใจครั้งแรกกับขันทีน้อยนั้น จะทำให้เขาตราตึงในใจอย่างลึกซึ้ง แต่กลับทำให้เขารู้สึกน่าสนใจมากกว่าหลายส่วน
เมื่อคิดว่าต่อไปสามารถหยอกล้อขันทีน้อยนั้นได้อย่างสนุกสนาน วันเวลาที่อยู่ที่นี่จะไม่น่าเบื่อเป็นแน่
ดังนั้นเขาจึงหน้าด้านเอ่ยปากกับศิษย์พี่ใหญ่ขอขันทีน้อยนั้นกลับมาอีกครั้ง เมื่อกลัวศิษย์พี่ใหญ่ไม่รับปาก หนานกงจวิ้นซีจึงกระพริบตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังไม่หยุดมองไปยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋
ท่าทางนั้นแฝงไปด้วยความเอาใจ ไร้เดียงสา และน่ารัก
เมื่อรวมกับใบหน้างดงามน่ามองของหนานกงจวิ้นซี หากเขาใช้อุบายนี้กับหญิงสาวอื่น รับรองว่าสาวน้อยสามขวบที่ยังไม่หย่านมจนถึงยายแก่อายุแปดสิบต้องต้านทานต่อคำอ้อนวอนของเขาไม่ไหว จนทำให้เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการ
น่าเสียดายที่อุบายนี้ของเขา เมื่อใช้กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับไร้ประโยชน์
เห็นเพียงหลังจากเหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นสายตาอ้อนวอนของหนานกงจวิ้นซี ใบหน้ายังคงเคร่งขรึมเย็นชาเช่นเดิม ราวกับน้ำแข็งหมื่นปี หากมองเขามากไปวินาทีเดียวคงถูกความเย็นนั้นทำให้บาดเจ็บได้
ส่วนน้ำเสียงของเขาเหมือนกับหน้าตาเช่นกัน เย็นชา กระชับได้ใจความ
“ไม่ได้”
“เอ๋ เพราะเหตุใด ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าเพียงอยากได้ขันทีน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ในวังของท่านมีขันทีน้อยมากมายมิใช่หรือ เหตุใดเป็น ‘เขา’ ไม่ได้ ”
สำหรับคำพูดที่ไม่เข้าใจของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเม้มริมฝีปากบางแน่นชั่วครู่ ดวงตาแคบยาวนั้นมีความรู้สึกอันซับซ้อนวาบขึ้นมา ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
หลังจากหนานกงจวิ้นซีคิดว่าเขาไม่ให้คำตอบแน่ เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยปากเบาๆ ว่า
“เพราะ ‘เขา’ เป็นคนของข้า ”
“เอ่อ”
สำหรับคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หนานกงจวิ้นซีมีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
เพราะคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ตีความได้หลายความหมาย เขาเดาไม่ถูกว่าเป็นความหมายประเภทใด เพียงแต่หนานกงจวิ้นซีรู้เพียงว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เคยอยู่คนเดียวเริ่มเหมือนมนุษย์ขึ้นมาแล้ว
หลังจากหลายปีที่รู้จักกับศิษย์พี่ใหญ่มา ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนเย็นชา นิสัยยากที่จะเข้ากับผู้อื่นได้
อีกทั้งเรื่องใดคล้ายไม่แยแส ไม่สนใจไยดี แต่เหตุใดสำหรับขันทีน้อยผู้นี้ กลับแตกต่างไป!
ขณะที่หนานกงจวิ้นซีสงสัยอยู่ในใจ ก็ได้กลิ่นหอมโชยมาตั้งแต่ไกล พลันกระตุ้นพยาธิในตัวขึ้น น้ำลายท่วมปาก จนแทบไหลออกมาแล้ว
ความสงสัยที่มีอยู่ในใจ หลังจากได้กลิ่นหอมหวนก็ถูกเขาโยนทิ้งไปไกลจนสุดขอบฟ้า ก่อนจะคิดในใจว่า
ที่จริงขันทีน้อยผู้นี้ ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมของ ‘เขา’ ไม่แปลกที่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่คิดมอบ ‘เขา’ ให้เขา คงอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็ได้!
ขณะที่หนานกงจวิ้นซีคิดอยู่ในใจ เล่อเหยาเหยาก็ยกอาหารมื้อดึกเข้ามาในห้องโถงพอดี
หลังจากเข้ามาในห้องโถง เล่อเหยาเหยาโค้งกายทำความเคารพเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซี ก่อนเดินเข้าไปนำอาหารมื้อดึกที่เพิ่งทำเสร็จทั้งหมดออกมา จากนั้นก็วางลงตรงหน้าหนานกงจวิ้นซีและเหลิ่งจวิ้นซี
เมื่อเห็นเกี้ยวน้ำและบะหมี่น้ำบนโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือรสชาติ ต่างทำให้คนรู้สึกตะกละขึ้นมา และทำให้ดวงตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อดเป็นประกายไม่ได้
ความจริงเมื่อครู่ตอนไปที่ตำหนักชิงเซี่ยว ไม่ใช่เพราะหิว เพียงแต่ยามเผชิญหน้ากับความสงสัยของหนานกงจวิ้นซี จึงพูดโกหกออกมาเท่านั้น
เพียงแต่เมื่อเห็นอาหารที่น่าทานอยู่ตรงหน้านี้ แม้จะดูเรียบง่าย ทว่ารสชาติกลับไม่ธรรมดา เรียกว่าดุจพ่อครัวในวังหลวง เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่แม้จะไม่หิว ยังอยากลิ้มรสขึ้นมา
ส่วนหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง หลังจากเล่อเหยาเหยาหยิบอาหารมื้อดึกพวกนี้ออกมา รีบหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารกินอย่างไม่เกรงใจ อีกทั้งไม่นานยังส่งเสียงดูดบะหมี่ ‘ซู๊ดซู๊ด’ ออกมา ซึ่งฟังดูออกว่าเขาชื่นชอบยิ่งนัก!
เห็นเช่นนั้น ทำให้เล่อเหยาเหยาอยากเข้าไปเหยียบเขาสักทีสองทีจริงๆ!
เมื่อครู่ยังรังแกเธออย่างชอบใจอยู่เลย! ตอนนี้กลับหน้าด้านกินของที่เธอทำ เจ้าคนเลวนี่!
……………………………………………………………………