ตอนที่ 97 :เดินทางกับรุ่นพี่สาว
หวังเย่ายืนอยู่ที่ทางออกและมองออกไปยังบึงด้านล่าง ตอนนั้นก็มีการเคลื่อนไหวที่ด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็พบกับคนที่คุ้นตา เธอมีขาที่เรียวยาวกว่า 1.25 เมตร เธอคือดาวมหาวิทยาลัย ฟ่านฉิงเหมย
“รุ่นพี่ฟ่านหรือ ? ” หวังเย่าอุทานออกมา
ฟ่านฉิงเหมยเองก็ชะงักไป เธอจำหวังเย่าในงานประชุมได้ เขาขึ้นมา 100 อันดับแรกได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กใหม่ เธอมองไปที่เขาด้วยความสงสัย
“หวังเย่า ทำไมนายถึงมาที่นี่ได้ ? ” เสียงของเธอไพเราะราวกับเสียงระฆังสวรรค์ เธอดูดีและวางตัวได้สง่าเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ฟ่านฉิงเหมยก็ไม่ชอบสุงสิงกับใคร เธอมักจะเดินทางออกไปข้างนอก น้อยครั้งนักที่จะได้พบเธอ ดังนั้นเพื่อนร่วมชั้นของเธอจึงไม่รู้จักเธอมากนัก จึงทำให้เธอสูญเสียตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัยไป
แน่นอนด้วยนิสัยของเธอแล้ว เธอไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้
หวังเย่ามองไปที่อีกฝ่ายและพูดขึ้น “ผมมาล่าวัตถุดิบจากสัตว์อสูร ตอนนี้กำลังจะกลับแล้ว ทำไมพี่ถึงได้มาที่นี่ได้ ? ”
ฟ่านฉิงเหมยมองไปรอบ ๆ แล้วพูดขึ้น “นายเห็นคนอื่นอยู่ที่นี่รึเปล่า ? ”
“เห็น” หวังเย่าตอบกลับตามจริง “พี่ตามหากองกำลังจันทราทั้ง 11 คนอยู่หรือ ? ”
“ดีจริง ๆ ที่นายเห็นพวกเขา นายบอกฉันทีว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน” ฟ่านฉิงเหมยแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมา “พวกเขาเข้ามาในเขตลับนี่นานแล้ว หัวหน้ากองจึงไม่สบายใจและส่งฉันมาดู นายบอกได้มั้ยว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ? ”
ตอนนั้นเอง ไกลออกไปก็มีเสียงกรีดร้องของคนสองคนดังขึ้นมา
ฟ่านฉิงเหมยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เธอมองตามเสียงนั้นไป และก็ต้องแปลกใจเมื่อพบกับฝูงสัตว์อสูรน้ำกำลังล้อมเกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง สัตว์อสูรน้ำตัวใหญ่ตนนั้น ได้สร้างคลื่นขนาดยักษ์ขึ้นมาเพื่อที่จะจมเกาะเล็ก ๆ นี้
หวังเย่าคิดและตัดสินใจจะบอกความจริงกับฟ่านฉิงเหมย “ เสียงร้องเมื่อตะกี้น่าจะเป็นของหลี่ม่อทงและเกาเสี่ยวขวง ผมคิดว่าพวกเขาคงตายไปแล้ว”
“หวังเย่า นายหมายความว่ายังไง ? ” ฟ่านฉิงเหมยเริ่มรู้สึกแย่ขึ้นมา
หวังเย่าได้เล่าความจริงออกมา
ฟ่านฉิงเหมยได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่เงียบ เธอมองไปที่บึงด้วยท่าทีลังเล
