“ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนต่างมีบัตรประชาชน สภาพอารมณ์ของอาจารย์ตอนนี้คงเย็นลงแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนไล่คนออกไป ภายในห้องจึงเหลือแค่เธอกับหูเหม่ยจิ้งอีกครั้ง
ผ่านไปสักพักหูเหม่ยจิ้งก็ลืมตาขึ้น มองเพดานอย่างหมดหวัง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
เธอไม่เอ่ยปาก เสี่ยวเชี่ยนก็ไม่พูด นั่งเป็นเพื่อนเธอเงียบๆ ผ่านไปสามชั่วโมงเต็มๆหูเหม่ยจิ้งถึงพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เขาไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ เราตกลงกันไว้ว่าเขากลับมาจะแต่งงาน ทำไมเขาถึงได้ไปทั้งแบบนี้”
“นั่นสิ ชีวิตคนเราก็คาดเดาไม่ได้แบบนี้แหละ ไม่มีใครรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
“ตอนนี้ฉันเสียใจทำไมถึงไปทะเลาะกับเขา ถ้าฉันไม่ทะเลาะกับเขา เขาก็คงไม่เป็นอะไร ต้องโทษฉัน ความผิดฉันเอง ถ้าฉันเชื่อฟังเขา ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ มีปัญหาอะไรก็อย่าไประบายอารมณ์ที่เขา แบบนั้นก็คงดี”
พอเขาไปแล้วหูเหม่ยจิ้งถึงได้เสียใจ อยากขอโทษเขา แต่กลับไม่คิดว่าเขาไปแล้วจะไปตลอดกาล
“นัดกับเขาไว้ว่าจะพาไปเที่ยว ปรากฏว่ารับงานใหญ่มาทำให้ต้องเปลี่ยนเวลา เขาโกรธฉันจนไม่ยอมพูดด้วย ไปเรียนพิเศษที่ฉันลงไว้ให้ด้วยอารมณ์โกรธแบบนั้น และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เห็นหน้าเขา ถ้าฉันหาเวลามาอยู่กับเขาให้มากๆหน่อยก็คงดี”
“เธอหมายถึงใคร?” หูเหม่ยจิ้งมองเสี่ยวเชี่ยนอย่างงงๆ แต่กลับพบว่าเสี่ยวเชี่ยนยืนอยู่ริมหน้าต่างหันหลังให้เธอ สายตาทอดยาวไปไกล ตรงขอบหน้าต่างหินอ่อนมีน้ำตาไหลลงมาทีละหยด
“คนที่สำคัญกับฉันมาก เขามาปรากฏตัวแบบเหนือความคาดหมาย แล้วก็จากฉันไปโดยที่ฉันคาดไม่ถึง พอเขาจากไปแล้วชีวิตฉันก็สลาย ฉันพยายามมองหาคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ต่อ ฉันหาเงิน ฉันได้รับรางวัล ฉันทำเรื่องต่างๆมากมายแต่กลับพบว่าไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ทำให้เขากลับมาไม่ได้ ฉันเข้าใจความรู้สึกคุณนะ”
น้ำเสียงของเสี่ยวเชี่ยนดูแปลกไป หูเหม่ยจิ้งเดาว่าเธอคงจะร้องไห้
“นั่นสิ โลกนี้มีคนตั้งมากมาย ทำไมต้องเป็นเขาที่จากไปด้วย?”
“ใช่ไหมล่ะ”
“เธอเข้าใจความรู้สึกฉันเหรอ?” หูเหม่ยจิ้งถามเสี่ยวเชี่ยน
“เข้าใจสิ ความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย มันอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ ยิ่งอยากลืมก็ยิ่งชัดเจน ตอนนี้ฉันยังลืมเขาไม่ได้เลย ตอนที่เขาเพิ่งจากไป ฉันจะตื่นมากลางดึกแล้วเดินไปที่ห้องเขาโดยไม่รู้ตัว อยากดูว่าเขาเตะผ้าห่มทิ้งหรือเปล่า พอไปถึงกลับพบว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เวลาผ่านร้านอาหารฝรั่งที่เขาชอบก็จะนึกถึงเสียงหัวเราะของเขา จนถึงตอนนี้ฉันกินอาหารทะเลน้อยลงมาก เพราะว่าเขาชอบ บางครั้งเวลาไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเห็นของทะเลก็อยากซื้อ แต่พอเรียกพนักงานมาแล้วถึงได้พบว่า จะซื้อให้ใครล่ะ?”
