เฉินจิ้งกลอกตา “เณรครับ ทำไมถึงหัวแข็งแบบนี้ล่ะ? ตอนนี้มีวัดไหนบ้างที่ไม่อยากให้นักข่าวมาทำข่าวรายงาน? เมื่อสามวันก่อนฉันยังได้รับเชิญจากวัดเมฆาขาวให้ไปทำข่าวพิเศษให้พวกเขาอยู่เลย ส่วนเณรเนี่ย พวกเรามาถึงที่ยังปิดประตูไม่ต้อนรับ ถ้ายังเป็นแบบนี้ จากนี้ไปพวกเราจะไม่รายงานเรื่องวัดนี้อีก ถึงตอนนั้นจะมีคนมาที่นี่น้อยมาก”

“อมิตาภพุทธ พวกโยมไม่ต้องพูดมาก แดนพุทธศาสนาจะเป็นที่สำหรับประลองไม่ได้ วันนี้วัดไม่ต้อนรับแขก ไว้พบกันใหม่” พูดจบฟางเจิ้งก็สะบัดแขนเสื้อ หยิบผ้าไปเช็ดถูอุโบสถ จะอยู่ที่นี่ไม่ได้ อีกฝ่ายพูดจายั่วยวนแบบนี้ เขากลัวว่าตนจะอดใจไม่ไหวตอบรับไปจริงๆ ตอนนั้นนอกจากหักคะแนนที่เป็นเรื่องเล็กแล้ว ยังหักบุญกุศลที่อนาถยิ่งกว่าด้วย! เขามีบุญกุศลแค่สิบหก ไม่พอให้หักแล้ว ถ้าได้เพลิงกรรมชั่วมา จะผ่านช่วงนี้ไปได้ไหม?

เสียงฝีเท้าฟางเจิ้งเดินไกลออกไป พวกคนข้างนอกมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี

“จิ่งเหยียน เธอจัดการกางเกงให้ดีก่อนเถอะ” ไชฟางเห็นจิ่งเหยียนที่เหม่อลอยก็อดพูดเตือนไม่ได้

แต่ผู้ชายคนอื่นๆ กลับเงยหน้าขึ้นสูง ทำทีว่ามองไม่เห็นแต่กลับพยายามชำเลืองตามองสุดชีวิต ทำเหมือนกับว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้

จิ่งเหยียนหน้าแดง แต่กระโปรงถูกหมาป่าเดียวดายฉีกลงไป หายไปในวัด อีกทั้งยังชำรุดแล้ว คงสวมใส่ไม่ได้อีก แถมเธอยังไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเผื่อด้วย จึงกลุ้มใจเล็กน้อย

ตอนนี้เองเฉินจิ้งถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วส่งไปให้ “จิ่งเหยียน เธอพันเอวไว้สิ น่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”

เดิมทีจิ่งเหยียนอยากปฏิเสธ แต่สวมกางเกงรองพื้นเดินไปเดินมาแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับแก้ผ้า มันน่าอายจริงๆ จึงพยักหน้าตกลง เอาชุดนอกมาพันรอบเอว บังส่วนครึ่งล่างไว้

ไม่มีวิวอะไรมองแล้ว ช่างกล้องที่มองวิวจึงละสายตากลับไป

ช่างภาพหนึ่งในนั้นถามไชฟาง “อาจารย์ไช จะทำยังไงดีครับ? ปิดประตูแล้วพวกเราเข้าไปไม่ได้ อีกเดี๋ยวพวกโอวหยางหวาไจจะมาแล้ว หรือว่าจะถูกปฏิเสธเหมือนกัน? อย่างนั้นวันนี้เราก็มาเสียเที่ยวล่ะสิ? ก่อนหน้านี้เสียหน้าหนังสือพิมพ์ประกาศการประลองวันนี้ไปซะเยอะ แต่ดันไม่เป็นไปตามนัดซะได้ แล้วสำนักพิมพ์พวกเราจะมีหน้าไปไว้ที่ไหน”

