บทที่ 41 เจ้าเล่นกับข้าเจ็ดวัน

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

หลิวเยว่กับอวี่ฮุยสบตากันครู่หนึ่ง

วันนี้พี่ใหญ่เป็นบ้าไปแล้วหรือ เขาจะประลองอะไรกับคุณชายอี้

อาจารย์สวีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ​ “เจ้าเด็กที่ไม่สามารถอบรมได้ อาจารย์ซ่างกวน ท่านดูคุณหนูสามกู้คนนี้สิ……หากรับบุคคลเช่นนี้ไว้ในราชวิทยาลัย ชื่อเสียงที่มีมาร้อยกว่าปีของราชวิทยาลัยจะไม่เสื่อมเสียด้วยน้ำมือของนางรึ ไม่ได้การแล้ว หลังสิ้นสุดงานชุมนุมโต้วเหวิน ข้าจะต้องเชิญอาจารย์ใหญ่ไปกราบบังคมทูลฝ่าบาท ให้เชิญคุณหนูสามกู้ออกจากราชวิทยาลัยไป”

“บางที นางอาจสามารถชนะจริง ๆ ก็เป็นได้”

“อย่างนางรึจะชนะ คนทึ่ม เช่นนั้นเหรอ”

อาจารย์สวีดูหมิ่นดูแคลน

เขาสอนหนังสือมาตลอดทั้งชีวิต ยังไม่เคยสอนลูกศิษย์ที่ต่ำทรามเช่นนี้

ในใจของอ๋องเจ๋อก็ยิ่งดูหมิ่นเหยียดหยาม มือของเขายังคงไม่ชะงักหยุด และวาดภาพต่อไปเรื่อย ๆ

ทุกคนคิดว่าอี้เฉินเฟยจะต้องโมโหโกรธ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะหัวเราะอย่างใจเย็น จากนั้นกล่าว “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณหนูสามถูกใจข้า ในเมื่อคุณหนูสามต้องการจะเดิมพัน เช่นนั้นพวกข้าก็จะน้อมรับการเดิมพันครั้งนี้”

“คุณชายอี้……” สองอัจฉริยะจากแคว้นจ้าว ฉางเจิน ฉางผิงตกใจขึ้น

หากว่าแพ้ พวกเขาจะอธิบายคุณชายอี้อย่างไร

“มิเป็นไร พวกเจ้าประลองตามปกติเป็นพอ แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา ต่อให้แพ้ก็มิเป็นไร”

อารมณ์ของอี้เฉินเฟยช่างดีเกินไปแล้ว

คำพูดเช่นนี้ยังสามารถทนต่อไปได้

อีกทั้ง……หรือว่าเขาไม่เกรงกลัวเทพสงครามจะชำระบัญชีเขาในภายหลัง

นางเป็นถึงคู่หมั้นของเทพสงครามเชียวนะ

ใต้เท้าอู๋กล่าวหยอกเย้า “กู้เฉิงเซี่ยง ลูกสาวของท่านนี่ช่างเพ้อฝันจริง ๆ แม้แต่คุณชายอี้ยังกล้าเข้าไปยุ่ง”

“ข้าได้กล่าวไปแล้ว ข้ากับนางตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกันแล้ว นางไม่ใช่ลูกสาวข้าอีกต่อไป”

“พวกเจ้าตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกันแล้ว แต่เลือดที่ไหลเวียนอยู่บนตัวพวกเจ้ายังคงเหมือนกันหรอกกระมัง ฮ่า ๆ ๆ ……”

ถ้าหากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทกับทูตอยู่ที่นี่ กู้เฉิงเซี่ยงอยากจะสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป

กู้ชูหน่วนหมุนพู่กันขนหมาป่าเล่นอย่างอารมณ์ดี คู่นัยน์ตาดำขาวแยกออกอย่างชัดเจนเปื้อนด้วยรอยยิ้ม จ้องตรงไปที่อี้เฉินเฟย

หม่ากงกงที่ไม่กล้าสบตาตรง ๆ

คุณหนูสามช่างกล้าเกินไปแล้ว

มีอย่างที่ไหนที่หญิงสาวยังไม่ได้ออกเรือนจ้องมองชายเยี่ยงนี้

เขารีบเตือนสตินาง “คุณหนูสามขอรับ ใกล้จะหมดเวลาครึ่งก้านธูปแล้ว ท่านยังไม่ขยับพู่กันอีกหรือ ท่านอื่นต่างวาดกันไปเยอะแล้ว”

“เร่งรีบทำไมกัน นี่ยังเหลือเวลาอยู่มิใช่รึ ยามบ่ายนั้นข้างีบนานไปหน่อย ยังไม่ได้ทานข้าวเลย เจ้าจงไปยกสำรับอาหารมาให้ข้าสักหน่อย”