“รุ่นพี่ฟ่าน ฉันอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว ฉันขอตัวก่อน” หวังเย่ารู้สึกว่าหายใจได้ลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ เขาเก็บหงอคงเข้าไปในกำไลก่อนจะก้าวเข้าไปในประตูเมฆ แล้วถูกผลักออกมาจากเขตลับ
1 นาทีต่อมา หวังเย่าก็ได้กลับไปที่ทางออก เขาสูดเอาอากาศอันสดชื่นเข้าไปอยู่สักพักด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ จากนั้นเขาก็รู้สึกดีกับการที่รอดชีวิตออกมา
แทนที่จะรีบกลับไป หวังเย่ากลับหาก้อนหินเพื่อนั่งพักฟื้นฟูร่างกาย
ผ่านไป 5 นาทีที่ทางเข้าประตูเมฆก็ได้มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา ก่อนจะตกลงมาตรงหน้าหวังเย่า
“สมกับเป็นนักศึกษาระดับสูง พี่ถึงกับโดดมาถึงนี่ได้”
“หวังเย่า นายมั่นใจหรือว่าพวกเขาตายหมดแล้ว ? ” เธอยังดูไม่เชื่อ
หวังเย่าแสดงสีหน้ามั่นใจออกมา “ไม่มีใครรอดมาได้ ผมรอดมาได้เพราะโชคดีที่อสูรของผมพัฒนาขึ้นมาและมีความสามารถในการบินระยะสั้นได้”
ฟ่านฉิงเหมยพยักหน้าและหยุดถามเรื่องนี้
หลังจากนั้น 2 นาที หวังเย่าก็เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน “รุ่นพี่ฟ่าน ผมรู้สึกว่าพี่น่ะเป็นคนลึกลับมาก ช่วยเล่าเรื่องราวของพี่ให้ผมฟังหน่อยได้มั้ย ? ”
ฟ่านฉิงเหมยพูดขึ้น “ไม่มีอะไรต้องเล่า นายจะรู้เอง ที่สาขาตรวจสอบน่ะพวกปีสองจะเริ่มออกไปหาประสบการณ์เพียงลำพัง ไม่คิดเลยว่านายจะออกมาเองในตอนนี้”
หวังเย่าพูดขึ้น “ผมไม่มีครอบครัวให้กลับไปหาตอนปีใหม่เลยใช้โอกาสนี้ออกเดินทาง แล้วรุ่นพี่ฟ่านล่ะ วันหยุดพี่ไม่กลับไปงั้นหรือ ? ”
ฟ่านฉิงเหมยยักคิ้ว สีหน้าของเธอหม่นลงและพูดขึ้น “พ่อฉันมีแม่เลี้ยงดูแลอยู่แล้ว”
ความหมายมันชัดเจนอยู่แล้ว
“รุ่นพี่ฟ่าน พี่จะไปไหนต่อ ? ”
“ก็ไม่มีที่ไหนเป็นพิเศษ ฉันว่าจะไปทางเหนือ ฉันได้ยินมาว่าไม่นานมานี้ที่ทางเหนือของภูเขาจันทรคตินั้นมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง ฉันอยากจะลองไปที่นั่นดู”
“พี่พาผมไปด้วยได้มั้ย ? ” หวังเย่ายักไหล่ “ยังไงซะมันก็เพิ่งจะปิดเทอม ผมเองก็อยากใช้เวลาอยู่ด้านนอกนาน ๆ ”
ฟ่านฉิงเหมยมองไปที่หวังเย่า ก่อนจะพึมพำออกมา “ก็ได้ นายไปด้วยก็ได้ แต่ถ้ามีอันตราย ฉันจะปกป้องตัวเองก่อน นี่คือกฎข้อแรกในการเอาตัวรอด นายน่าจะเข้าใจ”
หวังเย่าพยักหน้าและพูดขึ้น “สบายใจได้ ผมจะไม่เป็นตัวถ่วงของรุ่นพี่หรอก ถ้ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น พี่หนีไปได้เลย”
“ก็ดี”
ทั้งสองพูดคุยกันไม่มากนัก ยังไงซะพวกเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก
