ตอนที่ 518 คืบหน้าไปมาก

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

“ได้สิ ถ้าเธอรักษายายแก่คนนี้ให้เชื่อฟังได้ล่ะก็ จะเอาเท่าไรฉันจะควักกระเป๋าจ่ายเอง แต่ฉันไม่ได้มีเงินเยอะอย่างเขาหรอกนะ” อาเขยรู้สึกขำ 

 

 

“ญาติกันหนูจะเก็บแพงได้ยังไงล่ะคะ เอาแบบนี้ไม่ต้องให้เงินหนูหรอกค่ะ อาหญิงมีพวกหินแพงๆตั้งเยอะแยะ เอามาให้หนูสักชิ้นสองชิ้น หนูไม่เรื่องมาก รับประกันเลยว่าอีกหน่อยอาหญิงจะเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่กับบ้านไม่ออกไปก่อเรื่องข้างนอกแน่นอนค่ะ” 

 

 

หิน…พ่อหลี่ฟังแค่นี้ก็เข้าใจ หมายถึงหินหยกที่วางประดับอยู่ในห้องหนังสือหลายก้อนนั่นสินะ? แม่อวี๋เองก็สนุกไปด้วย 

 

 

นั่นเป็นของที่อาหญิงพยายามเอามันไปจากเธอ ล้วนเป็นของดีที่ฉีเยี่ยน้องชายเธอทำออกมา ถึงจะเป็นหินที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไน แต่ได้ผ่าเปิดข้างในแล้ว มองเห็นหยกที่อยู่ในนั้น เพราะเสียดายไม่อยากเอาออกมาเลยยกให้พี่สาว อาหญิงพอมาหาแล้วเห็นเข้าก็จะเอาให้ได้ 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่เกรงใจ แย่งไปยังไงก็ต้องเอากลับมาคืน 

 

 

“ถ้าเธออยากได้ฉันก็จะให้ ขอแค่จัดการเมียฉันให้อยู่หมัดเสียที เดี๋ยวฉันแถมกาน้ำชาดินเผาให้ด้วย ของชิ้นนี้ฉันไม่ให้ใครง่ายๆหรอกนะ เป็นรุ่นลิมิเต็ดอีดิชั่นที่เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ให้มา ตอนนี้เขาอายุมาก ไม่มีแรงทำแล้ว” 

 

 

“เสี่ยวเชี่ยนรีบขอบคุณอาเขยเร็ว” 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นท่าทางของแม่อวี๋ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นของมีค่ามาก จึงรีบขอบคุณอาเขยอย่างไม่เกรงใจ 

 

 

ของมีคุณค่าทางศิลปะแบบนี้ ถึงแม้ตอนนี้จะมองราคาไม่ออก แต่กาน้ำชาดินเผาดีๆผ่านไปอีกหลายสิบปีเอาไปขายในราคาหลักแสนหรือหลักล้านก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร โดยเฉพาะกาน้ำชาที่อาเขยพูดถึงเป็นของอาจารย์คนดังที่ตอนนี้เลิกทำไปแล้ว 

 

 

ดังนั้นหากผ่านไปอีกไม่กี่ปีอาจารย์คนนี้ไปอยู่บนสวรรค์ ของชิ้นนี้ก็จะราคาพุ่งสูง เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนธรรมดาไม่เข้าใจเรื่องคุณค่างานศิลปะ ชอบเอาบ้านมาเป็นตัววัดมูลค่ามากกว่า คาดว่ากาใบนี้อีกสิบปีให้หลังคงซื้อบ้านได้สองหลัง 

 

 

หลักการของเสี่ยวเชี่ยนก็คือไม่ต้องสนว่าเธอจะรู้จักคุณค่าของผลงานศิลปะพวกนี้หรือไม่ เอาไปขายแล้วได้เงินล้วนเป็นของดี 

 

 

“รอหนูรักษาหลี่เจิ้นเสร็จหนูจะร่างแผนการรักษาอย่างละเอียดให้นะคะ อาเขยทำตามที่หนูบอก รับรองค่ะว่าถ้าเจอความคิดแบบสังคมศักดินาเข้าไป ผู้ชายมีตัวตนในบ้านแน่นอน” 

 

 

“เธอทำได้จริงๆเหรอ?” อาเขยคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนพูดเล่น 

 

 