“หา……” ตอนนี้เป็นช่วงเวลาการประลอง จะมาทานข้าวอะไรกัน

หม่ากงกงยิ้มอย่างสอพลอ “คุณหนูสามขอรับ ท่านรอให้การประลองนี้เสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยทานดีหรือไม่ขอรับ”

“ท้องข้าหิวมาก ยกพู่กันไม่ไหวแล้ว รบกวนกงกงยกสุราอาหารดี ๆ ยังมีของหวานที่ข้าชื่นชอบที่สุด และยังรบกวนกงกงนำน้ำผึ้งมาด้วยสักหน่อย”

หม่ากงกงมองมาทางฮ่องเต้เย่อย่างลำบากใจ

ฮ่องเต้เย่ทรงพระทัยกว้าง ทรงโบกพระหัตถ์อนุญาต

หม่ากงกงจึงได้ไปยกอาหารตามที่นางกำชับ

กู้ชูหน่วนก็ไม่เกรงใจ ภายใต้การมุงดูของผู้คน มือข้างหนึ่งยกจอกสุรา มือข้างหนึ่งคีบอาหาร ดื่มสุราเคล้าอาหารทานได้อย่างอรรถรส

นางทานอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่พะวงกรอบกฎเกณฑ์ใด ๆ ถึงแม้จะดื่มซดคำใหญ่ แต่กลับดูไม่น่าเกลียดหยาบโลน

นางประหนึ่งดื่มด่ำอยู่กับสุราที่เลิศรส จนลืมไปว่ายังมีการประลอง

หม่ากงกงทนดูไม่ได้จึงทำการเตือนสติ “คุณหนูสามขอรับ เวลาครึ่งก้านธูปใกล้จะหมดแล้ว…..ท่านดู……”

“จะรีบร้อนทำไมกัน ยังเหลือเศษหนึ่งส่วนสามมิใช่รึ”

“เพล้ง……” เสียงดังขึ้น

เพราะคำพูดของหม่ากงกง กู้ชูหน่วนไม่ทันระวังทำน้ำผึ้งในมือตกลงบนแท่นฝนหมึก

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว กู้ชูหน่วนถึงเพิ่งจะอิ่มเอมจนเรอออกมาอย่างพอใจ จากนั้นกล่าวชื่นชม “ กงกง พ่อครัวนี้ทำอาหารได้ไม่เลว ข้าทานได้อย่างถูกปากทีเดียว สามารถให้เขาทำเพิ่มอีกสักสำรับได้หรือไม่ ข้าอยากจะเอากลับบ้านไปให้บ่าวรับใช้ทาน”

“เอ่อ……”

หม่ากงกงตั้งสติไม่ทัน

พัดที่อยู่ในมือของเซียวหยู่เซวียนตลอดเวลาได้ทุบไปตรง ๆ แล้วกล่าวด้วยความโมโห “นางตัวดี เวลาครึ่งก้านธูปใกล้จะหมดแล้ว เจ้าจะทำตัวให้น่าเชื่อมั่นหน่อยได้หรือไม่”

“รู้แล้วน่ะ รีบเร่งอะไรกัน”

บ่าวรับใช้รีบยกสำรับที่เหลือออกไป

คนที่อยู่ในเหตุการณ์นอกจากซ่างกวนฉู่กับอี้เฉินเฟยแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อว่ากู้ชูหน่วนจะสามารถเอาชนะได้ เนื่องจากธูปกำลังจะมอดไหม้หมดก้าน เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายต่างวาดภาพกันเสร็จทีละคน รอเพียงกู้ชูหน่วนคนเดียว

กู้ชูหน่วนค่อย ๆ หยิบพู่กันขึ้นมา แล้วจ้องกระดาษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประหนึ่งลังเลว่าจะเริ่มวาดจากตรงไหนดี จ้องจนเซียวหยู่เซวียนและคนอื่น ๆ กระวนกระวายใจจนหัวหมุน

เสียงหัวเราะของผู้คนในงานดังกระหึ่มขึ้น ราวกับว่าทุกคนกำลังหัวเราะเยาะกู้ชูหน่วน

ผ่านไปสักพัก กู้ชูหน่วนถึงได้ยกพู่กันขึ้น แล้ววาดหนึ่งดอกผกาลงในกระดาษ เป็นดอกโบตั๋นที่เบ่งบานสะพรั่ง

ดอกโบตั๋นดอกนี้ไม่มีอะไรพิเศษ กล่าวได้ว่าดูธรรมดา เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับภาพหมากดำที่วาดในวันนั้นตอนที่อยู่ที่ราชวิทยาลัยแล้ว ถือว่าดีกว่าหลายเท่ามาก

“น่าแปลก เพียงคืนเดียวสั้น ๆ ฝีมือการวาดภาพของกู้ชูหน่วนทำไมถึงก้าวหน้ามากเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อจะสามารถวาดดอกโบตั๋นที่มีสีสันออกมาได้”