หลังจากที่พักได้ไม่นานทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปทางเหนือต่อ พวกเขาเดินลัดเลี้ยวไปตามภูเขา เส้นทางนั้นยากลำบาก หวังเย่าต้องเรียกหงอคงออกมาเพื่อเปิดเส้นทาง ทั้งสองเดินไปด้วยพูดคุยกันไปด้วย มันไม่มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งโผล่ออกมา และสัตว์อสูรที่โผล่มานั้นก็ถูกฟ่านฉิงเหมยจัดการได้อย่างง่ายดาย
มันทำให้หวังเย่าแปลกใจ ทักษะของฟ่านฉิงเหมยนั้นมีหลากหลาย เธอเก่งเรื่องปืน, ดาบและธนู ทั้งยังเชี่ยวชาญทักษะต่อสู้ระยะประชิด ร่างกายของเธอก็ยังแข็งแกร่งอีกด้วย
หวังเย่ามองไปที่เธอและอดไม่ได้ที่จะเทียบกับตัวเขาเอง สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าฟ่านฉิงเหมยนั้นไม่ได้มีดีแค่ชื่อ แต่เธอน่ะแข็งแกร่งอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังไม่เห็นอสูรของเธอเลย สิ่งนี้มันทำให้หวังเย่าสงสัยอย่างมาก
อันที่จริงเดินทางคนเดียวกับเดินทางพร้อมสาวงามนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันมาก
ตกเย็นทั้งสองคนก็ออกมาจากภูเขาจานน้อยได้ ใกล้ ๆ นั้นไม่มีบ้านที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้
“พี่รอผมตรงนี้ก่อน” หวังเย่าพูดขึ้นก่อนจะสร้างใบมีดลมเข้าไปถางป่าใกล้ ๆ
เมื่อบวกกับความช่วยเหลือของหงอคง 10 นาทีต่อมาหวังเย่าก็ขุดรูถ้ำขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ กำแพงถ้ำนั้นเรียบ พื้นที่ด้านในมีพื้นที่ประมาณ 10 ตารางเมตร
“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าพานายมาก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง” ฟ่านฉิงเหมยยิ้มออกมา
“กลัวว่าถ้าไม่ทำอะไร ผมจะเป็นตัวถ่วงพี่น่ะสิ” หวังเย่ายิ้มออกมาก่อนจะทำการก่อกองไฟเพื่อทำความอบอุ่น และที่ปากถ้ำเขาก็ได้ใช้หินปิดเอาไว้
“มานั่งลงก่อนสิ” ฟ่านฉิงเหมยเอากล่องไม้ 2 กล่องออกมาจากกระเป๋ามิติ ก่อนจะส่งกล่องไม้กล่องหนึ่งให้กับหวังเย่า
“กินแค่นี้หรือ ? ” หวังเย่าหัวเราะออกมา
“ก็มันสะดวกดี” ฟ่านฉิงเหมยพยักหน้าก่อนจะเอาขวดน้ำออกมาดื่ม จากนั้นเธอก็กินอาหารในกล่องทันที
“ก็ดูเรียบง่ายดีนี่” เมื่อหวังเย่าเห็นว่าเธอจริงจังกับการกินอาหารของตัวเอง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกประทับใจฟ่านฉิงเหมยขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้คิดแบบนั้น
ทั้งสองคนกินอาหารเสร็จก็รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นมาอย่างมากและพูดคุยกันต่อ
“พี่เข้ารวมกองกำลังจันทราหรือ ? ” หวังเย่าถามคำถามที่เขาสงสัยมานาน
“ใช่ ฉันเข้าร่วมกองกำลังจันทราเมื่อปีก่อน นายสงสัยอะไร ? ” ฟ่านฉิงเหมยถามกลับ “นายคงไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับกองกำลังจันทราและกองกำลังทหารรับจ้างของเมืองหัวเซี่ย งั้นฉันจะเล่าให้นายฟังเอง”