ตอนที่ 84 : ความสามารถอันน่าทึ่ง
ทั้งสี่คนบนลานต่างก็พากันมองมาที่หวังเย่า
ฉากนี้ทำให้อาจารย์และนักเรียนคนอื่น ๆ ต่างก็พากันแปลกใจ การถ่ายทอดสดเองก็ดูน่าตื่นเต้นไปตาม
หวังเย่ามองไปที่จ้าวเมิ่งซีที่อยู่ไกลออกไป จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
หยู๋เจิ้งเฟิงจึงรีบพูดขึ้น “อาเย่า นายนี่ดังจริง ๆ นายดังกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เสียอีก”
หวังเย่าได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นชะตาของฉัน ฉันไม่เคยทำตัวโดดเด่น แต่กลับเป็นศัตรูของทุกคนในมหาวิทยาลัยซะงั้น”
ในเวลาเดียวกันพวกที่เพิ่งกลับเข้ามาในมหาวิทยาลัยก็พากันถามออกมา
“หวังเย่าเป็นใครกัน ? ทำไมทั้งสี่คนถึงอยากจะสู้กับเขา ? ” เย่ฉิวเกาคิ้วขมวด
เพื่อนเขาคนหนึ่งได้ตอบกลับ “อาเกา หวังเย่าคือคนในสาขาตรวจสอบของเรา เขาน่ะเป็นคนธรรมดาที่พอแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่แฟนเขาคือดาวมหาวิทยาลัยก็ว่าได้”
เย่ฉิวเกาพยักหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฟ่านฉิงเหมย เขาไม่รู้ว่าหากเธอกับจ้าวเมิ่งซีเทียบกันแล้ว ใครจะสวยกว่ากัน
ฟ่านฉิงเหมยยังคงแสดงท่าทีเฉยเมยและเย็นชาออกมา แต่สายตาของเธอก็ยังสะท้อนความสงสัยไม่น้อย
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน หวังเย่าก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินไปที่ลาน
คนที่โดนท้าอย่างเขาซึ่งเป็นรุ่นน้องมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้ แต่มันมีสิทธิ์ปฏิเสธแค่เพียง 5 ครั้งเท่านั้น ถ้าปฏิเสธมันตอนนี้ แล้วหากในครั้งต่อไปเจอสายแข็งเข้าจะทำยังไง ?
“ส่งตัวแทนมาดีกว่ามั้ย ? ” หวังเย่าเดินไปที่ด้านล่างลานแล้วพูดขึ้นมา
ทั้งสี่คนมองหน้ากันก่อนจะตกลงกัน โดยส่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
“หวังเย่า ฉัน จงโฮ่ว ฉันจะสู้กับนายเอง” ชายหนุ่มร่างกายกำยำพูดขึ้นมา
หวังเย่าพยักหน้าและก้าวขึ้นไปบนลาน ก่อนจะไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย
คนอื่น ๆ อีก 3 คนทิ้งสิทธิ์ที่จะท้าสู้ในรอบแรกไป แม้ว่าพวกเขาจะท้าสู้กับคนอื่นได้ แต่ชัดแล้วว่าพวกเขาไม่คิดจะทำแบบนั้น
กรรมการสะบัดมือให้สัญญาณเริ่มการต่อสู้
จงโฮ่วจึงตะโกนออกมา “หวังเย่ามาสู้ระยะประชิดกันดีมั้ย ? ”
หวังเย่าไม่สนใจอีกฝ่าย สายตาเขาสะท้อนแสงสีทองออกมา เขาไม่เรียกอสูรของตัวเองออกมาด้วยซ้ำ
อสูรของจงโฮ่วก็คือหมีตัวใหญ่อย่างกับท่อนซุง มันมีเรี่ยวแรงมหาศาลและระเบิดพลังเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะสู้ในระยะประชิด
แต่โชคร้ายที่หวังเย่าเองก็มีสกิลสองอย่างนี้และเหนือกว่าด้วย หงอคงนั้นมีพลังธรรมชาติและสามารถระเบิดพลังออกมาได้
เมื่อจงโฮ่วเห็นว่าหวังเย่าใจเย็นและไม่ใส่ใจเขา มันก็ทำให้เขาโมโหขึ้นมา เขาตบอกพร้อมกับร่างกายที่ขยายขนาดขึ้น กล้ามเนื้อเริ่มบวมเป่งออกมา โชคดีที่เสื้อผ้าของเขาทำมาเป็นพิเศษ มันจึงไม่ฉีกขาดออกจากกัน
หลังจากที่จงโฮ่วเปลี่ยนร่างเสร็จ เขาก็ได้พุ่งเข้าหาหวังเย่าทันที
“ หวังเย่าทำบ้าอะไร เขาไม่เตรียมการอะไรเลยหรือ ? ”
ทุกคนต่างก็พากันอึ้ง หวังเย่าแค่ยกหมัดขึ้นมาก่อนจะเหวี่ยงหมัดปะทะกับหมัดของจงโฮ่ว
“เขาไม่ใช้สกิลของอสูร แล้วจะทนรับหมัดหนา ๆ ของจงโฮ่วได้ยังไง เขาต้องกระเด็นออกมาแน่”
ทุกคนต่างกันกรีดร้องออกมา สาว ๆ หลายคนไม่กล้าดูฉากนี้ พวกเธอพากันหันหน้าหนี แม้แต่กรรมการก็ยังต้องตะลึง
แต่ตอนที่หมัดทั้งสองเข้าปะทะกัน หวังเย่ากลับถอยไปแค่ 3 ก้าว ส่วนจงโฮ่วถอยกลับถอยไป 2 ก้าว
