ช่วงเย็นเซี่ยยวี่หลัวต้มเกอต่า ไม่ได้ใส่อย่างอื่นเพิ่มเติม กินเกอต่าคนละหนึ่งชาม ตักน้ำแกงกระดูกหมูจากหม้อคนละหนึ่งช้อน กินเกอต่าคนละหนึ่งชามใหญ่ และดื่มน้ำแกงกระดูกหมูหนึ่งถ้วยใหญ่ รู้สึกอุ่นไปทั้งตัว
หลังจากกินอาหารเย็น เซียวจื่อเซวียนล้างชามขัดหม้อ ขัดหม้อเสร็จแล้วจึงต้มน้ำร้อนหนึ่งหม้อ
ส่วนเซี่ยยวี่หลัวและเซียวจื่อเมิ่งจัดการหน่อไม้ หลังจากแกะเปลือกนอกของหน่อไม้อวบใหญ่ออก หน่อไม้ด้านในเป็นสีขาวอ่อนนุ่ม ส่งกลิ่นหอมเฉพาะตัวของหน่อไม้ออกมา
หลังจากล้างหน่อไม้ที่แกะเปลือกเสร็จแล้ว เซี่ยยวี่หลัวใช้มีดหั่นเป็นชิ้นบาง เมื่อน้ำเดือด จึงเทหน่อไม้ที่หั่นไว้ลงไปในหม้อ ต้มจนน้ำเดือดแล้วจึงตักขึ้นมา วางกระจายกันตากให้เย็น
นอกจากช่วยใส่ฟืน เซียวจื่อเซวียนก็ช่วยอย่างอื่นไม่ได้ ทำได้เพียงดูพี่สะใภ้ใหญ่ง่วนอยู่กับงาน
เมื่อเห็นนางต้มหน่อไม้ เซียวจื่อเซวียนก็รู้สึกประหลาดใจ
“พี่สะใภ้ใหญ่ ทำไมท่านต้องต้มหน่อไม้ด้วยขอรับ? หน่อไม้เยอะขนาดนี้ เก็บไว้สักสองวันก็คงเสีย! ” เซียวจื่อเซวียนกล่าว
เซี่ยยวี่หลัวยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะทำให้มันไม่เสีย สามารถเก็บไว้กินได้จนถึงช่วงปีใหม่”
“หน่อไม้พวกนี้น่ะหรือขอรับ? ” เซียวจื่อเซวียนเอ่ยถามด้วยความตกใจระคนสงสัย
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า “ใช่แล้ว หน่อไม้พวกนี้ ถึงเวลาพี่สะใภ้ใหญ่จะทำหมูตุ๋นน้ำแดงผัดหน่อไม้ให้พวกเจ้าลองชิม พวกเจ้าต้องกินจนหยุดไม่ได้แน่! “
หน่อไม้แห้งผัดกับหมูตุ๋นน้ำแดงเชียว แค่คิดดูเซี่ยยวี่หลัวก็น้ำลายไหลแล้ว!
ดวงตาเซียวจื่อเมิ่งลุกวาวทันที กล่าวเสียงใส “ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ก็ชอบกินหน่อไม้ เช่นนี้เขากลับมาก็ได้กินเหมือนกัน”
หน่อไม้ในมือเซี่ยยวี่หลัวเกือบร่วงลงไป
นางไม่รู้เลยว่าราชบัณฑิตน้อยชอบกินหน่อไม้หรอกหรือ
หึหึ… ดูท่า นางต้องขุดหน่อไม้กลับมาเพิ่มเสียแล้ว
ขอเพียงท่านราชบัณฑิตน้อยชอบกินหน่อไม้ ย่อมต้องชอบกินทั้งหน่อไม้แห้งและหน่อไม้ดองแน่นอน!
