บทที่ 99 รู้ฐานะของตัวเองด้วย

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 99

รู้ฐานะของตัวเองด้วย

เฉิงเหยียนได้ยินก็ได้มองไปที่มหาเสนาบดีหลินด้วยใบหน้าที่เสียใจ ในเวลานี้เฉิงเหยียนนั้นกำลังอยู่ในใจของมหาเสนาบดีหลิน และเมื่อเห็นคนอื่นรังแกนางเช่นนี้ มหาเสนาบดีหลินจึงได้จ้องมองไปที่ฮูหยินอวี้ด้วยสายตาที่ไม่ดีนัก “เจ้าที่เป็นถึงนายหญิงพูดด้วยวาจารุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“ท่านพี่? ทำไมท่านถึงได้…..” ฮูหยินอวี้ก็ได้มองไปที่มหาเสนาบดีหลินที่ปกป้องเฉิงเหยียนอย่างออกนอกหน้าแล้ว ฮูหยินอวี้ก็ได้โกรธจัดขึ้นมา

มหาเสนาบดีหลินนั้นไม่ชอบให้คนอื่นตั้งคำถามใส่เขาเท่าใดนัก จึงได้มองไปที่ฮูหยินอวี้ “เหยียนเอ๋อนั้นต้องท้องลูกของข้าอยู่ เจ้าก็ควรที่จะใจดีกับนางหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะโทษข้าไม่ได้ถ้าข้าจะถอนสิทธิในจวนนี้ของเจ้า”

นางก็จะไม่ต่างอะไรไปจากอนุเลยหากว่าสิทธิของนางถูกถอดถอนออกไป แน่นอนว่ามันเป็นการกระทำที่โหดร้ายและไร้หัวใจมาก ฮูหยินอวี้นั้นไม่อยากเชื่ออยู่สักพักหนึ่ง ว่านางจะถูกพูดเช่นนี้โดยสามีของนางที่อยู่ด้วยมานานหลายปี

บางทีอาจเป็นเพราะเห็นสีหน้าที่ตกใจของฮูหยินอวี้แล้ว ทำให้มหาเสนาบดีหลินรู้สึกตัวว่าเขานั้นได้พูดคำที่โหดร้ายมากออกไปเข้าจึงได้พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “เจ้าเป็นถึงฮูหยินใหญ่ของจวนนี้ เจ้าจึงควรที่จะรับฟังคนอื่นบ้าง”

ฮูหยินอวี้ก้มหัวของนางแล้วผงกหัว น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของนางแต่ไม่ได้ไหลรินออกมา

มหาเสนาบดีหลินจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อ แล้วถอนหายใจและออกไปพร้อมกับเฉิงเหยียน

“นี่คือชายคนที่ข้าพยายามแต่งกับเขาอย่างนั้นเหรอ?” ฮูหยินอวี้ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและบ่นพึมพำออกมาเบาๆ แล้วก็มีเสียงครางเบาๆดังเข้าหูของนางทำให้นางรู้สึกตัวขึ้นมา

ในเวลานี้ฮูหยินอวี้เพิ่งนึกได้ว่าลูกสาวของนางนั้นบาดเจ็บสาหัสอยู่ นางจึงได้รีบประคองพาหลินหัวเยว่กลับไปยังตำหนัก แล้วส่งคนไปหาหมอกลับมารักษานาง ส่วนคนที่ยังหมดสติอยู่ที่ตำหนักเชียนเหยียนนั้น ฮูหยินอวี้นั้นลืมไปเสียสนิทใจเลย

ณ ตำหนักเชียนเหยียน หลินซีเหยียนได้ให้ยากับรั่วฉุ่ยแล้วจากนั้นก็รักษาอาการบาดเจ็บของจิ่งชุน, ป้าจ้าวและแม่ครัว

ส่วนจี๋เฟิงที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูอยู่นั้นก็ได้เดินเข้ามาแล้วก้มหัวให้กับหลินซีเหยียนแล้วรายงาน “พระชายาขอรับ ข้าได้โยนคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักเชียนเหยียนออกไปนอกตำหนักหมดแล้วขอรับ”

หลินซีเหยียนก็ผงกหัว แล้วจากนั้นก็นางก็นึกขึ้นได้ว่านางนั้นไม่เห็นเจ้าตัวแสบเทียนเอ๋อเลย นางจึงได้ถาม “จี๋เฟิง เจ้าเห็นเทียนเอ๋อบ้างหรือไม่?”

จี๋เฟิงก็ได้ส่ายหัวของเขาด้วยสีหน้าที่ช่วยไม่ได้ หลินซีเหยียนจึงรู้ได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเพียงแค่มองผ่านๆ นางจึงได้พูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้น “เขาไปทำอะไรอยู่?”

