ตอนที่ 90 พูดเรื่องพวกนี้กับเธอทำไม

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ตอนที่เห็นฉินหร่านในคลับก่อนหน้านี้ หลินจิ่นเซวียนก็รู้สึกผิดปกติแล้ว

 

 

เธอดูไม่เหมือนคนที่จะมาคลับแห่งนี้ได้

 

 

จนกระทั่งตอนนี้ เห็นคนที่กำลังคุยกับฉินหร่าน รูม่านตาของหลินจิ่นเซวียนก็หดตัวเล็กน้อย

 

 

คนคนนั้นหันหน้าเข้าหาฉินหร่าน ก้มหัว เพราะองศาและความสลัวของแสงไฟในคลับ จึงถูกฉินหร่านบดบังใบหน้าไปเกือบครึ่ง แต่สายตาที่คนคนนั้นกวาดมองมาไกลๆ ทำให้หลินจิ่นเซวียนรู้สึกเหมือนถูกบีบเข้าที่คอ

 

 

ขณะที่หัวจะระเบิด หลินจิ่นเซวียนก็รู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นช่างคุ้นตายิ่งนัก

 

 

เฟิงฉือเพิ่งบอกเขาไปไม่นานนี่เองว่า มีคนสองคนย้ายมาที่เมืองอวิ๋นเฉิง ตัวตนของสองคนนี้แม้แต่ตัวเฟิงฉือเองก็หวาดกลัว ไม่ค่อยกล้าพูดถึงเท่าไหร่นัก

 

 

หลินจิ่นเซวียนก็เลยทำได้แค่จดจำใบหน้าของสองคนนั้นไว้ให้แม่นยำ

 

 

แต่ไม่เคยรู้ชื่อของสองคนนี้เลย

 

 

ตอนนี้ราวกับมีเสียงอะไรบางอย่างดังกังวานในหัวของเขา

 

 

ฉินหร่านอยู่กับคนคนนี้ได้อย่างไร

 

 

ตรงทางเลี้ยวข้างหน้า

 

 

ฉินหร่านรู้ว่าหลินจิ่นเซวียนตามมา เธอไม่อยากมีข้อพิพาทกับคนตระกูลหลินจนเป็นเรื่องใหญ่โต เลยไม่ยอมหยุดทักทาย

 

 

“ทำไมนายก็ออกมาด้วยล่ะ” พอเห็นเฉิงเจวี้ยน ฉินหร่านก็เลิกคิ้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนเบี่ยงตัว บังสายตาของหลินจิ่นเซวียนไว้ ถึงได้เอ่ยปากว่า “ห้องน้ำ”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเดินอ้อม ไม่เจอฉินหร่านก่อนเฉิงเจวี้ยน ก็พะว้าพะวังไม่หยุด

 

 

หลังฉินหร่านกลับห้องส่วนตัวแล้ว เขาก็พร่ำบ่นว่าจะสอนฉินหร่านเล่นบิลเลียด

 

 

ผู้บัญชาการห่าวเห็นฉินหร่านเข้ามา ก็ลดเสียงตัวเองที่กำลังคุยกับเจียงหวยลง

 

 

เดิมทีเขากำลังคุยธุระกับลู่จ้าวอิ่ง พอเห็นลู่จ้าวอิ่งยืนข้างฉินหร่าน เขาก็ไม่พูดถึงมันอีก

 

 

ฉินหร่านสังเกตเห็น แต่เธอไม่แยแสข้อนี้

 

 

ไปฝึกเล่นบิลเลียดกับลู่จ้าวอิ่งข้างหลัง

 

 

ฉินหร่านไม่เคยเล่นเจ้านี่ อยากรู้อยากเห็นไม่เบา จึงยืนมองพวกเขาเล่นอยู่มุมหนึ่ง แต่ตอนที่เธอจะลงมือเล่นด้วยตัวเองก็ถูกเฉิงเจวี้ยนขวางไว้

 

 

“มือขวายังหายไม่สนิท” เฉิงเจวี้ยนกำลังคุยกับเจียงหวยอยู่ เลยพูดกับฉินหร่านอย่างกระชับได้ใจความ

 

 

ฉินหร่านไม่ได้แตะไม้บิลเลียดเลยทั้งคืน เอาแต่มองลู่จ้าวอิ่งอธิบายกฎกติกาในการเล่นกับทฤษฎี

 

 

 

 