“มีความก้าวหน้ามากแล้วอย่างไร ก็แค่ดอกไม้ธรรมดาที่ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร เจ้าคิดว่าจะมีประโยชน์รึ จับใครสักคนในที่นี้มาวาด ยังจะดูสวยงามกว่าที่นางวาดเสียอีก”

ผู้คนต่างส่ายหัวถอนหายใจ

อ๋องเจ๋อกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ทราบอยู่แล้วว่านางไม่มีทางจะชนะได้

เทพหมากกระดานกับสองอัจฉริยะแห่งแคว้นจ้าวก็อดที่จะขำไม่ได้ งานชุมนุมโต้วเหวิน การประลองวาดภาพ เธอกลับวาดเพียงดอกโบตั๋นที่สุดแสนธรรมดาเพียงดอกเดียว ไม่รู้จะสรรหาคำใดว่านางแล้วจริง ๆ

ในแววตาที่เย็นชาของเย่เฟิงมีความงุนงงสงสัยเล็กน้อย

แต่ไม่เหมือนกับการดูหมิ่นดูแคลนกู้ชูหน่วนของบรรดาผู้คนเหล่านั้น

“ฉางเจินอัจฉริยะแห่งแคว้นจ้าวนั้นวาดภาพทิวเขาต้นสน ฉางผิงอัจฉริยะแห่งแคว้นจ้าวนั้นวาดภาพสิบสองนางสนม”

บ่าวรับใช้นำภาพวาดของฉางเจินออกมาให้ชม เสียงชื่นชมของผู้คนดังก้องไม่หยุด

กู้ชูหน่วนจับเข้าที่คาง

สองอัจฉริยะแห่งแคว้นจ้าวช่างมีฝีมือจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพทิวเขาต้นสน หรือภาพสิบสองนางสนมล้วนวาดได้เสมือนจริง ประหนึ่งว่ามีชีวิตจริง ๆ

ภาพวาดทั้งสองนี้ ไม่ว่าจะภาพใด ก็ล้วนเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมเลยทีเดียว

แล้วมองไปทางทูตจากแคว้นจ้าว ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจและทะยานใจ

“เทพหมากกระดานได้วาดภาพเก็บเกี่ยวสารทฤดู อ๋องเจ๋อได้วาดภาพประเพณีชีซี”

เมื่อภาพวาดได้ถูกนำออกมาให้เชยชม ผู้คนต่างก็เซ็งแซ่คึกคัก

ภาพเก็บเกี่ยวสารทฤดูของเทพหมากกระดานได้ร่างวาดการเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์ของผู้คนในฤดูสารทออกมา พู่กันตวัดอย่างอิสระ งดงามอย่างเป็นธรรมชาติ

ภาพวาดประเพณีชีซีของอ๋องเจ๋อยิ่งแล้ว ในภาพเผยให้เห็นถึงความเอียงอายขวยเขิน วิตกกังวลของดรุณี ที่วาดออกมาได้เสมือนจริง

เขาลงเส้นพู่กันได้อย่างละเอียด การถวิลหาของดรุณี ความตื่นเต้นของบุรุษ ความงดงามของแสงจันทรา รวมไปถึงพลุดอกไม้ไฟที่สว่างไสวทั่วเมืองบนกระดาษ ราวกับว่าในภาพนั้นคือโลก ๆ หนึ่ง

“ให้ตายเถิด ภาพวาดของเทพหมากกระดานช่างวิจิตรงดงามเหลือเกิน”

“สามารถเรียกผลงานระดับเทพได้เลยทีเดียว งานชุมนุมโต้วเหวินในอดีตยังไม่เคยปรากฏสุดยอดภาพเช่นนี้มาก่อน”

“ถูกต้อง ภาพวาดของสองอัจฉริยะจากแคว้นจ้าว เทพหมากกระดาน และอ๋องเจ๋อ หากว่าเป็นอดีต สามารถชนะได้ที่หนึ่งอย่างง่ายดายแน่นอน วันนี้เป็นวันรวมตัวของเหล่าอัจฉริยะหรืออย่างไร”

อ๋องเจ๋อเผยรอยิ้มบนใบหน้า ราวกับว่ากำลังมีความสุขกับคำชื่นชมเยินยอของคนอื่น

กู้ชูหน่วนเองก็นึกไม่ถึงว่า ภาพวาดของอ๋องเจ๋อนั้นจะดูเยี่ยมยอดกว่าที่นางคิด

กล่าวจากใจจริง ภาพวาดของอ๋องเจ๋อดูสุดยอดกว่า เมื่อเทียบกับสองอัจฉริยะจากแคว้นจ้าว

แต่ว่านางกลับกล่าวยิ้มเยาะ “โอ๊ยโหยว ข้าก็ว่าทำไมอ๋องเจ๋อถึงได้ยกเลิกงานหมั้นของข้า ที่แท้เพราะถวิลหาคนรักนี่เอง ก็ไม่ทราบว่าเป็นลูกสาวบ้านใดกันที่จะเป็นผู้โชคร้าย”