จี๋เฟิงจึงได้กล่าวอย่างกล้าๆกลัวๆ “นายน้อยสั่งเอาไว้ว่าให้เก็บเป็นความลับขอรับ”

หลินซีเหยียนก็ได้บิดข้อมือของนาง แล้วพูดด้วยดวงตาที่ตื่นเต้น “ในเมื่อเจ้าจงรักภักดีนัก เจ้าก็มาสู้กับข้า ถ้าข้าชนะเจ้าต้องบอกมา”

เดิมทีหลินซีเหยียนนั้นเคยคิดเรื่องนี้อยู่นานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่นางได้ลาท่านอาจารย์และลงจากเขามา ไม่มีใครที่สามารถให้คำปรึกษานางได้อีก นางจึงไม่รู้ว่าจะมีลูกเล่นที่นางมีนั้นจะสามารถเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของยอดฝีมือโดยไม่ใช้กำลังภายในได้ไหม?

จี๋เฟิงจึงได้รีบคุกเข่าทันที “พระชายาขอรับข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยจะบอกพระชายาว่านายน้อยไปที่ไหนเดี๋ยวนี้แหละขอรับ”

เมื่อเห็นท่าทีของจี๋เฟิงแล้วหลินซีเหยียนก็มีสีหน้าไม่ยินดีขึ้นมา นางก็ได้บิดปากของนางแล้วกล่าว “วันนี้เจ้าจะต้องสู้กับข้า!”

“ข้าน้อยทำไม่ได้จริงๆขอรับพระชายา ท่านจะทำเช่นไรหากข้าน้อยเกิดไปทำร้ายท่านเข้า?” จี๋เฟิงกล่าวอย่างร้อนรน

หลินซีเหยียนที่รู้ดีว่าเขานั้นกังวลตัวนางจริงๆแล้ว ก็ได้โบกมือของนางอย่างห้าวหาญ “ไม่เป็นไรหรอก ข้าเป็นถึงหมอผีเลยนะ ตราบเท่าที่ข้าไม่ตาย ข้าสามารถรักษาบาดแผลได้อยู่แล้ว”

หลินซีเหยียนนั้นดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ แล้วจากนั้นก็ได้พูดกับจี๋เฟิง “จะว่าไปการแต่งงานของข้ากับ องค์ชายเย่นั้นถูกยกเลิกแล้ว เจ้าเรียกข้าแค่ว่าคุณหนูได้แล้วนะ!”

จี๋เฟิงก็ได้ผงกหัว และในขณะที่ทั้งสองคนกับคุยกันอยู่นั้น คนเฝ้าประตูก็ได้ขานประกาศขึ้นมา “คุณหนูรอง มีจดหมายแจ้งเข้ามาขอพบคุณหนูขอรับ”

หลินซีเหยียนจึงได้รับจดหมายมา แล้วจ้องมองดูก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “คุณหนูของจวนกว๋อกงซางกวนอย่างนั้นเหรอ?”

ผู้ดูแลประตูไม่เข้าใจว่าหลินซีเหยียนนั้นหัวเราะทำไม และผงกหัวรับอย่างไม่สนใจ แล้วจากนั้นก็นึกได้ถึงความน่าตกตะลึงของแม่นางซางกวนที่อยู่ข้างนอก นางนั้นงดงามมาก

“เชิญนางเข้ามาได้!” หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มและที่มุมตาของนางก็เป็นสีแดง ในเวลานี้นางนั้นดูงดงามหยดย้อยมาก ทำให้คนเฝ้าประตูต้องจับจ้องไปที่นาง แล้วเขาก็แอบเปรียบเทียบในใจ แล้วคิดว่าระหว่างคุณหนูรองกับคุณหนูซางกวนใครงดงามมากกว่าใครกันแน่?

แต่แล้วเขาก็สรุปได้ว่าคุณหนูรองนั้นงดงามกว่า แม้นางจะไม่ได้งดงามที่สุดในโลก แต่นางก็งดงามไม่แพ้ดอกไม้ไฟเลยทีเดียว

จี๋เฟิงก็ได้มองไปที่คนเฝ้าประตูที่กำลังอ้ำอึ้ง จึงได้ไปตบไหล่เขาเบาๆเพื่อเรียกสติ หลังจากที่เขาได้สติกลับมาแล้ว คนเฝ้าประตูก็นึกขึ้นได้ว่าเขานั้นมัวแต่เหม่อลอยอยู่ เขาจึงได้รีบออกไปทันที

จี๋เฟิงก็ได้มองไปที่ด้านหลังของคนเฝ้าประตูจึงได้ถามอย่างสงสัย “คุณหนูเคยพบกับคุณหนูซางกวนด้วยอย่างนั้นเหรอขอรับ? จากที่ข้าเคยตรวจสอบมา ดูเหมือนว่าตระกูลซางกวนจะไม่มีลูกสาวนะขอรับ”

