ตอนที่ 45 กอดไว้ไม่ยอมปล่อยมือ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ตอนนี้เหตุการณ์คับขัน ความหวังมีเพียงวิธีเดียวคือ…

มู่เฉียนซีรีบถาม “อาถิง ตอนนี้ข้าสามารถเข้าไปศาลาเลือนรางเก้าชั้นได้ไหม ?”

เพียงแค่เข้าไปหลบในศาลาเลือนรางเก้าชั้น อย่าว่าแต่งูเหลือมโลหิตวิญญาณที่ตามมาจะเป็นสัตว์วิญญาณระดับสี่ ต่อให้เป็นสัตว์วิญญาณระดับเก้าก็อย่าหวังว่าจะหานางพบ

“ความสามารถของเจ้าตอนนี้เพิ่งเปิดศาลาได้ แต่ตอนนี้ร่างกายเจ้าเข้ามาไม่ได้” อาถิงตอบกลับ

จิตใจของมู่เฉียนซีเหี่ยวฟีบดูอาการหนักลง อาถิงพูดขึ้นมาอีก “สตรีน่าตายมาสู้กับมันเถอะ ต่อให้ตาย ข้าก็จะคอยเก็บซากให้เจ้า ไม่ทำให้เจ้าถูกงูเหลือมตามวิญญาณโลหิตนั้นกินจนหมด  เป็นอย่างไร ? ข้าดูเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์พอไหม ?”

“ความตายเฉียดใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าพูดให้มันน่าเชื่อถือหน่อยได้ไหม ?!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยอารมณ์โมโห

เจ้างูเหลือมตามวิญญาณโลหิตที่ตามมาตัวนี้ กลืนกินคนไปสองคนแล้ว ลมพัดกรรโชกอย่างรุนแรง มันพุ่งตรงไปที่มู่เฉียนซี

มู่เฉียนซีรีบกระโดดหลบ นำยาพิษที่ตัวเองมีทั้งหมดเขวี้ยงออกไป ใช้พลังวิญญาณที่มีทั้งหมดสร้างการโจมตีรุนแรงที่สุด

นางตะโกนด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “มังกรวารี  ไป!”

— ตูม! —

มังกรวารีสีฟ้าตัวหนึ่งตรงไปปะทะกับงูเหลือมตามวิญญาณโลหิต โจมตีโรมรันเข้าด้วยกัน

ถึงแม้ยาพิษจะมาก แต่ร่างกายอันแข็งแกร่งของงูเหลือมตามวิญญาณโลหิตนี้กลับไม่สะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย  แม้มังกรวารีจะโจมตีไปถูกจุด แต่พละกำลังยังอ่อนแอเกินไป คงเพราะเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับห้า จึงได้แต่ทำร้ายเจ้างูเหลือมนั้นแค่เกล็ดผิวหนังแผ่นเดียว

เกล็ดที่ผิวตกไปแผ่นหนึ่ง ทำให้เจ้างูเหลือมยักษ์เจ็บแค้นเคืองโกรธมาก

‘เป็นเพียงมดปลวกที่อ่อนแอกลับกล้าที่จะต่อต้านข้า’  มันคิด

“โฮกกกก!” เสียงของมันดังขึ้น ลมพายุพัดไปทางมู่เฉียนซี ทำให้มู่เฉียนซีร่วงตกลงไปที่พื้น

— ตูม! —

มู่เฉียนซีโดนพลังแรงนั้นซัดเข้าที่ไหล่ด้านขวาเต็ม ๆ

— กร๊อบ! —

นางได้ยินเสียงกระดูกของนางหักกร่อน โลหิตไหลออกมามากจากมุมปาก

โลหิตสีแดงสดไปกระตุ้นให้งูเหลือมตามวิญญาณโลหิตนี้เกิดอาการอยากอาหารขึ้นมา  อาหารนี้… พร้อมจะให้กินได้แล้ว

งูเหลือมตามวิญญาณโลหิตอ้าปากที่มีเลือดออกจนกว้าง เลื้อยเข้าหามู่เฉียนซีอย่างแน่วแน่ หวังจะเขมือบมู่เฉียนซีเป็น ๆ ให้กลายเป็นอาหารอันโอชะมื้อใหญ่ครั้งที่สาม

ในขณะที่มู่เฉียนซีมีชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เวลาเปลี่ยนไปในทันใด  อยู่ ๆ ก็มีพลังอันรุนแรงปะทะเข้ามา สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเสมือนถูกหยุดนิ่งไว้ก็ไม่ปาน

งูเหลือมตามวิญญาณโลหิตสั่นสะท้านไปตั้งแต่หัวจรดหาง “เป็นไปได้อย่างไร ? สถานที่เล็ก ๆ อย่างนี้จะมีคนที่มีความแข็งแกร่งมากเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร ?”

