ตอนที่ 104 ลงมือก่อนได้เปรียบ

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 104 ลงมือก่อนได้เปรียบ

ฝูฉูเดินถือตะกร้าไม้ไผ่กลับมาที่บ้านด้วยสีหน้าหงุดหงิด

สองสามวันมานี้ สีหน้าของกงจี้ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก ไป๋จีไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัว เขาผู้ซึ่งกำลังรู้สึกเบื่อหน่ายเห็นว่าฝูฉูกลับมาพร้อมกับสีหน้าเคร่งขรึมแปลกตา จึงมีความอยากรู้อยากรู้อยากเห็นอยู่เล็กน้อย

“ใครหาเรื่องเจ้ามาล่ะแม่นางฝู ?” เขาถาม

ฝูฉูตักน้ำมาจากในลานบ้านเพื่อนำมาล้างลูกท้อที่เพิ่งซื้อกลับมา นางล้างลูกท้อและตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “ข้าเจอคนเสเพลในหมู่บ้าน เขาคิดจะแต๊ะอั๋งข้า”

ไป๋จีส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปมองบ้านข้าง ๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อไม่เห็นเงาของเจียงป่าวชิง เขาก็รู้สึกงุนงง “หืม ? แม่นางเจียงไม่ได้ไปด้วยกันกับเจ้ารึ ?”

การกระทำที่กำลังล้างลูกท้อของฝูฉูหยุดชะงักทันที “พี่ชายของนางบอกว่านางเข้าไปเก็บสมุนไพรในป่า”

ฝูฉูลุกขึ้นและสะบัดหยาดน้ำในมือ “อันที่จริง ในห้องยาของท่านชายมีเครื่องปรุงยาตั้งเยอะแยะ ใช่ว่าท่านชายจะไม่ให้นางใช้เสียหน่อย แต่ดูสิ นางยังไปเก็บสมุนไพรเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไรกันแน่”

ไป๋จีคาดเดา “นางอาจจะรู้สึกเกรงใจที่มาเอายาบ่อยก็ได้”

ฝูฉูกลอกตาใส่ไป๋จี “นางก็ใช่ว่าจะไม่เคยเอาเสียหน่อยนี่”

ไป๋จีถูกโต้แย้งจนเถียงไม่ออก เขาจึงต้องพูดขึ้น “แม่นางเจียงอยากไปเก็บสมุนไพรก็ให้นางไปเถอะ ไม่แน่นี่อาจเป็นความชอบส่วนตัวของนางอย่างหนึ่งก็ได้”

ฝูฉูรู้สึกโมโหต่อคำพูดของไป๋จีจนถึงกับต้องหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นนางถึงจะพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “ท่านชายดีกับนางมาก นางไม่ซาบซึ้งในพระคุณก็ครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะมาทำพฤติกรรมเช่นการเก็บสมุนไพรอีก ไม่รู้ว่านางอยากหักหน้าใครกันแน่ ข้าหวังว่านางจะไม่ทำจนเกินไป และไม่พลาดเวลารักษาขาของท่านชาย”

ไป๋จีอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงของกงจี้กลับดังมาจากในบ้านเสียก่อน ซึ่งน้ำเสียงของเขาค่อนข้างเย็นชาระคนแข็งกระด้างอยู่พอสมควร “พวกเจ้าสองคนกำลังคุยอะไรกันอยู่ข้างนอก ? หนวกหู!”

ทั้งสองคนมองหน้ากันทันที ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อ

ในขณะนี้ เจียงป่าวชิงที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้กำลังนั่งยอง ๆ อยู่นอกพุ่มไม้ นางขุดสมุนไพรที่อยู่ในพุ่มไม้ด้วยพลั่ว

ใช่ว่าเจียงป่าวชิงจะไม่รู้ว่าตนเองสามารถใช้เครื่องปรุงยาในห้องยาของกงจี้ได้ แต่สมุนไพรที่นางต้องการในเวลานี้ กลับเป็นสมุนไพรที่นางต้องการใช้เพื่อทดลองยา และนี่เป็นสิ่งที่นางจะใช้ในการทำเงินเข้ากระเป๋าตัวเองจึงรู้สึกเกรงใจที่จะต้องไปเอาเครื่องปรุงยาของบ้านคนอื่นมา

เจียงป่าวชิงคุ้นชินกับสมุนไพรมาก ภายในเวลาอันสั้น นางก็สามารถขุดสมุนไพรได้เป็นจำนวนมาก เมื่อขุดเสร็จก็ยืดตัวตรงและเช็ดเหงื่อ นางประเมิณเวลาและคิดว่าควรกลับได้แล้ว

ตอนที่นางกำลังเดินกลับบ้านโดยมีตะกร้าหญ้าสะพายไว้อยู่บนหลังนั้น จู่ ๆ ความรู้สึกที่เหมือนมีคนจ้องจะหาโอกาสเข้ามาประชิดตัวก็กลับมาอีกครั้ง มันเหมือนมีใครบางคนกำลังสังเกตนางอยู่ในมุมมืด

