เล่ม 3 เล่มที่ 3 ตอนที่ 78 บ๊ะจ่างลูกใหญ่

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ยาถอนพิษทั้งหมดถูกเตรียมไว้แล้ว ทว่าซูจิ่นซียังคงกังวลเล็กน้อย นางยังไม่กล้าให้ฮั่วซืออวี่ดื่มลงไป

        เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เหลือเวลาไม่มากแล้ว ลมหายใจของฮั่วซืออวี่ค่อย ๆ แผ่วเบาลงทีละน้อย

        “พระชายา ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ท่านต้องเชื่อในตนเอง”

        อวิ๋นจิ่นพูดให้กำลังใจซูจิ่นซีอย่างมหาศาล

        ซูจิ่นซีกัดฟัน รวบรวมความกล้า นางก้าวไปข้างหน้าและเปิดปากของฮั่วซืออวี่ เทยาต้มทั้งหมดกรอกลงไปให้ฮั่วซืออวี่ดื่ม

        จากนั้นซูจิ่นซีก็เดินอย่างเชื่องช้าไปที่ข้างโต๊ะ นางวางชามยาลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้

        ทว่าในความเป็นจริง ในใจของซูจิ่นซียังคงไม่ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย

        เมื่อมองไม่เห็นผลลัพธ์ แล้วจะให้นางปล่อยวางใจที่กังวลลงได้อย่างไร

        อวิ๋นจิ่นรับผิดชอบจัดการเรื่องที่เหลืออย่างมีสติ เขาอยู่ข้างกายคอยดูแลตรวจชีพจรของฮั่วซืออวี่อยู่ตลอด

        เวลาจื่อซื่อ [1] ตีเคาะบอกโมงยามดังขึ้น ภายในใจของซูจิ่นซีก็สั่นไหวอีกครั้ง นางหันศีรษะเหลือบมองไปทางอวิ๋นจิ่น

        อวิ๋นจิ่นพยักหน้าตอบซูจิ่นซีด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมจริงจัง

        ซูจิ่นซีไม่ได้พูดสิ่งใด นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปด้านนอก

        “ซูจิ่นซี พี่ชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”

        เมื่อซูจิ่นซีเปิดประตูออกมา ฮั่วอวี้เจียวและฮูหยินฮั่วก็พากันเดินมาหานางที่หน้าประตู

        “ใช่ พระชายาโยวอ๋อง บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”

        “ชีพจรของหัวหน้าขุนพลฮั่วเป็นปกติดีแล้ว ยาถอนพิษก็ป้อนให้เขากินแล้วเช่นกิน ทว่าต้องรอให้เขาตื่นจึงจะมั่นใจได้ว่าไม่เป็นอันตราย”

        “ซูจิ่นซี คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร? สิ่งใดที่เรียกว่ารอให้เขาตื่นจึงจะมั่นใจว่าพ้นอันตรายแล้ว? เจ้าไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมเองหรือว่า เมื่อเขาดื่มยาถอนพิษแล้วจะไม่เป็นอันใดอีก? ”

        เป็นหวาหรงจวิ้นจู่ที่พูดขึ้น

        เมื่อได้ยินเสียงของหวาหรงจวิ้นจู่ ซูจิ่นซีจึงทราบว่านางได้เดินทางมาถึงแล้วเช่นกัน ทว่าซูจิ่นซีไม่มีอารมณ์มาสนใจว่านางมาถึงตั้งแต่เมื่อใด และยิ่งไม่มีแรงมาอธิบายเรื่องราวมากมายให้นางฟังถึงเพียงนั้น เมื่อได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการถอนพิษเนื่องจากเวลาอันจำกัด เรื่องเหล่านี้ล้วนมีแต่มืออาชีพเท่านั้นที่เข้าใจ หากต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ไม่มีเหตุผล เช่นนั้นก็เหมือนกับการสีซอให้ควายฟัง แม้จะอธิบายอย่างไรก็คงไม่เข้าใจ

        “ซูจิ่นซี เจ้าพูดสิ! เจ้าความหมายว่าอย่างไรกันแน่! ”

        หวาหรงจวิ้นจู่ถามอีกครั้ง

        ซูจิ่นซียังคงไม่พูดตอบแม้แต่ประโยคเดียว นางนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องนั่งเล่น ใช้มือกุมหน้าผากแล้วหลับตาลง

        นางเหนื่อยมาก เหนื่อยมากจริงๆ

        เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของหวาหรงจวิ้นจู่ยังคงดำเนินต่อไป ในบางครั้งฮั่วอวี้เจียวและฮูหยินฮั่วก็ตั้งคำถามราวสองประโยคเช่นกันว่าเหตุใดฮั่วซืออวี่ยังไม่ตื่น ทว่าซูจิ่นซียังคงนั่งนิ่งและไม่พูดสิ่งใดแม้แต่ประโยคเดียว