ห้องส่วนตัว ซี 5 หลินจิ่นเซวียนเดินกลับมาด้วยท่าทางครุ่นคิด

 

 

ฉินอวี่รู้สึกว่าท่าทีของเขาไม่ใช่สิ่งที่เธอคุ้นเคย

 

 

“พี่” ฉินอวี่เม้มปากมองหลินจิ่นเซวียน “พี่ชายเชื่อคำพูดของเธอเหรอ พวกพี่เป็นแบบนี้ตลอดเลย ไม่ว่าฉันจะพยายามแค่ไหน ก็สู้เธอไม่ได้”

 

 

หลินจิ่นเซวียนเพิ่งตื่นจากภวังค์ หันมองฉินอวี่ “อวี่เอ่อร์ เรื่องของพี่เขา แกก็ทำไม่ถูกจริงๆ ถ้ามองจากมุมของเธอ สิ่งที่เธอพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล อวี่เอ่อร์ ในเมื่อเธอไม่อยากพูดกับแก ต่อไปแกก็อย่าไปหาเรื่องเธออีกเลย”

 

 

คนที่อยู่ข้างฉินหร่านคนนั้นรับมือไม่ง่าย

 

 

ก่อนหน้านี้หลินจิ่นเซวียนงงมากทีเดียว ตระกูลฉินไม่มีเบื้องหลังที่ไหน ฉินหร่านไปเอาบันทึกการโอนเงินของฉินอวี่มาจากไหน

 

 

ตอนนี้คล้ายว่าจะคิดออกแล้ว

 

 

ฉินอวี่ก้มหน้า กำมือแน่น

 

 

เธอไม่คิดเลยว่าหลินจิ่นเซวียนจะพูดแบบนี้ หลินจิ่นเซวียนเป็นแบบนี้มาตลอด ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็มีสติทุกครั้ง คิดในมุมของอีกฝ่ายเสมอ

 

 

ฉินอวี่ใช้เวลาสิบกว่าปี เพราะอยากให้หลินจิ่นเซวียนยืนข้างเธอ

 

 

 

 

วันต่อมา

 

 

วันเสาร์

 

 

เฟิงโหลวเฉิงรออยู่ในห้องส่วนตัว มือถือถ้วยชา มองไปทางประตูไม่หยุด

 

 

พอถึงเวลา ประตูก็ถูกมือขาวซีดคู่หนึ่งดันออก

 

 

เขารีบลุกขึ้น ดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออก ก้มหน้าอย่างละอายใจ “คุณหนูฉิน เรื่องภรรยาของฉัน ฉันตักเตือนไปแล้ว ต่อไปจะไม่กล้ามารบกวนเธออีกแล้ว”

 

 

ฉินหร่านหยิบแก้วที่วางบนโต๊ะขึ้นมา แกว่งเบาๆ และเชื่องช้า “อืม”

 

 

เฟิงโหลวเฉิงสังเกตใบหน้าของฉินหร่าน เมื่อแน่ใจว่าเธอไม่ถือสาจริงๆ แล้ว ก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้

 

 

เขาสั่นกระดิ่ง เรียกคนเสิร์ฟอาหาร พูดต่อว่า “ช่วงนี้มีคนไปหาผู้บัญชาการเฉียน พยายามจะตรวจสอบเรื่องนั้น”

 

 

ฉินหร่านเลิกคิ้ว ไม่แยแสเลยสักนิด “อืม”

 

 

“ได้ยินว่ามังกรร้ายโผล่มาอีกแล้ว” เฟิงโหลวเฉิงอ้ำๆ อึ้งๆ แล้วมองเธอแวบหนึ่ง “สามปีแล้ว เธอควรออกมาได้แล้ว”

 

 

“คุณลุงเฟิง กินข้าว” ฉินหร่านใช้มือเคาะโต๊ะ

 

 

“ก็ได้ มือเธอหายแล้วเหรอ” เฟิงโหลวเฉิงถอนหายใจในใจ แต่ก็เบนความสนใจไปยังมือขวาที่ถือแก้วของเธอ

 

 

ฉินหร่านวางแก้วลง แบมือขวาให้เขาดู

 

 

เฟิงโหลวเฉิงตรวจดูครู่หนึ่ง บาดแผลมีเนื้อเยื่อสีชมพูขึ้นเป็นชั้นแล้ว เพียงแต่รอยเย็บยังอยู่ ฟื้นฟูได้ไม่เลวทีเดียว ความกังวลใจที่มีมาตลอดในช่วงนี้คลายลงสักที “งั้นฉันจะได้รายงานได้”

