เมื่อได้ยินคำตอบของเซียนพสุธาเยว่อิ่ง อันหลินก็สั่นสะท้าน มองร่างตรงหน้านี้อย่างไม่มีสติ
กระบี่พิชิตมารระเบิดพลังท้วมท้นท้องฟ้าออกมาอีกครั้ง กระบี่เริ่มสั่นระริก พยายามจะสลัดให้หลุดจากมือของเซียนพสุธาเยว่อิ่ง
เซียนพสุธาเยว่อิ่งครวญครางด้วยความเจ็บปวด เพราะบาดแผลถูกบดขยี้ทำให้ร่างของนางสั่นเทาไม่หยุด
แต่ว่า มือคู่นั้นของนางกลับออกแรงจับคมกระบี่แน่นกว่าเดิม เลือดไหลออกจากมือ
อักขระสีทองกระจายรอบๆ มือของนาง กำราบกระบี่สีดำเล่มนั้น
“เจ้านิ่งอยู่ทำไม รีบหนีไปสิ!” เซียนพสุธาเยว่อิ่งตะโกนลั่นอีกครั้ง
เซียนพสุธามิ่งหยวนที่อยู่ไกลออกไปถือกระบี่พุ่งใส่ราชินีอ้านเย่แห่งเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ พยายามถ่วงเวลาหาโอกาสหลบหนีให้พวกอันหลิน แต่กลับถูกผีดูดเลือดสองตนด้านหลังอ้านเย่ขวางไว้
เซวียนหยวนเฉิงขี่กระบี่มาหาอันหลินอีกครั้ง ตะโกนเสียงดังว่า “อันหลิน รีบขึ้นมา! เราต้องหนี!”
แต่ทว่า อันหลินกลับส่ายหน้า “พวกเราหนีไม่พ้นหรอก เจ้าคิดว่าอัตราการหนีรอดจากเงื้อมมือระดับหวนสู่ความว่างเปล่ามีโอกาสสำเร็จเท่าใด”
“ข้าไม่สนว่ามีโอกาสมากหรือน้อย เจ้าจะทรยศต่อความพยายามของอาจารย์เยว่อิ่งหรือ!”
เมื่อเซวียนหยวนเฉิงเห็นท่าทีของอันหลิน เขาที่สุภาพอ่อนโยนมาตลอด ก็ตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวครั้งแรก
อันหลินส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ใช่แบบนั้น หากว่าเราเลือกจะหลบหนี เป็นไปได้สูงว่าอาจจะตายที่นี่กันหมด แต่ ข้ามีทางเลือกที่สอง…”
เมื่อเซวียนหยวนเฉิงได้ยินประโยคนี้ของอันหลิน ก็มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
ไม่นาน ก็แสดงปฏิกิริยาราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าเปลี่ยนไป “หรือว่าเจ้าจะใช้วิธีนั้น…”
“ใช่แล้ว หากว่าเป็นวิธีนั้น ไม่แน่ทุกคนอาจมีโอกาสรอดก็เป็นได้”
“อาจารย์เยว่อิ่งยังสละชีวิตเพื่อพวกเราได้ แล้วไยข้าจะสละชีวิตตัวเองไม่ได้บ้างเล่า”
ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังอันหลินพูดคำนี้ออกไป ก็รู้สึกตัวเบาสบาย ไร้ซึ่งแรงกดดันใดอีกต่อไป
ไม่มีโลงเย็นพันธนาการจิตของสำนัก ไม่มียาสรรสร้างชีวิตขั้นสองของฉางเอ๋อ
ครั้งนี้ เขาอาจจะตายจริงๆ ก็ได้…
อันหลินมองสวีเสี่ยวหลานกับเซวียนหยวนเฉิงอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นก็หันมองเซียนพสุธามิ่งหยวนที่กำลังสู้กับผีดูดเลือดสองตนอยู่ไกลๆ
สุดท้าย สายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่ร่างที่จวนจะล้มลงไปแล้ว
อันหลินสูดลมหายใจเข้าลึก เดินไปยืนตรงหน้าเซียนพสุธาเยว่อิ่ง
“อันหลิน เจ้าเป็นบ้าอะไร…”
เซียนพสุธาเยว่อิ่งกัดฟันแน่น เมื่อเห็นว่าอันหลินไม่หนี กลับมายืนตรงหน้านางแทน ก็โกรธจนควันออกหู
ร่างกายที่ต้านทานไม่ไหวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เริ่มโอนเอน
แม้แต่ราชินีอ้านเย่กลางอากาศก็ชะงัก เห็นได้ว่าคาดไม่ถึงว่านักพรตกายแห่งมรรคขั้นสิบคนนี้จะทำเช่นนี้
“อาจารย์เยว่อิ่ง ขอบคุณท่านมาก”
อันหลินคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นประโยคสุดท้ายในชีวิตเขาแล้ว
พูดจบ เขาก็จ้องไปที่หญิงชุดดำซึ่งยืนตระหง่านกลางอากาศ ชูนิ้วขึ้นแล้วชี้
ดรรชนีวิถีสวรรค์!