ไชฟางกับจิ่งเหยียนมีสีหน้าจนปัญญา

เฉินจิ้งวนไปรอบๆ สุดท้ายก็มองกำแพงที่ถือว่าไม่สูง เอ่ยด้วยความปราดเปรียว่า “เข้าประตูไม่ได้พวกเราก็ปีนกำแพงสิ! กำแพงไม่สูง กระโดดถึงสันกำแพงได้ ข้ามไปง่ายนิดเดียว แค่เข้าไปได้ก็เปิดประตูใหญ่จากข้างในได้”

“มีเหตุผล นายปีนสิ” ในที่สุดจิ่งเหยียนก็พูด แต่ทำเอาเฉินจิ้งลำบากใจ เขาออกความคิดเห็นได้ แต่ให้ปีนกำแพง? เขาไม่กล้า!

ถ้าหลวงจีนสุดยอดที่โยนหมาป่าตัวใหญ่ขนาดนั้นได้พบเข้า เขาจะต้องถูกหักขา ซ้ำยังถูกโยนออกมารึเปล่า?

ทว่าจิ่งเหยียนพูดแล้วเขาก็ไม่อยากปฏิเสธ หญิงงามอยู่ตรงหน้าต้องใจกล้าไว้ ภายใต้การกระตุ้นด้วยความเป็นผู้ชาย เฉินจิ้งจึงกัดฟัน “ได้ พวกเธอรอฉัน!”

พูดจบเฉินจิ้งก็กระโดดเกาะสันกำแพง จากนั้นออกแรงกระโดด…กระโดด…กระโดดๆ…จนตกลงมา

เห็นท่าทางขยะอย่างเฉินจิ้งแล้วจิ่งเหยียนมองค้อนไปทีหนึ่ง แล้วด่าทอเบาๆ “ขยะจริงๆ”

เฉินจิ้งหน้าแดงก่ำ รีบเรียกให้ช่างกล้องตนมาช่วย ดันก้นขึ้นไป พยายามปีนสุดชีวิตจนปีนขึ้นมาได้…

และในตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังทำความสะอาดอุโบสถ แต่ก็เห็นว่าใต้โต๊ะในอุโบสถมีการเคลื่อนไหว จึงนอนหมอบดู เห็นหนูตัวหนึ่งกำลังซ่อนอยู่ข้างใน พอเห็นฟางเจิ้งมันก็วิ่งหนีไป!

ฟางเจิ้งพลันโกรธ อุโบสถเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของพุทธ ในนี้บูชาเทวรูป! หนูเข้ามาไม่เท่าไร ทุกสรรพสัตว์อยู่ระดับเดียวกัน แต่เจ้านี่คาบเครื่องบรรณาการไว้ด้วยมันหมายความว่ายังไง? ไม่จุดธูป ไม่ไหว้พระ ไม่บริจาคเงินจุดธูป แถมยังขโมยของอีก?

ฟางเจิ้งตะโกนเสียงดัง “หยุดอยู่ตรงนั้นเลย!”

แต่เฉินจิ้งที่ปีนขึ้นมาบนสันกำแพงกล้ามเนื้อบีบรัดตัวทั่วร่างเพราะความตึงเครียด สติตึงแน่นเปรี๊ยะ พอได้ยินเสียงตะโกนก็ตัวสั่น ตกลงมาดังโครม!

ดีที่ช่างกล้องข้างล่างมือเร็วรับเขาไว้ทัน แต่สองคนก็กลายเป็นน้ำเต้ากลิ้งไปบนพื้นพร้อมกัน

จิ่งเหยียนเห็นดังนั้นก็หมุนตัวกลับทนมองไม่ได้ ผู้ชายขยะแบบนี้เธอสงสัยว่าเติบโตมายังไง! ดูเณรนั่นสิ แค่โบกมือก็โยนหมาป่าออกไปแล้ว แต่เจ้านี่ร่างกายกำยำสูงใหญ่ แขนขากระชับ กลับปีนกำแพงไม่ได้…