ฝีเท้าของเจียงป่าวชิงค่อย ๆ ช้าลง นางแสร้งทำเป็นยังไม่รู้ตัว จากนั้นก็คลำเข็มเงินออกมาจากบริเวณเอวด้วยใบหน้าราบเรียบ

เสียงฝีเท้าที่เบามากดังมาจากทางด้านหลัง เจียงป่าวชิงหยุดฝีเท้าลงและวิ่งตรงไปทางนั้นทันที

คนที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงจะสังเกตเห็น เขาจึงทำอะไรไม่ถูก และตอนที่เขาเตรียมจะหมุนตัวหนี เขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ดในบางส่วนของร่างกายประหนึ่งถูกมดกัด แต่เขากลับขยับตัวไม่ได้ทั้งอย่างนั้น โชคร้าย! สุดท้ายเขาก็ล้มลงไปบนพื้นอย่างเฉียบพลันราวกับท่อนไม้

เจียงป่าวชิงเดินไปตรงหน้าเขาอย่างช้า ๆ พร้อมรอยยิ้มที่นุ่มนวลก่อนจะออกแรงใช้เท้าถีบคนบนพื้นเพื่อให้เขาพลิกตัวกลับมา

เมื่อเผชิญหน้ากัน รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงป่าวชิงก็นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น เพราะมันบังเอิญจริง ๆ ที่นางมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับคนผู้นี้

ชายคนนี้เป็นหลานของน้องชายจากที่บ้านแม่ของหลีโผจื่อ เขาชื่อว่าหลีกาวเลี่ยง อายุยี่สิบกว่าปีแต่ว่างการว่างงาน ช่วยงานทำนาของที่บ้านไม่ได้แล้วยังไม่ยอมออกไปหางานทำจริง ๆ จัง ๆ อีกด้วย เขามักจะมาขอเงินหลีโผจื่ออยู่บ่อยครั้ง และยังรังแกเจียงป่าวชิงอีกต่างหาก

หลีกาวเลี่ยงมีสีหน้าหวาดกลัว เขามองเจียงป่าวชิงเหมือนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น “เจ้าปัญญาอ่อน เจ้าทำอะไรกับข้า ? รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าทนไม่ไหว”

เจียงป่าวชิงใช้เท้าถีบหลีกาวเลี่ยง “เหอะ! เจ้าอยู่ในสภาพนี้ยังมีหน้ามาขี้โม้อีกรึ ?”

หลีกาวเลี่ยงหน้าซีด “เจ้าปัญญาอ่อน เจ้ามัน… เจ้า… เจ้า…!” เขาพูดติด ๆ ขัด ๆ คำว่า ‘เจ้า’ อยู่สักพัก จากนั้นคำที่ตามมาคือคำด่าลามกอนาจารเหยียดยาว ฟังดูเป็นวาจาที่สกปรกมาก

เจียงป่าวชิงเหยียบลงไปบนปากของหลีกาวเลี่ยง แต่ใบหน้าของนางยังคงมีรอยยิ้มนุ่มนวลเช่นเดิม “เจ้าไม่รู้จักที่ตายจริง ๆ ถึงขนาดนี้แล้วยังรณหาที่ตายอีกรึ ? น่าสมเพช!”

หลีกาวเลี่ยงเบิกตากว้าง เขาพยายามตะเกียกตะกายอย่างสุดกำลัง แต่ไม่ว่าจะเปลืองแรงตะเกียกตะกายอย่างไร ตัวเขากลับเหมือนถูกมัดไว้อย่างนั้น มันทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย

ดวงตาของหลีกาวเลี่ยงค่อย ๆ เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวาดผวาอย่างช้า ๆ  ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถตอบโต้อะไรเจียงป่าวชิงได้

เจียงป่าวชิงเห็นว่าหลีกาวเลี่ยงประพฤติตัวดีแล้วถึงจะเก็บเท้ากลับมา  เนื่องจากนางขุดสมุนไพรอยู่ในป่ามาตลอดทั้งบ่าย บนรองเท้าของนางจึงเต็มไปด้วยโคลนและโคลนนั้นก็เปื้อนอยู่บนปากของหลีกาวเลี่ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลีกาวเลี่ยงปกปิดความเคียดแค้นที่อยู่ในแววตา และทำทีเป็นพูดอย่างคนอ่อนแอ “เจียงป่าวชิง ถึงอย่างไรเราก็ถือว่าเป็นญาติกัน ข้าเป็นพี่ชายของเจ้า และเราไม่ได้มีความแค้นต่อกัน เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า ? เร็ว!… รีบปล่อยข้าเร็วสิ”

เจียงป่าวชิงเหมือนได้ยินคำพูดตลกอะไรบางอย่างทำนองนั้น สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “ไม่มีความแค้นอะไรอย่างนั้นรึ ? แล้วเจ้าสะกดรอยตามข้าทำไม ?”