ชั่ววินาทีนั้น สีหน้าของอ้านเย่เปลี่ยนไป
ราวกับนางได้เห็นกระบวนท่าที่น่ากลัวอย่างยิ่งบางอย่าง ร่างกายถอยหลังกรูด และสร้างกำแพงลูกแก้วทมิฬนับร้อยชั้นในพริบตา เข็มทิศสีทองก็ปรากฏขึ้นบนมือของนางในหนึ่งอึดใจ
สามวินาทีต่อมา…
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนิ้วของอันหลิน
หน้าผากของอ้านเย่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ มองนิ้วของนักพรตคนนั้นอย่างหวาดระแวง คิดในใจว่าไยไม่ปล่อยพลังอะไรออกมาเลย
เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผากของอันหลินเช่นกัน ทั้งๆ ที่เขาใช้ดรรชนีวิถีสวรรค์เช่นครั้งก่อนแท้ๆ แต่ทำไมไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
หนึ่งนาทีต่อมา…
มือของอันหลินยังอยู่ในท่าเดิม เริ่มปวดเมื่อยบ่าไหล่แล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าทำท่าอื่น…
อ้านเย่เองก็ใช้คาถาคุ้มกัน ผลาญพลังของนางไปไม่น้อย แต่นางกลับไม่กล้าวางใจเลยแม้แต่นิด…
นางมีลางสังหรณ์ต่อความตายที่แม่นยำยิ่งนัก เมื่อครู่นี้นางรู้สึกถึงพลังอันน่ากลัวอย่างมหันต์จริงๆ มันเป็นพลังที่นำนางไปสู่ความตายได้!
แม้ว่าตอนนี้อานุภาพเหล่านั้น จะหายไปแล้วก็ตาม
แต่อ้านเย่รู้ดีว่า นักพรตคนนั้นต้องกำลังรอให้นางประมาท จากนั้นค่อยลงมือเป็นแน่…
นางไม่หลงกลหรอก!
พรืด…
เซียนพสุธาเยว่อิ่งกระอักเลือดออกมา สุดท้ายร่างกายก็ต้านทานไม่ไหว ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น
“อาจารย์!”