        หลังจากอวิ๋นจิ่นออกมาจากห้องนอนของฮั่วซืออวี่ เขาก็เดินมานั่งตรงข้ามกับซูจิ่นซี

        เมื่อไม่มีผู้ใดสังเกต อวิ๋นจิ่นมักจะขมวดคิ้วมุ่น เขาจ้องมองไปยังซูจิ่นซีที่มีท่าทีเหนื่อยล้าด้วยแววตาเป็นทุกข์ ทว่าเมื่อมีคนเดินมาที่ห้องนั่งเล่น เขาก็จะปรับเปลี่ยนแววตาของตนอย่างรวดเร็ว

        โฉ่วฉือ [2] อิ๋นฉือ [3] เหม่าฉือ [4] เฉินฉือ [5] ……

        ค่ำคืนนี้ ถูกกำหนดให้เป็นค่ำคืนที่ยาวนานค่ำคืนหนึ่ง ทุกครั้งที่ระฆังตีบอกโมงยามดังขึ้น ก็ราวกับเป็นการตีกระทบหัวใจของทุกคนอย่างรุนแรง

        เพราะฮั่วซืออวี่ยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย

        เมื่อยังไม่ตื่นก็แสดงว่า เขายังคงอยู่ในระยะอันตราย

        “พระชายาโยวอ๋อง ดูท่าไม่ดีแล้ว ท่านรีบมาดูหัวหน้าขุนพลเร็วเข้า เขาอาเจียนเป็นเลือดแล้ว”

        ทันใดนั้นก็มีสาวใช้วิ่งออกมาจากห้องด้านในของฮั่วซืออวี่ด้วยความตื่นตระหนก

        จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกระวนกระวายและตื่นตกใจของฮูหยินฮั่ว ฮั่วอวี้เจียว และหวาหรงจวิ้นจู่

        “อวี่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป? เจ้าอย่าทำให้แม่ตกใจสิ! ”

        “ฮือ ท่านพี่! ท่านพี่… ”

        “ท่านพี่ซืออวี่ ท่านพี่ซืออวี่ ท่านเป็นอันใดไป… ซูจิ่นซี เจ้ารีบมาดูสิ นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น”

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็เด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ นางรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของฮั่วซืออวี่อย่างรวดเร็ว นางเดินตรงไปที่เตียงและจับชีพจรที่ข้อมือของฮั่วซืออวี่

        ฮั่วซืออวี่ยังคงอาเจียนเป็นเลือดไม่หยุด

        ซูจิ่นซีใช้ระบบถอนพิษเพื่อวิเคราะห์ปริมาณสารพิษในร่างกายของฮั่วซืออวี่ จากนั้นจึงตรวจอาการของฮั่วซืออวี่อย่างละเอียดอีกครั้ง การแสดงออกของนางดูจริงจังมาก

        “ซูจิ่นซี ท่านพี่ซืออวี่เป็นอันใดไปกันแน่? ”

        หวาหรงจวิ้นจู่เอ่ยถาม

        ซูจิ่นซีไม่ได้พูดตอบ นางได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยอยู่ทางด้านหลัง เมื่อหันศีรษะกลับไปมอง ก็เห็นเป็นอวิ๋นจิ่นที่เดินเข้ามา เขายิ้มอ่อนโยนส่งมาให้นาง มุมปากของซูจิ่นซีจึงค่อยๆ ยกยิ้มขึ้น

        “ซูจิ่นซี เจ้ายิ้มอันใด? เจ้าพูดสักทีสิ! ”

        ซูจิ่นซียังคงไม่ส่งเสียงใด นางเดินออกจากประตูอย่างเชื่องช้าทีละก้าว

        “ซูจิ่นซี ความหมายของเจ้าคืออันใดกันแน่? ข้าถามเจ้าอยู่นะ! ”

        หวาหรงจวิ้นจู่เดินตามด้านหลังซูจิ่นซีไปอย่างไม่ยินยอม ทว่าขณะที่กำลังจะเดินผ่านอวิ๋นจิ่น นางกลับถูกเขาขวางทางเอาไว้

        “องค์หญิง ที่พระชายายิ้มก็เพราะหัวหน้าขุนพลฮั่วไม่เป็นอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

        “จะไม่เป็นอันใดได้อย่างไร? ท่านพี่ซืออวี่อาเจียนเป็นเลือดเยอะถึงเพียงนั้น”

        “สิ่งที่อาเจียนออกมาก็คือเลือดพิษที่ติดอยู่ในร่างกาย เมื่ออาเจียนออกมาจนหมดก็ไม่เป็นอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

        รอยยิ้มของอวิ๋นจิ่นราวกับมีไว้เพื่อซูจิ่นซีเพียงผู้เดียว แม้แต่ในเวลานี้ที่เขาพูดกับองค์หญิงก็แสดงท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมยืดหยุ่น พูดจาอย่างสำรวมด้วยท่าทีเคร่งขรึม