 

 

เชฟเริ่มเสิร์ฟอาหารแล้ว

 

 

ฉินหร่านจ้องจานกระเบื้องสีขาวในมือเชฟด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

ข้าวโพดนึ่งกับมันเทศ

 

 

มีอะไรพิเศษไหม

 

 

มีอะไรแตกต่างหรือเปล่า

 

 

ไม่สิ…

 

 

เชฟส์ เทเบิลร้านไหนมีเมนูนี้บ้าง

 

 

นายเป็นเชฟมืออาชีพจริงๆ หรือเปล่า

 

 

 

 

ช่วงนี้เฉิงเจวี้ยนถือมีดผ่าตัดวาดมือวาดไม้กับหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์อยู่ตลอด เพราะวันนี้เขาต้องเข้าผ่าตัด

 

 

ปกติแล้วเขาจะรับผ่าตัดประมาณเดือนละครั้ง

 

 

มาเมืองอวิ๋นเฉิงเกือบสองเดือนแล้ว นี่เป็นการผ่าตัดครั้งที่สอง

 

 

วันหยุดห้องพยาบาลของโรงเรียนปราศจากผู้คน เงียบสงบมาก

 

 

เฉิงเจวี้ยนให้กุญแจห้องพยาบาลกับฉินหร่านดอกหนึ่ง ฉินหร่านหอบโน้ตบุ๊คกับหนังสือมานั่งเขียนแบบฝึกหัดอยู่ข้างโต๊ะของเฉิงเจวี้ยน

 

 

จู่ๆ ประตูก็ถูกคนผลักเข้ามาจากข้างนอกดังปัง

 

 

ลู่จ้าวอิ่งพรวดพราดเข้ามา ด้านหลังเขามีผู้บัญชาการห่าวที่ตามเข้ามาด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

 

 

ตามหาทั่วห้องพยาบาลแล้ว แต่ก็ไม่เห็นเฉิงเจวี้ยน

 

 

“ท่านเจวี้ยนล่ะ” ลู่จ้าวอิ่งหายใจหอบ

 

 

ฉินหร่านนั่งไขว่ห้าง เธอกำลังพลิกกระดาษ ช้อนตาขึ้นมอง “นายลืมไปแล้วเหรอว่าวันนี้เขามีผ่าตัด”

 

 

“บัดซบ!” ลู่จ้าวอิ่งทุบโต๊ะ เขามีเฉิงเจวี้ยนเป็นแกนนำมาตลอด ตอนนี้จึงหาทางออกไม่เจอ “ลืมไปซะสนิทเลย”

 

 

“ฉันจะไปผู้บัญชาการเฉียน” ผู้บัญชาการห่าวไม่เห็นเฉิงเจวี้ยนที่ตัวเองตามหา ก็หันหลังออกไป

 

 

ลู่จ้าวอิ่งปาดเหงื่อบนใบหน้า “เขาอาจจะไม่ยอมเจอคุณก็ได้ รอผมด้วยสิ!”

 

 

“มีเรื่องอะไรกัน รีบขนาดนี้” ฉินหร่านกวาดสายตาผ่านใบหน้าของลู่จ้าวอิ่งกับผู้บัญชาการห่าว วางหนังสือลงและเอนตัวพิงข้างหลังแล้วเลิกคิ้ว

 

 

ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังเธอ พูดอย่างหงุดหงิดว่า “เมื่อคืนผู้บัญชาการห่าวให้เฉิงมู่ตรวจสอบอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้ไม่เห็นเขาเลย เขาหายตัวไปแล้ว ท่านเจวี้ยนอยู่ในห้องผ่าตัดต้องไม่พกมือถือแน่ เธอไปนั่งรอที่โรงพยาบาล พอเขาออกมาก็บอกเรื่องนี้กับเขาทันที…”

 

 

ผู้บัญชาการห่าวกำลังกระวนกระวายที่เฉิงมู่หายตัวไป พอได้ยินลู่จ้าวอิ่งอธิบายให้ฉินหร่านฟังอีก เขาก็เอียงหัวถามอย่างเหลืออด “นายพูดเรื่องพวกนี้กับเธอทำไม ทำให้ยุ่งยากกว่าเดิมหรือไง!”