“ผู้ป่วยที่อาการหนักขนาดหลี่เจิ้นมีไม่มาก คนส่วนใหญ่จะเป็นแบบอาหญิงมากกว่าที่ไม่ถึงกับป่วย แต่ยังใช้ชีวิตแบบคิดไม่ได้ คนประเภทนี้พวกเราไม่เรียกว่าเป็นผู้ป่วย แต่เป็นผู้เข้ารับการปรึกษา ซึ่งนักให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ อย่าว่าแต่คนป่วยรอบตัวพวกเรามีเยอะแล้วเลยค่ะ อันที่จริงถ้าลองสังเกตดูดีๆทุกคนต่างต้องการเข้ารับคำปรึกษาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องความสัมพันธ์ ธุรกิจ ญาติพี่น้อง เพื่อน พวกเราให้คำปรึกษาได้ เพราะถ้านำพฤติกรรมของมนุษย์มาจัดไว้ในสาขาความรู้ของพวกเรา ทุกคนต่างถูกแบ่งแยกลงในประเภทต่างๆได้ทั้งนั้น” 

 

 

ชาติที่แล้วงานของเสี่ยวเชี่ยนส่วนใหญ่จะเป็นการให้คำปรึกษาแนวๆ ชีวิตคู่ไม่มีความสุขทำอย่างไรดี สามีแอบไปรักผู้หญิงคนอื่นทำอย่างไรดี คนที่อาการหนักถึงขั้นป่วยจริงๆนั้นมีน้อย แต่ทุกคนต่างมีความกลุ้มใจในเรื่องที่แตกต่างกัน นี่ก็ถือเป็นรายได้ที่ไม่น้อยสำหรับเธอเลยทีเดียว 

 

 

“อาการป่วยของลูกชายฉันตกลงมันมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่?” 

 

 

“โรคจิตเวชกายใจที่เกิดมาจากการถูกเพ่งเล็ง จากการรักษาเมื่อวานหนูพบว่าอาการป่วยของเขาเกี่ยวข้องกับการโดนดูถูกเรื่องรสนิยมทางเพศจากเมื่อก่อน เพราะกังวลว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจและดูถูก พอมันขยายเป็นวงกว้างหลังจากที่ร่างกายป่วย เลยทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติที่เกี่ยวเนื่องกับประสาท สาเหตุของปัญหาก็คืออาเขยค่ะ” 

 

 

“ฉันเหรอ?” อาเขยพูดด้วยความตกใจ 

 

 

“ใช่ค่ะ ในใจของเขาพ่อมีตัวตนที่ค่อนข้างพิเศษ แต่อาเขยไม่เข้าใจถึงปัญหาเรื่องรสนิยมทางเพศของเขาเลย ความกดดันในใจของเขามีมาก ดังนั้นวันนี้หนูเลยอยากให้อาเขยเข้าร่วมการรักษาด้วยค่ะ สองพ่อลูกต้องคุยเปิดอกกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ” 

 

 

หลายสิ่งหลายอย่างที่มองดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน ทั้งที่จริงแล้วเกี่ยวข้องกันอย่างมาก 

 

 

พ่อหลี่รับไม่ได้มาตลอดที่ลูกชายชอบผู้ชาย แต่ครั้งนี้หลี่เจิ้นเกือบพิการ กลับทำให้เขาปล่อยวางได้ 

 

 

ชอบผู้ชายแล้วยังไงล่ะ ชอบผู้หญิงแล้วยังไง ลูกมีสุขภาพแข็งแรงก็พอแล้ว เรื่องทายาทสืบสกุลอะไรพวกนั้น เขาให้ความสำคัญน้อยลงไปมาก 

 

 

“ไม่ถูกสิเสี่ยวเชี่ยน หนูหมายความว่า ปัญหาของหลี่เจิ้นเกิดจากพ่อ ไม่ใช่แม่อย่างนั้นเหรอ?” 

 

 

“จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ค่ะ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องเยอะ” 

 

 

“แล้วหนูยังใช้อาหญิงแบบนั้น—” พอแม่หญิงเห็นเสี่ยวเชี่ยนดันแว่นตาก็หยุดพูด 

 

 

“หนูเป็นจิตแพทย์ที่มีจรรยาบรรณทางวิชาชีพค่ะ เห็นอาหญิงทำตัวไม่เหมาะสมหนูก็ต้องปรับปรุงให้ นี่คือจรรยาบรรณค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนพูดพลางพยักหน้าอย่างจริงจัง 

 

 

ความหมายก็คือ ก็แค่เห็นแล้วขัดหูขัดตา จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ? 