        เนื่องจากซูจิ่นซีมีระบบถอนพิษอยู่ในร่างกาย กอปรกับความรู้ระดับมืออาชีพ โดยพื้นฐานแล้วการถอนพิษให้กับผู้คนจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่ลงมือนางยังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอีกด้วย

        นี่เป็นครั้งแรกที่นางแข่งกับเวลาเพื่อแย่งคนกับพญายม

        แย่งชิงกันอย่างยากลำบาก

        และเป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าผู้คนที่อยู่ใต้ฟ้าบนดินนั้นมีขนาดเล็กเพียงใด น้อยนิดมากเพียงใด และเปราะบางมากเพียงใด

        แสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่องทั่วท้องนภา ส่องแสงเจิดจ้าไปทั่วทุกทิศ

        เมื่อแสงตกกระทบลงมาบนร่างกายของซูจิ่นซี ก็ราวกับนางถูกเคลือบไปด้วยชั้นแสงสีทอง งดงามเป็นอย่างยิ่ง

        ซูจิ่นซีเดินไปยังด้านนอกจวนสกุลฮั่วทีละก้าวๆ ทั่วทั้งร่างราวกับไม่มีแรงแม้แต่น้อย ขาทั้งสองข้างดูเหมือนจะหมดแรงเสียอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งเดินมากเท่าไรร่างก็ยิ่งหนักมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเดินก็ยิ่งแหงนหน้าไม่ขึ้น

        ขณะที่นางรู้สึกว่าจะเดินไม่ไหวอีกต่อไป ทันใดนั้นด้านหน้าก็ปรากฎเงาร่างของเยี่ยโยวเหยาขึ้นท่ามกลางฝุ่นลมที่ตลบอบอวน เขากำลังมองมาที่นางด้วยความโกรธเล็กน้อย

        ซูจิ่นซีคิดว่าตนเองจะต้องตาฝาดอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นนางคงมีอาการประสาทหลอน หรือบุคคลตรงหน้าคือปีศาจเป็นแน่

        นี่เป็นเวลาใดแล้ว คาดไม่ถึงว่านางยังจะนึกถึงเยี่ยโยวเหยาอีก

        ทว่าเมื่อซูจิ่นซีกำลังจะล้มลงกลับถูกเยี่ยโยวเหยาคว้าจับด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า ซูจิ่นซีถึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง นางจึงวางใจหมดห่วงแล้วปล่อยตัวนอนสลบไป

        การแสดงออกของเยี่ยโยวเหยาตั้งแต่ต้นเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว เขาอุ้มซูจิ่นซีขึ้นมาในท่าเจ้าสาวและเดินออกจากจวนสกุลฮั่วไปโดยปราศจากรถม้า เยี่ยโยวเหยาโอบอุ้มซูจิ่นซีเดินไปในทิศทางของจวนโยวอ๋อง

        แม่ทัพฮั่วที่กลับมาพร้อมกับเยี่ยโยวเหยามองร่างที่เดินจากไปของเยี่ยโยวเหยาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ทันใดนั้นแม่ทัพฮั่วก็นึกถึงสิ่งต่างๆ มากมายได้ในทันที เพียงแต่สิ่งสำคัญที่สุดที่นึกขึ้นได้คือบุตรชายคนเดียวของเขา ‘ฮั่วซืออวี่’

        เดิมทีเขาและเยี่ยโยวเหยาได้สะกดรอยตามบุคคลที่จับพระชายาโยวอ๋องไปทางทิศใต้ ต่อมาพระชายาโยวอ๋องก็หายตัวไปอีกครั้ง พวกเขาเหวี่ยงแหเพื่อค้นหาอยู่บริเวณใกล้ๆ จนกระทั่งเมื่อคืนที่ได้รับสาส์นจากนกอินทรีที่จวน ถึงได้รู้ความจริงว่าพระชายาโยวอ๋องได้กลับไปยังเมืองตี้จิงแล้ว

        ในเวลานั้น โยวอ๋องรับสั่งให้กลับเมืองตี้จิงทันที เดิมทีต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ทว่าโยวอ๋องใจร้อนจึงเดินทางโดยใช้ม้า ระหว่างทางมีม้าตายไปสี่ตัว ท้ายที่สุดจึงใช้เวลาเพียงเจ็ดชั่วยามในการกลับมายังเมืองตี้จิง

        ซูจิ่นซีหลับใหลไปสามวันสามคืนเต็มๆ

        หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาในวันที่สาม ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือดดังไปทั่วทั้งเรือนชิงโยว แม้แต่หลังคาของเรือนอวิ๋นไคก็เกือบปริแตกเพราะเสียงนี้

        เหตุผลก็คือซูจิ่นซีพบว่าตนเองถูกมัดจนกลายเป็นบ๊ะจ่างลูกใหญ่ลูกหนึ่ง

……