ร่างกายของมันค่อย ๆ เหี่ยวแห้งลง เหมือนถูกสูบดูดเลือดออกไป

หลังจากนั้น เกล็ดของมัน เนื้อของมัน อีกทั้งร่างกายก็สลายกลายเป็นผุยผงทันที เหลือเพียงกระดูกอันขาวโพลน

ในช่องว่างมิติ อาถิงคิดขึ้นมา  ‘ในเมื่อชายผู้นี้อยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง’  หลังจากนั้นอาถิงก็หลับตาพักผ่อนไป

บุรุษผู้โหดร้ายราวเทพเจ้าแห่งรัตติกาลลงมาจากท้องฟ้า ลงมาอยู่ต่อหน้ามู่เฉียนซี

ด้วยการสะบัดมือเพียงหนึ่งครั้ง เจ้างูเหลือมตามวิญญาณโลหิตนั้นก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตามู่เฉียนซี

ใบหน้าอันงดงามมีเสน่ห์ ดวงตาคู่สีฟ้าราวน้ำแข็งดูเยือกเย็นไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ ปรากฏให้เห็นแก่สายตานาง

ยามเมื่อเขาปรากฏตัวนั้น ทุกสรรพสิ่งพลันหม่นหมองลงเพียงเพราะเขา

“จิ่วเยี่ย…” มู่เฉียนซีเรียกด้วยความประหลาดใจ

“ใช่” เขาตอบรับคำของนางเสียงเย็น ๆ  ทว่ายื่นแขนมาโอบนางเข้าสู่อ้อมกอดอุ่นของเขา

“เจ้าบาดเจ็บ”

ยามเมื่อเอ่ยประโยคหลังนี้ น้ำเสียงบุรุษตรงหน้าราบเรียบ ฟังไม่ออกถึงอารมณ์ ทว่ามือของเขายื่นมากำลังจะปลดเปลื้องเสื้อผ้านางออก

“ชะ… ช้าก่อน   ข้าเป็นนักปรุงยา บาดแผลของข้า  ข้าจัดการเองได้” มู่เฉียนซีรีบพูดเพื่อหยุดการกระทำบุรุษตรงหน้า

เขากอดเอวบางของนางแน่น ให้นางซบเข้ากับหน้าอกเขา ไม่สนว่าเสื้อผ้าสีดำอันวิจิตรของเขาจะแปดเปื้อนไปด้วยโลหิตของนางหรือไม่

เขาพูดออกมาคำหนึ่งอย่างชัดเจนในถ้อยคำ “เร็วเข้า”

ริมฝีปากมู่เฉียนซีกระตุก เขาคิดว่านางจะรักษาแผลในท่านี้ได้หรือ ?

แต่ถ้าจะให้คนผู้นี้ปล่อยมือก็คงเป็นไปไม่ได้ อยู่ยุคปัจจุบันในหน้าร้อน นางยังสวมชุดที่เปิดไหล่ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

ครานี้พานพบกับอาการบาดเจ็บหนักมาก นางจึงไม่ใคร่จะสนใจแล้วว่าจิ่วเยี่ยยังอยู่ที่นี่

นางรีบลงมือถอดเสื้อผ้าตนเองออก เนื้อผ้าส่วนที่แต่เดิมคลุมไหล่ ตกลงมาที่ไหล่ด้านข้าง

มู่เฉียนซีรีบนำยาเหย้าจี้ห้ามโลหิตออกมาทา ก่อนจะพันผ้าอย่างดี

เคยเป็นหมอปีศาจมาก่อน นางทำทุกขั้นตอนแทบไม่ต้องมีเวลาหายใจ  แน่นอนมันเหมาะกับคำว่า ‘เร็ว’ ของซวนหยวนจิ่วเยี่ยคำนั้น

มองไหล่ที่ขาวดั่งหยก แววตาสีฟ้าของจิ่วเยี่ยก็ดูลึกลับขึ้น ยาลูกกลอนถูกส่งมาให้นาง “กินสิ”

“ตัวข้าเป็นนักปรุงยา ตัวข้าย่อมมียาลูกกลอนอยู่”

มู่เฉียนซีกำลังควานหายาของนางเอง พลันรู้สึกว่าริมฝีปากของนางรู้สึกเย็น ๆ  มือยาวของซวนหยวนจิ่วเยี่ยนำยามาสัมผัสริมฝีปากนาง  เขาพูดออกมาคำหนึ่งด้วยเสียงอันเยียบเย็นระคนแข็งทื่อ

“กิน”

มองแววตาที่ดูอันตรายคู่นั้น มู่เฉียนซีคิดว่าหากนางปฏิเสธไป สภาพนางอาจเป็นดั่งเช่นงูเหลือมตัวนั้น ที่เหลือแค่กระดูก

มู่เฉียนซีหยิบยาจากมือเขามากินอย่างไร้ทางเลือก นางจำต้องว่าง่าย  เมื่อตัวยาได้ถูกกลืนเข้าไป นางก็ต้องตกใจ

“นี่มัน… ยาวิญญาณระดับเก้า!”