อันหลินหันมองเซียนพสุธาเยว่อิ่ง รู้ว่านางไม่ไหวแล้ว ก็กระวนกระวายขึ้นมาทันที
ชั่ววินาทีที่อันหลินเหลียวมอง ฝ่ามือขาวสะอาดของอ้านเย่ก็ลองหยั่งเชิงด้วยการโบกมือไกลๆ
ฝ่ามือทะลุมิติ ส่งผลต่อร่างกายของเขาในพริบตา
อันหลินรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับจะถูกฝ่ามือนี้ฉีกทึ้งจนสิ้นซาก
ร่างของเขาถูกตบจนกระเด็นออกไปหลายร้อยเมตร สุดท้ายชนเข้ากับภูเขาสูงจนเกิดเป็นหลุมและเริ่มแตกร้าว
หากไม่ใช่เพราะอันหลินมีพลังบงกชพสุธา กายเนื้อแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ฝ่ามือเมื่อครู่นี้คงพรากชีวิตเขาไปแล้ว
แม้เขาจะไม่ตาย แต่สภาพร่างกายในตอนนี้ก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ากันมากนัก
เศษเนื้อเยื่ออวัยวะที่ปะปนกับเลือดพุ่งออกจากปากอันหลิน เนื้อตัวสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่แม้แต่นิ้วก็กระดิกไม่ได้
จะตายแล้วเหรอ…
อันหลินแค่นยิ้ม มองพวกเซวียนหยวนเฉิงด้วยความเจ็บใจ
หากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าช่วยใครไม่ได้เลยสิ
ทำไมตอนที่ตัดสินใจว่าจะสละชีวิตตัวเอง กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…
เมื่ออ้านเย่เห็นว่าอันหลินบาดเจ็บเพราะฝ่ามือนั่น ก็แปลกใจไม่น้อยเลย
นางคิดมาตลอดว่านักพรตไม่สะดุดตาคนนี้ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่อำพรางพลังเสียอีก
แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนว่านางจะคิดมากไป
นักพรตคนนี้นอกจากกายเนื้อแข็งแกร่งแล้วนั้น ก็ไม่มีอะไรพิเศษ
อย่างมากก็มีอีกประการคือ เขามีทักษะที่ค่อนข้างน่าตะลึง
แม้จะคิดเช่นนี้ อ้านเย่ก็ยังไม่กล้าประมาทอันหลินอยู่ดี ครั้งนี้นางจึงไม่ยั้งมือแล้ว
“รัตติกาลนิจนิรันดร์!”
เสียงเย็นเยือกของอ้านเย่ดังออกมาจากริมฝีปากอันงดงาม
ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนเป็นดำทะมึน บดบังแสงดาวที่สุกสกาวเต็มนภา แม้แต่รัศมีจันทราก็ถูกกีดขวาง
เมื่อนักพรตเบื้องล่างเห็นฉากที่สีหน้ามืดสลัว ต่างก็เบิกตากว้าง
หลังนักพรตระดับแปลงจิตสังเกตเห็นหญิงชุดดำที่ยืนจังก้ากลางอากาศก็เบิกตากว้างเช่นกัน ความเย็นเยียบแผ่ปกคลุมจิตใจ
“กระบี่!”
อ้านเย่ควบคุมมิติ
เพียงพริบตาเดียว สายลมดำทมิฬก็พัดกรรโชก ก่อตัวเป็นกระบี่สีดำยาวหลายร้อยจั้ง
กระบี่ทอดยาวผ่านท้องฟ้า กระจายคลื่นอันน่ากลัว ทำให้นักพรตมนุษย์และนักรบผีดูดเลือดบนผิวดินทรุดตัวลงคุกเข่ากันระนาว ราวกับยอมศิโรราบแด่องค์จักรพรรดิ
อันหลินมองเพลงกระบี่ที่ยิ่งใหญ่จนน่ากลัวนั่นแล้วแสยะยิ้ม
ต่อกรกับนักพรตกายแห่งมรรคขั้นสิบเพียงคนเดียว ถึงกับต้องใช้วิธีนี้เลยเหรอ
เหมือนฆ่ามดตัวเดียว แต่จะใช้ระเบิดนิวเคลียร์ให้ได้ มันสิ้นเปลืองไม่ใช่หรือไง!
แต่ทว่า ตอนนี้อันหลินหมดแรงตอบโต้ นิ่งไม่ไหวติง
สิ่งเดียวที่ทำได้คือ สบถในใจเท่านั้น
ติ้ง!
‘ตรวจสอบพบว่าโฮสต์กำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามอันมหันต์ ยินดีจะแลกด้วยพลังชีวิตหนึ่งในห้าส่วนหรือไม่ ท่านจะได้รับพลังเหนือจินตนาการ’
อันหลินตกใจ
แลกด้วยพลังชีวิตหนึ่งส่วนห้างั้นเหรอ
มีพลังอันเหนือจินตนาการงั้นเหรอ
อย่ามาตลกหน่อยเลย ขอแค่ช่วยพวกเซวียนหยวนเฉิงได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม!
“ฉันตกลง!”
เมื่อสิ้นเสียง กระบี่ดำทมิฬยาวหลายร้อยจั้งก็ฟันลงมาพร้อมกับอานุภาพทำลายล้าง
ภูเขาหิมะถูกความมืดเข้าครอบงำในพริบตา แตกร้าว สุดท้ายก็ว่างเปล่า…
…………………………..