“ที่แท้เธอก็มีประสบการณ์แบบนี้…” ดูเหมือนหูเหม่ยจิ้งจะหาทางออกของอารมณ์เจอแล้ว
“ถ้ามองในแง่ลบ ชีวิตคนเราก็คือการเดินทางที่ต้องลาจาก นับตั้งแต่เกิดจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต พวกเราต่างต้องเจอกับการลาจาก ญาติพี่น้อง เพื่อนพ้อง ลูกหรือคนรัก วาสนาที่มีต่อกันล้วนต้องมีวันจบ พวกเราไม่รู้ว่าวันไหนจะต้องจากกัน”
“มันก็จริง ฉันยอมให้คนที่เขาอยากแต่งด้วยไม่ใช่ฉัน ไม่อยากให้เขาต้องมาจากไปแบบนี้ด้วย จริงๆแล้วเราสองคนก็ไม่ได้เหมาะกันมาก ฉันนิสัยไม่ค่อยดี เขายอมให้ฉันมาตลอด ฉันก็อาศัยจากการที่เขาตามใจเลยชอบเอาแต่ใจ พอฉันโมโหก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ คำพูดแรงๆพูดออกมาหมด แค่คำว่าเลิกกันก็พูดมาแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งเขาเป็นคนง้อฉันกลับมา ตอนนี้ฉันเสียใจมาก ไม่สู้ตอนนั้นเลิกๆกันไปเลย ให้เขาไปหาผู้หญิงที่นิสัยดีๆ บางทีเขาอาจจะไม่ตายก็ได้”
หูเหม่ยจิ้งพูดถึงตรงนี้ก็ร้องไห้ออกมาเงียบๆ คำพูดบางอย่างอัดอั้นอยู่ในใจมานานเหลือเกิน
เธอไม่รู้จะให้อภัยตัวเองยังไง
“ร้องเถอะ ฉันอยู่เป็นเพื่อนเอง”
ขั้นแรกของเสี่ยวเชี่ยนก็คือทำให้หูเหม่ยจิ้งปลดปล่อยความกดดันภายในจิตใจออกมา หลังจากได้ระบายอารมณ์แล้ว ค่อยพูดสิ่งต่างๆใส่สมองเธอ ตอนที่ทำขั้นนี้เธอก็จะได้ปลดปล่อยความรู้สึกไปด้วย
“ผู้ชายคนที่ฉันรู้สึกผิดชื่อหลิวส่วง เขาเป็นทหารที่กล้าหาญ เขาชอบยิ้ม เขาดีกับฉันมาก…”
“คุณยินดีจะเล่าเรื่องระหว่างคุณกับเขาให้ฉันฟังไหม?”
“พวกเรามีคนแนะนำให้รู้จักกัน อันที่จริงตอนนั้นฉันมีความคิดไม่ค่อยดีเท่าไร ฉันยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง คิดแค่อยากแต่งงานกับทหาร ในอนาคตเขาสามารถเปลี่ยนสายงานได้ ถึงตอนนั้นพวกเราก็มั่นคงแล้ว แต่ครั้งแรกที่เจอเขา ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าเรารู้จักกันมานาน วันนั้นเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว จากตอนแรกที่มีจุดประสงค์อื่น ต่อมาฉันก็รักเขาเข้าแล้วจริงๆ…”
หูเหม่ยจิ้งเล่าเรื่องในอดีต เสี่ยวเชี่ยนยืนฟังอยู่ริมหน้าต่างอย่างอดทน อันที่จริงสมาธิเธอวอกแวก สมองของเธอคิดถึงแต่เรื่องในอดีตตอนที่อยู่กับลูกสาว
เรื่องบางเรื่องคิดว่าตัวเองลืมได้แล้ว แต่วันใดวันหนึ่งกลับนึกได้ขึ้นมา แผลนั้นที่ไม่เคยจางหาย พอถูกโดนก็เจ็บ ตอนที่เธอทำการรักษาให้คนอื่น ก็เป็นเวลาที่เธอได้เปิดปากแผลของตัวเองทีละครั้ง
เดินทางไปเรื่อยๆก็ค่อยๆสูญเสีย จนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายของชีวิต คนๆหนึ่งที่เกิดมาบนโลก สุดท้ายก็ต้องเหลือตัวคนเดียว