พอคิดถึงหน่อไม้ดอง เซี่ยยวี่หลัวก็แทบน้ำลายไหล
นางกล่าวต่อจากวาจาของเซียวจื่อเมิ่ง “แค่นี้ยังไม่พอ ช่วงสองวันนี้เราขึ้นเขาไปขุดกันต่อ! “
เซียวจื่อเซวียนรีบหันมองเซี่ยยวี่หลัว เห็นว่าขณะที่นางได้ยินคนเอ่ยถึงพี่ใหญ่ ไม่มีความรังเกียจแม้แต่น้อย ต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง
เมื่อเขาเห็นว่าเซี่ยยวี่หลัวจะเตรียมไว้จำนวนมาก มีอะไรให้ไม่เห็นด้วยอีก รีบใส่ฟืนเข้าไปในเตาไฟอีกจำนวนหนึ่ง ไฟในเตาลุกโชนยิ่งกว่าเดิม ส่องใบหน้าเซียวจื่อเซวียนจนเป็นสีแดงเรื่อ ดวงตาก็สว่างกว่าปกติ
“ก๊อกก๊อกก๊อก…”
เสียงเคาะประตูดังจากด้านนอก
เซี่ยยวี่หลัวหันมองออกไป “เย็นขนาดนี้แล้ว ใครมากัน? ”
เซียวจื่อเซวียนกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะลองไปดูขอรับ”
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า พร้อมกำชับ “อย่ารีบเปิดประตู ถามก่อนว่าเป็นใคร”
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้า
เมื่อมาถึงประตูใหญ่ เซียวจื่อเซวียนยืนอยู่หน้าประตูก่อนเอ่ยถาม “ใครอยู่ข้างนอก? ”
“จื่อเซวียน ข้าเอง! ” เสียงที่คุ้นเคยดังจากด้านนอก
เซียวจื่อเซวียนรู้สึกตื่นเต้น หันกลับไปกล่าวกับเซี่ยยวี่หลัว “พี่สะใภ้ใหญ่ เป็นพี่เซียวยิง! ”
เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่ตรงประตูห้องครัว เห็นประตูใหญ่เปิดออก เห็นบุรุษคิ้วหนาตาโต ใบหน้าคมคาย สวมใส่ชุดจีนยาวสีเทาเดินเข้ามา เขาหิ้วตะกร้าใบหนึ่งไว้ในมือ ยื่นส่งให้เซียวจื่อเซวียน “พรุ่งนี้จะเริ่มกวาดสุสานแล้ว ข้าซื้อเผื่อมาหนึ่งชุด พี่ใหญ่ของเจ้าไม่อยู่บ้าน เจ้าคงไม่รู้ว่าต้องซื้ออะไร ข้าจึงซื้อแล้วนำมาให้เจ้า”
ในนั้นเป็นข้าวของที่ใช้สำหรับเซ่นไหว้
เซียวจื่อเซวียนรีบกล่าว “พี่เซียวยิง บ้านข้าซื้อแล้วขอรับ”
“ซื้อแล้ว? ” เซียวยิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย “เจ้าซื้อตั้งแต่เมื่อไร? ”
“เพิ่งซื้อวันนี้ขอรับ ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ไปในตัวเมือง พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าถึงชิงหมิงแล้ว จึงซื้อกลับมาจำนวนหนึ่ง คิดว่ามะรืนนี้จะไปเซ่นไหว้ที่หลุมฝังศพท่านพ่อท่านแม่ขอรับ” เซียวจื่อเซวียนกล่าว
เหตุใดจึงต้องเป็นมะรืนนี้ พี่สะใภ้ใหญ่บอกไว้ พรุ่งนี้ที่บ้านจะถือศีลหนึ่งวัน กินเจทั้งวัน ไม่กินเนื้อสัตว์ กล่าวว่าเช่นนี้จึงจะเป็นการเคารพต่อบรรพชน
เซียวยิงตกใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเป็นคนซื้อ? ”
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้า “ขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าซื้อ”
ถึงอย่างไรเซียวยิงก็ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านสกุลเซียวเป็นประจำ ช่วงที่ผ่านมา ในหมู่บ้านสกุลเซียวเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง เซี่ยยวี่หลัวเป็นอย่างไร เขาไม่รู้แม้แต่น้อย ในความทรงจำของเขา เซี่ยยวี่หลัวยังเป็นสตรีที่หยิ่งผยองโอหัง และเห็นแก่ตัว
เดิมทีเขานึกว่าเซี่ยยวี่หลัวจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ใครจะรู้ ว่าเซี่ยยวี่หลัวจะลงมือทำเอง
เรื่องนี้ทำให้เซียวยิงรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก!
เซี่ยยวี่หลัวง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารในห้องครัว ไม่ได้ออกมา แต่ก็ได้ยินวาจาของเซียวยิง และรู้ว่าเขารู้สึกผิดคาด
ช่วยไม่ได้ ครั้งก่อนฟ่านซื่อก็มีอคติต่อนางเป็นพิเศษ
เท่าที่ดู สาเหตุที่ฟ่านซื่อมีอคติต่อนาง น่าจะเป็นเพราะเซียวยิง นางไม่ออกไปจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นตัวเองจะรู้สึกไม่สบายใจเสียเปล่า
เซี่ยยวี่หลัวกำลังต้มหน่อไม้อยู่ เซียวยิงที่อยู่ด้านนอกก็คุยเรื่องอื่นกับเซียวจื่อเซวียนแล้ว
“พี่ใหญ่ของเจ้ามีตำราเรื่องวานรหรือไม่? ให้ข้ายืมอ่านก่อนได้หรือไม่? ” เซียวยิงกล่าว
จุดประสงค์ที่เขามาก็เพื่อยืมตำรา ใครจะรู้ ว่าเจ้าเด็กบ้าเซียวซานนั่นกระตุ้นต่อมอยากของเขาเสียแล้ว ได้ยินเพียงครึ่งแรกของเรื่อง ไม่มีครึ่งหลัง เขารู้สึกอึดอัดใจนัก
เซียวจื่อเซวียนผงะไป “วานร? ท่านหมายถึงวานรที่ถือกำเนิดจากก้อนหินงั้นหรือขอรับ? ”
เซียวยิงพยักหน้าไม่หยุด “ใช่ใช่ใช่ เซียวซานบอกว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเล่าให้เจ้าฟัง เวลานี้พี่ใหญ่ของเจ้าไม่อยู่ มิสู้นำตำรามา ข้าเล่าให้พวกเจ้าฟังแล้วกัน! ”
ขณะนี้เขาอดรนทนไม่ไหวจนอยากอ่านตอนจบแล้ว!