หลินซีเหยียนจึงได้หัวเราะออกมาเมื่อได้ยินที่จี๋เฟิงพูดถึงเรื่องนี้ ในตอนที่เขาเป็นหลินอวิ๋นเซวียนเมื่อไม่กี่วันก่อน นางได้บอกแผนกับซางกวนจินไปว่า ถ้าเขาไม่อยากที่จะก่อปัญหาให้กับนางแล้ว เขาก็จะต้องมาที่นี่ในชุดของผู้หญิง

ในตอนนั้นนางก็แค่พูดล้อเล่นไปเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงจริงๆ……..

มันเป็นไปได้เลยที่จะบอกว่านางนั้นไม่รู้สึกผิด อย่างไรเสียซางกวนจิ่นก็ได้อุตส่าห์มอบยาหุยชุยให้แก่นาง แต่ในขณะที่นางรู้สึกผิดแต่นางก็อดไม่ได้ที่จะรอดูว่าซางกวนจิ่นจะแต่งตัวเป็นสาวออกมาดีขนาดไหน?

ภายใต้การนำทางของคนเฝ้าประตู แม่นางซางกวนก็ได้เข้ามาในชุดสีชมพูที่พันไว้ในมือ และบังหน้าครึ่งหนึ่งขอนางเอาไว้ เหลือเอาไว้แค่ดวงตาที่น่าหลงใหล

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่คุณหนูซางกวนที่อยู่ตรงหน้านาง แล้วได้พยายามอย่างมากที่จะกลั้นหัวเราะเอาไว้ และถามด้วยสีหน้านิ่งๆ “ไม่ทราบว่าแม่นางซางกวนมาขอพบกับข้าไม่ทราบว่ามีธุระอันใดกับข้ารึ?”

จี๋เฟิงนั้นเป็นผู้คุมกัน เขานั้นมีดวงตาทองคำอย่างที่เหล้าผู้คุ้มกันทุกคนต้องมีและสามารถมองทะลุถึงตัวตนได้ว่าเป็นศัตรูหรือไม่ ดังนั้นซางกวนจิ่นจึงไม่อาจปิดบังตนเองได้และเขาสามารถมองเห็นได้เพียงมองแค่ปราดเดียวเท่านั้น

จากนั้นเขาก็ได้เดินไปหาหลินซีเหยียนและกระซิบกับนางอย่างจริงจัง “คุณหนู คนคนนี้น่าจะมีปัญหา เขาได้ปลอมตัวเป็นผู้หญิงขอรับ”

หลินซีเหยียนที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว นางจึงได้พูดด้วยน้ำเสียงค่อยตอบกลับจี๋เฟิงไป “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร เจ้าเองก็สังเกตได้ดีนะจี๋เฟิง”

ซางกวนจิ่นก็ได้มองไปที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อที่เขาอยากพบมาก และพบว่านางนั้นมีคนคุ้มกันคอยอยู่เคียงข้างด้วยแล้ว ทำให้เขาที่ปลอมตัวเป็นผู้หญิงอยู่นั้นเกิดรู้สึกอายขึ้นมา “แม่นางหลิน ข้ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดกับท่านเพียงลำพัง มันไม่ค่อยสะดวกที่จะมีคนอื่นอยู่ด้วยตอนที่คุยเรื่องนี้”

มองแค่ปราดเดียวซางกวนจิ่นนั้นเหมือนจะพูดไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้วมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ในเวลานี้เขาได้ลุกขึ้นยืนอย่างหนักแน่นอยู่ตรงหน้าหลินซีเหยียนและจี๋เฟิง และหวังที่จะแยกทั้งคู่จากกัน

“แม่นางซางกวนพูดที่นี่ก็ได้ ที่นี่มีแต่คนของข้าเท่านั้น” หลินซีเหยียนก็ได้แกล้งทำเป็นสงบนิ่ง แต่แอบขำเล็กๆอยู่ในใจ

ซางกวนจิ่นนั้นทั้งสูงและหล่อเหลา ในเวลานี้แต่งเป็นผู้หญิงถึงแม้ว่าใบหน้านั้นจะสวยงามมาก แต่เขาก็ยังดูบึกบึนอยู่ดี ด้วยท่าทางที่ดูแข็งขันเมื่อสักครู่นี้ทำเอาหลินซีเหยียนแทบอยากจะสำรอกเอาอาหารที่ทานไปเมื่อคืนออกมา

นางจึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ได้ทำเป็นสีหน้าใจดีแล้วพูด “แม่นางซางกวน ไม่ทราบว่าท่านมีธุระสำคัญอันใดถึงได้มาพบข้าอย่างนั้นรึ?”