 

 

“เธอรักษาเขาแบบนี้ไม่คิดเงินใช่ไหม?” อาเขยแกล้งแซว 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนตอบอย่างจริงจัง “ไม่แน่นอนค่ะ” 

 

 

“อ่อ งั้นก็ตามสบาย” 

 

 

การรักษาคืบหน้าไปไวกว่าที่คิดไว้ เสี่ยวเชี่ยนวินิจฉัยได้ตรงจุด หลังจากที่อาเขยเข้าร่วมด้วย การรักษาก็ยิ่งราบรื่นขึ้น 

 

 

ปัญหาที่ดูเหมือนหนักหนา อันที่จริงวิธีแก้ปัญหาง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย ประเด็นคือต้องดูว่าจะหากุญแจที่ไขรหัสลับในจิตใจได้หรือไม่ เสี่ยวเชี่ยนจัดการปัญหาได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ถ้าใช้วิธีผิดกับตัวบุคคล ก็อาจจะกลายเป็นยิ่งรักษายิ่งแย่ สิ่งสำคัญคือต้องใช้วิธีที่ถูกต้อง 

 

 

แม่อวี๋เฝ้าอยู่ข้างนอกตลอด ครั้งนี้เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนาน เกือบสามชั่วโมง ตอนที่พ่อหลี่ออกมาขอบตาแดงๆ คล้ายกับเพิ่งร้องไห้มา 

 

 

“เป็นไงบ้าง ลูกมีความรู้สึกหรือยัง?” อาหญิงรีบเข้าไป 

 

 

พ่อหลี่พยักหน้าอย่างตื่นเต้น ไม่อาจบรรยายความรู้สึกภายในจิตใจได้ 

 

 

เมื่อครู่เขากับลูกชายคุยกันอย่างเปิดอก รู้สึกว่าช่วงหลายปีมานี้ลูกชายเองก็ไม่ง่าย ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะรักษาลูก ยังได้สั่งสอนเขาด้วย เงินที่เสียไปคุ้มค่ามากจริงๆ คล้ายกับว่าได้ทำลายกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างพ่อลูกไป 

 

 

“ฉันเข้าไปเจอลูกได้หรือเปล่า?” อาหญิงถามเสี่ยวเชี่ยน พอได้ยินว่าลูกชายมีความรู้สึกแล้วก็ดีใจมาก 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนหยิบกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจิบ 

 

 

“เย็นแล้ว…” 

 

 

“ให้ฉันเจอลูกชายหน่อย แล้วจะเอากี่แก้วฉันจะไปซื้อให้” 

 

 

“พอคุณซื้อกลับมาเขาก็คงจะตื่นพอดี ให้คุณเข้าไปเจอหลังจากเขาตื่นได้ค่ะ แต่อะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูดคุณควรจะรู้ดีนะคะ” 

 

 

“รู้ๆๆ” อาหญิงรีบพยักหน้ารัวๆ ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนพูดอะไรเธอก็ทำหมด ไม่กล้าลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว 

 

 

“แล้วก็ ตอนเย็นหลี่เจิ้นต้องกินซุป คุณซื้อวัตถุดิบแล้วไปทำที่บ้านคุณน้าแบบเดิมได้นะคะ” 

 

 

“ได้ๆ” 

 

 

“วันนี้น้าแม่บ้านหยุด อาหารของคนทั้งบ้านคงต้องรบกวนคุณด้วย แล้วก็งานซักผ้าอะไรต่อมิอะไร วางใจได้ฉันจะเอาผลงานของคุณไปเล่าให้หลี่เจิ้นฟังแน่ เขาจะต้องดีใจอย่างแน่นอน เขามีความสุขไม่แน่ว่าการรักษาครั้งหน้าอาจจะดีขึ้นมาก” 

 

 

อาหญิงได้ยินดังนั้นก็มีพลังฮึกเหิม “พี่สะใภ้ พวกพี่อยากกินอะไรบอกฉันมา เดี๋ยวฉันไปซื้อทีเดียว” 

 

 

“ก็ง่ายๆน่ะ อย่างพระกระโดดกำแพง—” 

 

 

แม่อวี๋เห็นอาหญิงทำหน้าเบ้ ในใจรู้สึกขำกลิ้ง “ของยุ่งยากแบบนั้นจะให้เธอทำได้ไงเล่า เธอทำกับข้าวง่ายๆสองสามอย่างก็พอ แต่ตอนเย็นคนอาจจะเยอะหน่อย เจ้าใหญ่จะมากันทั้งครอบครัว แล้วก็กับข้าวของพ่านพ่านต้องทำแยกต่างหาก ลูกสองคนของเจ้าใหญ่ไม่เลือกกิน แต่ชอบกินเนื้อสัตว์ ฉันกับพี่เธอชอบกินอะไรเธอน่าจะรู้—เสี่ยวเชี่ยนจ๊ะหนูจะกินด้วยกันไหม?” 

 

 

“คงไม่ค่ะ หนูกลับไปกินกับแม่ ได้ยินว่าอาหญิงเคยไปเรียนทำขนมด้วย? แม่ฉันชอบกินสปันจ์เค้กมะม่วงมากค่ะ…”