“เฉินจิ้ง ถ้าไม่ไหวก็ให้เสี่ยวหลัวลองดูไหม?” ไชฟางตรงเข้ามาพูดด้วยความเป็นห่วง เสี่ยวหลัวคือช่างกล้องข้างๆ ไชฟาง อายุไม่เยอะ พอได้ยินไชฟางพูดแบบนี้ก็อยากลอง โดยเฉพาะแววตาเล็กๆ นั่นเหลือบมองจิ่งเหยียนคนสวยตลอดเวลา

เดิมทีเฉินจิ้งจะยอมแพ้ อยากจะใช้ประโยชน์จากคนอื่น แต่เห็นแววตาเสี่ยวหลัวแล้ว ความอยากอวดภูมิของบุรุษปะทุขึ้นอีกครั้ง จึงพูดปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาด “ไม่ต้อง เมื่อกี้เข้าใจผิด ครั้งนี้สำเร็จแน่! เหล่าเหมียว ช่วยฉันอีกที ดันฉันขึ้นไป!”

“เฉินจิ้ง เอ่อ ฉันว่านะให้เสี่ยวหลัวลองดีกว่าไหม?” เหล่าเหมียวถูกเฉินจิ้งทับใส่จนเกิดเงามืดภายในใจแล้ว

“ลองก็บ้าสิ! คนโบราณสอนพวกเราว่าถ้าตกที่ไหนจะต้องปีนที่นั่นให้ได้ ดันฉันขึ้นไป!” เฉินจิ้งพูดด้วยความโกรธ ขายหน้าไปแล้ว เขาจะต้องกู้หน้ากลับมาในเรื่องนี้ให้ได้!

เหล่าเหมียวจำใจต้องดันเฉินจิ้งปีนกำแพงอีกครั้ง เฉินจิ้งออกแรงทั้งหมดอีกครั้ง เริ่มปีนกำแพงขึ้นไป

ในอุโบสถ ฟางเจิ้งถือไม้กวาดพลางไล่ตามหนูที่วิ่งมั่วไปมา ขณะเดียวกันยังต่อว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!็” ครั้งก่อนตะโกนเสียงดังกลัวว่าจะรบกวนพระโพธิสัตว์ ครั้งนี้เขาจึงลดเสียงลงมา

หนูกลับวิ่งเร็วกว่าเดิม ดวงตาเล็กกวาดมองแถมยังส่ายหาง

ฟางเจิ้งโกรธกว่าเดิม รีบไล่ตามไปยกไม้กวาดจะตี แต่นึกได้ว่าฆ่าสัตว์เป็นบาปเลยล้มเลิกความคิดแล้วยื่นมือไปคว้า

น่าเสียดายหนูเร็วมาก คว้ากี่ทีก็ได้แต่เงาแผ่นหลังสีเทา จากนั้นเกาะผ่านลูกประคำขึ้นไปบนคาน! นอนหมอบอยู่บนคาน มองฟางเจิ้งอย่างชั่วร้าย สะบัดฟางไปมา ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็โมโหใหญ่ “เจ้าตัวเล็กกล้าหัวเราะเยาะฉันเหรอ? แน่จริงก็ลงมา!”

หนูพลิกตัวหันก้นให้เขา! จากนั้นคลานไปอีกด้าน ก่อนกระโดดไปยังโคมไฟ!

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ตกใจสะดุ้ง! ไฟในอุโบสถเป็นตะเกียงน้ำมัน ไม่ใช่หลอดไฟ!

หนูขยับไหวไปมาข้างบน น้ำมันตะเกียงสาดลงมา นั่นมันเงินนะ!

ฟางเจิ้งร้อนรนแล้วจึงตะโกนเสียงดัง “ลงมา!”

โครม!

หนูไม่สนใจ แต่เฉินจิ้งที่เพิ่งปีนกำแพงตกใจ มืออ่อนยวบ หัวดิ่งลงไป!

เหล่าเหมียวเห็นดังนั้นก็เข้าไปรับซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเขา ทว่ารับไม่ได้อย่างที่ทุกคนคาดหวังไว้ เฉินจิ้งตกลงมาสี่ขาชี้ขึ้นฟ้า นอนกุมเอวร้องโอดโอยไม่หยุด

………………………………………………