จงโฮ่วตะโกนออกมา “เป็นไปได้ยังไง แกไม่ได้ใช้สกิลของอสูรแล้วรับหมัดของฉันได้ยังไง ? ”
หวังเย่าสะบัดมือ เขารู้สึกชานิด ๆ ก่อนจะตอบกลับอย่างใจเย็น “ถ้าฉันใช้สกิลของอสูร แกคงรับมือฉันไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว”
“นี่แก…ใช้แค่ร่างกายของตัวเองงั้นหรือ ? ” จงโฮ่วอึ้ง
“ใช่ แกรู้สึกยังไง ? ” หวังเย่าพูดขึ้นด้วยท่าทีเฉยเมย
“แก..” จงโฮ่วเริ่มลนลานขึ้นมา เขาโกรธจัดและทำใจเชื่อไม่ได้ “แกโกหก”
เมื่อพูดจบ ทั้งสองคนก็ปล่อยหมัดออกมาปะทะกันอีกครั้ง หลังจากที่หวังเย่าได้ดูดซับหินห้าสีเข้าไป ร่างกายของเขาก็พัฒนาขึ้นมาอย่างมาก เลือดในตัวไหลเวียนได้ดีขึ้น เขารวดเร็วขึ้นกว่าเดิม พละกำลังของเขานั้นเพิ่มขึ้นมามหาศาล ความเร็วและร่างกายเขาด้อยกว่าจงโฮ่วในตอนนี้แค่เพียงเล็กน้อยก็เท่านั้น
หลังจากสู้กันเกือบนาที จงโฮ่วก็ถูกต่อยเข้าที่จมูกพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจนทำให้เขาเวียนหัว
เมื่อเห็นโอกาส หวังเย่าก็เตรียมจะโจมตีต่อ ทำให้จงโฮ่วลนลานขึ้นมา “ฉันยอมแพ้”
หวังเย่าหยุดมือ เขายังยืนนิ่งไร้รอยขีดข่วนใด ๆ ราวกับว่าไม่ได้สู้กับใคร
กรรมการได้ประกาศให้หวังเย่าชนะการต่อสู้แรกในทันที
เมื่อทั้งสองฝ่ายลงมาจากลาน จงโฮ่วก็มองไปที่หวังเย่า แต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา ความอาฆาตก่อนหน้านี้ได้หายไปในพริบตา
หวังเย่าแข็งแกร่งเกินไป
เมื่อจบการแข่งขัน ทุกคนต่างก็พากันตะลึง ความแข็งแกร่งของหวังเย่านั้นน่าทึ่ง ถึงจะไม่ใช้สกิลของอสูรแต่ก็สามารถเอาชนะนักเรียนปีหนึ่งที่แข็งแกร่งไปได้ง่าย ๆ หากใช้สกิลของอสูรแล้ว งั้นจงโฮ่วคงไม่อาจจะป้องกันการโจมตีของหวังเย่าได้แม้แต่น้อย
แล้วถ้าเขาเรียกอสูรออกมาล่ะ ?
แค่นี้ก็แข็งแกร่งแล้ว
“ นายบอกว่าหวังเย่าเป็นคนธรรมดาไม่ใช่รึไง ? เขาเป็นเด็กใหม่แต่กลับแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้” เย่ฉิวเกาพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“ไม่มีใครเคยเห็นเขาสู้มาก่อน เทอมนี้มีคนหาเรื่องเขามากมาย แต่เด็กนี่กลับอยู่เฉย ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าเขาอ่อนแอ เป็นแค่กระสอบทรายที่ไม่คู่ควรให้พูดถึง” เพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ ถอนหายใจออกมา “แต่เด็กนี่กลับซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ เขาทำตัวเหมือนเต่าหัวหด ไม่คิดเลยว่าเขาจะแข็งแกร่งแบบนี้”
เย่ฉิวเกาคิดตามก่อนจะพยักหน้า เขาเองก็ไม่กล้าจะดูถูกหวังเย่าเช่นกัน
ฟ่านฉิงเหมยนั้นกลับแสดงท่าทีสนใจออกมา
ในอีกที่ฮวงจินเทียนกลับหรี่ตาลงพร้อมแสดงสีหน้าคาดหวัง เขาได้พึมพำออกมา “ ปี 1 กลับมีคนที่มีพรสวรรค์ด้วย เด็กนี่โดดเด่นจริง ๆ ”
…
หวังเย่ากลับมายังที่นั่งของตัวเองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อหันไปเห็นรอยยิ้มของจ้าวเมิ่งซี เขาก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
จ้าวเมิ่งซีได้เผยรอยยิ้มตื่นเต้นออกมา เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะส่งข้อความเสียงให้กับหวังเย่า “พี่เย่า ฉันชอบนายมาก”
หวังเย่าได้ยินแบบนั้นก็ใจเต้นรัว แม้ว่าทั้งสองจะเป็นแฟนกันแล้ว แต่เขาก็สนใจแต่การฝึก ทั้งสองไม่ได้บอกรักกัน ถึงอย่างนั้นนาน ๆ ได้ยินแบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกดี
หวังเย่าคิดสักพักก่อนจะส่งข้อความเสียงกลับไป
“เมิ่งเอ๋อร์ เธออยากกินฉันสินะ”
เมื่อจ้าวเมิ่งซีได้ยินข้อความนั้น เธอก็แสดงสีหน้าโมโหออกมาและได้ส่งข้อความกลับไปว่า “กลับไปวันนี้เตรียมตัวให้ดี ฉันจะกินนายทั้งเป็น นายจะได้ไม่กล้ามาแกล้งฉันแบบนี้อีก”