ลูกตาของหลีกาวเลี่ยงหมุนไปมาเล็กน้อย เขาเพิ่มระดับเสียงพูดเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเสียขวัญ “ใครบอกว่าข้าสะกดรอยตามเจ้า ? ถนนเส้นนี้ไม่ได้ชื่อเจียงสักหน่อย ข้าเดินทางด้วยถนนเส้นนี้ไม่ได้รึ ?”

เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย “ฮ่า ๆ ๆ เห็นทีว่าเจ้ายังไม่ซื่อสัตย์ หากว่าเจ้ามีความมั่นใจ แล้วเจ้าหนีทำไม ? หากว่าเจ้ามีความมั่นใจ เหตุใดในตอนแรกเริ่มเจ้าก็เริ่มด่าข้าแล้วเล่า ?”

เจียงป่าวชิงหยิบพลั่วออกมาจากในตะกร้าหญ้าที่ด้านหลังและนำมาชั่งน้ำหนักในมือ “อืม… ข้าว่าพลั่วนี้ก็ไม่เลว” นางนั่งยอง ๆ จากนั้นก็นำพลั่วไปทาบตามแนวขวางอยู่ตรงลำคอของหลีกาวเลี่ยง และแกว่งมันไปมาด้วยท่าทางครุ่นคิด “อืม… แหลมคมขนาดนี้ ถ้าข้าไม่ระวังและทำให้พลั่วบาดลงไปบนลำคอของเจ้าล่ะก็นะ มันคงจะ… อื้ม… อีกอย่าง แถวนี้ล้วนเป็นป่าลึก คงจะง่ายต่อการทิ้งศพมากเลยทีเดียวเชียวแหละ…”

ถึงแม้ว่าหลีกาวเลี่ยงจะนอนขยับตัวไม่ได้ แต่ลูกตาของเขากลับมองลงไปด้านล่างและมองพลั่วที่กำลังแกว่งไปมาอยู่บนลำคอของตัวเอง แม้ว่าจะมีโคลนติดอยู่บนใบมีด แต่โคลนก็ยังไม่สามารถปกปิดความคมของมันได้

หลีกาวเลี่ยงกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว เหงื่อเม็ดใหญ่ก็ไหลจากบนหน้าผากลงไปบนพื้น  เขาถึงขั้นสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกจากใบมีดที่มันค่อย ๆ บาดอยู่บนผิวหนังของเขาอย่างช้า ๆ

จิตใจของหลีกาวเลี่ยงว้าวุ่นอย่างที่สุด เขาตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง “ข้าพูด! ใช่ข้าพูด! เจ้าอย่าฆ่าข้านะ อย่าฆ่าข้าเลย…”

เจียงป่าวชิงยิ้มอย่างนุ่มนวลและลุกขึ้นพร้อมกับพลั่วเล็ก ๆ ในมือ นางมองหลีกาวเลี่ยงอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า “เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่รึ ?”

หลีกาวเลี่ยงถูกเจียงป่าวชิงทรมานจนจิตใจของเขาพังทลายไปหมดแล้ว เขาพูดถึงเรื่องทั้งหมดเหมือนกับการเทถั่วลงไปในกระบอกไม้ไผ่

เจียงป่าวชิงได้รู้ต้นสายปลายเหตุ  ที่แท้ก็เป็นหลีโผจื่อที่ไปหาเขาและให้เขาหาวิธีแต่งเจียงป่าวชิงเข้าไปในบ้านให้ได้ ต่อให้ใช้วิธีอะไร เช่นทำมิดีมิร้ายกับร่างกายของนาง ก็ต้องทำให้นางแต่งงานกับเขาให้ได้

ถึงตอนนั้นตระกูลเจียงค่อยคิดหาวิธีทำให้เจียงป่าวชิงนำที่ดินห้าไร่มาเป็นสินสมรสอีกที  ส่วนที่ดินห้าไร่นั้น หลีกาวเลี่ยงก็จะแบ่งกับตระกูลเจียงคนละครึ่ง ดังนั้น ช่วงนี้หลีกาวเลี่ยงจึงจงใจสะกดรอยตามเจียงป่าวชิง เพื่อหาเวลาที่เหมาะสมในการลงมือขืนใจนาง

แต่ผลที่ได้คือเมื่อวานเขาไม่รอบคอบจึงเหยียบกิ่งไม้อย่างไม่ระวังทำให้เจียงป่าวชิงรู้ตัวเสียก่อน และในตอนที่เจียงป่าวชิงเข้ามาในภูเขาเมื่อช่วงเช้า หลีกาวเลี่ยงกลับคลาดสายตาจากนางไปจนได้ เขารออยู่ที่นี่ตลอด รอจนกระทั่งเจียงป่าวชิงกลับมาจากถนนเส้นนี้

เดิมทีเขาตั้งใจหาที่เงียบสงบเพื่อลงมือ แต่ใครจะไปคิดว่าเจียงป่าวชิงจะระวังตัวเป็นอย่างดี อีกทั้งยังควบคุมเขาโดยใช้หลักการ ‘ลงมือก่อนได้เปรียบ’ อีกต่างหาก

เขาแพ้นางอย่างสมบูรณ์

.