ถึงแม้ว่านางจะมีพรสวรรค์ทางการปรุงยามาก ฝีมือปรุงยาระดับสามของนางดี นางปรุงออกมาได้มีผลการรักษาดีกว่าของคนอื่น แต่ผลนี้เทียบไม่ได้เลยกับยาที่มีระดับสูงกว่าดังเช่นยาระดับเก้าที่นางเพิ่งกลืนลงคอไปนี้

ทั้งแคว้นจื่อเยี่ย มียาระดับสองเม็ดหนึ่งก็ถือว่าสุดยอดแล้ว …ทว่านี่ระดับเก้า น่าอัศจรรย์ใจดีแท้!

เขานำยาระดับเก้ามาให้นาง อ๋องของแคว้นจื่อเยี่ยที่ไม่มีอำนาจใด ๆ อย่างเขาสามารถนำยาระดับเก้าออกมาได้หรือ ?

มู่เฉียนซีมองชายที่นางลอบเรียกว่า ‘เจ้าก้อนน้ำแข็ง’ ที่อยู่ด้านหลัง  เจ้าก้อนน้ำแข็งในเวลานี้ ใบหน้าของเขางดงามหมดจด ความเยือกเย็นของเขาทำให้ผู้คนได้แต่มอง ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะชอบปล่อยคลื่นลมที่แฝงอันตรายออกมา

“จิ่วเยี่ย ตอนนี้ข้าทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้า… เอ่อ… สามารถปล่อยข้าได้แล้ว…”

มู่เฉียนซียังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกคำพูดสองคำของจิ่วเยี่ยตัดบท

“ฟื้นพลัง…”

ปากของมู่เฉียนซีกระตุกอีกหน เขาต้องการจะกอดนางจนกว่านางจะฟื้นฟูพลังจนหายสนิท

ถูกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลอันร้ายกาจของแคว้นจื่อเยี่ยโอบกอด อยู่ในอ้อมกอดของชายที่แม้แต่มือที่ยังไม่ได้กระดิกก็ทำให้สัตว์วิญญาณระดับสี่สูญหายไป หัวใจของนางอดเต้นเป็นจังหวะโครามครามขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ได้ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะสังเกตถึงแรงหัวใจเต้นนี้

ไม่ได้การ! ต้องรีบหาหัวข้อสนทนามาเบนความสนใจอย่างเร่งด่วน

“จิ่วเยี่ย เหตุใดเจ้าถึงมาที่ป่าเทียนหวงนี้ได้ ?”

“แบบเดียวกับเจ้า”

“อ้อ”

เขาเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาของแคว้นจื่อเยี่ย ถึงแม้การสอบสนามแรกเขาจะส่งกระดาษเปล่า และยังริอ่านสละสิทธิ์ในสนามสอบครั้งที่สอง แต่ทางสำนักศึกษาก็ไม่กล้ายกเลิกการมีสิทธิ์เข้าสอบสนามที่สามของเขา

พูดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียนซีไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี  สองคนที่อยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ มันชักจะแปลก ๆ ไป บรรยากาศเริ่มเงียบกริบ

แต่ก็นับว่าโชคดี ฤทธิ์ของยาระดับเก้าแรงมาก ทำให้มู่เฉียนซีไม่ต้องรอนานจนเกินไป

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าฟื้นฟูพลังแล้ว …ฟื้นฟูหมดเรียบร้อย”

“ยัง”

เสียงเรียบ ๆ ทว่าแผ่วเบาสวนมา

มู่เฉียนซีแทบอยากจะเดินจากไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ทำไม่ได้ เหลืออีกเพียงนิดเดียวจะฟื้นฟู แค่อีกนิดเดียวเอง

ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่อีกนิดเดียว แต่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาสักพัก

มู่เฉียนซีรอแล้วรออีก สุดท้ายรอไม่ไหวจนเผลอผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของซวนหยวนจิ่วเยี่ย

จิ่วเยี่ยเห็นนางนอนหลับไม่ค่อยจะสนิท มุมปากก็มีรอยยิ้มขึ้น สายตาที่ดูเหมือนไม่มีอุณหภูมิก็เหมือนดั่งปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ ที่หาได้ยาก

มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาอีกทีบาดแผลก็ดีขึ้นมากแล้ว นางกล่าวขึ้นว่า… “ตอนนี้เจ้าน่าจะสามารถปล่อยมือได้แล้วนะ”

แต่จิ่วเยี่ยยังคงนิ่งเฉย ที่สำคัญ เขามองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง

ตอนนี้นี่เอง ทั้นใดนั้นปรากฏเงาสีขาวพุ่งตรงมาทางมู่เฉียนซี

.