ในภายหลังวานรตัวนั้นเป็นอย่างไร!
เซียวจื่อเซวียนหันมองไปทางห้องครัวแวบหนึ่ง ภายใต้แสงไฟอ่อนโยนจากห้องครัว เงาร่างของคนร่างบางกำลังง่วนอยู่กับงาน ช่างดูอบอุ่นนัก
“ข้าฟังพี่ใหญ่เล่ามา เห็นว่าได้ยินมาจากที่อื่นอีกที ไม่… ไม่มีตำราขอรับ! ”
เซียวยิงสนใจแต่เรื่องยืมตำรา ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเซียวจื่อเซวียนหลบสายตา
พี่สะใภ้ใหญ่บอกไว้ ว่านิทานเรื่องนี้จะบอกใครไม่ได้ ต่อให้คนอื่นรู้ ก็ให้บอกว่าพี่ใหญ่ฟังมาแล้วเล่าให้พวกเขาฟัง ห้ามบอกว่านางเป็นคนเล่า
เมื่อเซียวยิงได้ยินว่าเซียวยวี่ฟังมาจากที่อื่น ก็รู้สึกเสียดายยิ่งนัก
“พี่ใหญ่ของเจ้าต้องรอให้ถึงเดือนห้าถึงจะกลับมา เฮ้อ รอฟังเขาเล่านิทาน ยังต้องรออีกหนึ่งเดือนกว่า” เซียวยิงกล่าวด้วยความรู้สึกเสียดายยิ่ง “พี่ใหญ่ของเจ้าเคยบอกหรือไม่ว่าเขาได้ฟังนิทานเรื่องนี้มาจากที่ใด? ”
เซียวจื่อเซวียนส่ายหน้า “ไม่เคยบอกขอรับ”
ต่อให้รู้ก็บอกไม่ได้!
เซียวยิงรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก “เฮ้อ นิทานเรื่องนี้ช่างน่าติดตามนัก หลังจากได้ฟังแล้วไม่ได้ฟังเรื่องราวหลังจากนั้นก็ทำให้อยากรู้จนทนไม่ไหว นิทานเช่นนี้หากเขียนออกมาขาย ต้องขายดีแน่! ”
เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งตักหน่อไม้ที่ต้มเสร็จแล้วหนึ่งหม้อขึ้นมา เมื่อเดินถึงตรงประตู ก็ได้ยินวาจาของเซียวยิงพอดี ฝีเท้าของนางหยุดชะงัก
เขียนเรื่อง ซีโหยวจี้ ออกมาวางขาย?
เช่นนั้นถือเป็นการคัดลอกหรือไม่?
หลังจากเซี่ยยวี่หลัวศึกษาเกี่ยวกับโลกใบนี้ในระยะที่ผ่านมา จึงได้รู้ว่านี่เป็นยุคสมัยที่นางไม่รู้จัก ราชวงศ์ต้าเยว่ ตามหลักแล้วหากราชวงศ์หนึ่งเคยปรากฏ ไม่มีทางที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลยแม้แต่น้อย แต่สถานการณ์ในขณะนี้คือ ในภพก่อน นางไม่เคยพบเห็นอะไรที่ตกทอดมาจากยุคสมัยนี้เลย
ยกตัวอย่างเช่นบทกลอนบทกวี หรือนักแต่งกลอนที่เลื่องชื่อ ตามหลักแล้ว เซียวยวี่เป็นราชบัณฑิตแห่งราชวงศ์ต้าเยว่ บุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องทิ้งร่องรอยทางประวัติศาสตร์ไว้บ้าง
แต่กลับไม่มีอะไรเลย
เดิมทีผู้แต่งก็เขียนเกี่ยวกับยุคสมัยที่สมมติขึ้นอยู่แล้ว สิ่งของและวัฒนธรรมสามารถส่งเข้ามาได้ แต่กลับไม่สามารถส่งออกไป ยุคสมัยนี้ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง
เช่นนั้นก็ไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์!
หวูจ่งยังคงเป็นหวูจ่ง เขายังเป็นผู้ประพันธ์ซีโหยวจี้ นั่นยังคงเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรม ตนเองเพียงยืมใช้ของของเขาล่วงหน้าในอีกยุคสมัยหนึ่งเท่านั้น
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
นี่ถือเป็นความคิดที่ดี
นางมีวรรณกรรมอีกมากมายอยู่ในหัว!
นี่เป็นเพียงหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมเท่านั้น!
นางลูบหมัดถูมือ ทำเช่นนี้ก็แล้วกัน!