การจากไปของตัวเองทำให้คนที่แคร์เราต้องสัมผัสถึงรสชาติของการสูญเสีย วัฏจักรนี้ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ นี่แหละโชคชะตาอันโหดร้าย
แต่หลังจากร้องไห้ เช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วก็ยังคงต้องเดินต่อให้จบการเดินทางที่ไม่มีทางให้หวนกลับนี้ ดังนั้นน้ำตาของประธานเชี่ยนจึงมอบแด่ตัวเอง
ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนทำการรักษาให้หูเหม่ยจิ้งอยู่นั้น ฉู่เซวียนได้ยืนมองหูเหม่ยจิ้งที่กำลังร้องไห้เสียใจผ่านกระจก สายตาของเขาโศกเศร้า เขารู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ในห้องถึงจะหน้าตาเหมือนภรรยาของเขาไม่มีผิด แต่จิ้งจิ้งในเวลานี้กลับไม่ได้เป็นของเขา
นี่ก็เป็นการสูญเสียอย่างหนึ่ง
“…การรักษาครั้งแรกเป็นอย่างที่เล่ามาค่ะ หนูใช้เวลาไปหลายชั่วโมงในการทำให้เธอได้ปลดปล่อยอารมณ์ ขั้นต่อไปหนูจะทำการรักษาอย่างเป็นทางการค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องให้ศาสตราจารย์หลิวฟัง
ศาสตราจารย์หลิวในเวลานี้ถูกแก้มัดแล้ว เธอนั่งพิงหัวเตียงให้น้ำเกลืออยู่ หัวหน้าใหญ่ยืนอยู่ข้างๆคอยส่งน้ำให้ศาสตราจารย์หลิว พลางยืนจ้องขวดน้ำเกลือไปด้วย
ลองสังเกตดูดีๆ ใบหน้าของหัวหน้าใหญ่มีรอยข่วนสองรอย พอรู้สึกได้ว่าเสี่ยวเชี่ยนจ้องรอยแผลของตัวเองอยู่ หัวหน้าใหญ่จึงถลึงตาใส่เสี่ยวเชี่ยน
ดู ฉันพูดไว้ว่าไง ยายแก่คนนี้ข่วนคน
ถูกข่วนตอนที่แก้มัดไง ข่วนที่หน้าเสียด้วย
พรุ่งนี้กลับหน่วยพอไอ้เจ้าพวกนั้นเห็นเข้ามีหรือจะไม่หัวเราะเยาะ?
หัวหน้าใหญ่จินตนาการได้เลยว่า อวี๋หมิงหลางจะต้องเป็นตัวนำหัวเราะเยาะเรื่องนี้แน่นอน
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าสายตานี้ของหัวหน้าใหญ่ดูแบ๊วดี เธอรีบปรับอารมณ์แล้วรายงานแผนการรักษาในขั้นต่อไปให้อาจารย์ฟังต่อ
“สุขภาพเขาเป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์หลิวเป็นห่วงเด็กในท้องของหูเหม่ยจิ้ง
คนท้องไม่ควรมีเรื่องทำให้สะเทือนใจ โดยเฉพาะตั้งภรรภ์ในระยะแรก การดีใจหรือเสียใจมากเกินไปจะทำให้แท้งได้
“เมื่อครู่หมอมาตรวจบอกว่าตอนนี้สุขภาพของเธอยังไหวอยู่ ยังไม่มีวี่แววว่าจะแท้ง แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆต้องไม่ไหวแน่นอน หนูเอาแม่เป็นหลัก เด็กคนนี้จะได้อยู่หรือเปล่าคงต้องแล้วแต่สวรรค์จะเมตตา”
เสี่ยวเชี่ยนมีความเด็ดขาดกับอาการแบบนี้ของผู้ป่วย เธอเป็นหมอหลักที่รักษาเคสนี้ จึงลังเลไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ขนาดคนแม่ยังไม่แน่เลยว่าจะรั้งไว้ได้หรือเปล่า จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเด็ก ความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจนี้ใช่ว่าคนทั่วไปจะมี
“ตอนนี้เขายังไม่รู้ใช่ไหมว่าตัวเองท้อง?” ศาสตราจารย์หลิวถาม