ตอนที่ 143 งั้นก็ชดใช้มา / ตอนที่ 144 พูดมันไม่ชัดเจนพอ

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 143 งั้นก็ชดใช้มา

 

 

เธอเอื้อมมือไปปิดปากพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด

 

 

นี่มันอะไรกัน

 

 

ทำไมปากถึงเจ็บขนาดนี้

 

 

เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น

 

 

ทำไมเธอจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ

 

 

พยายามคิดจนหัวแทบจะระเบิด แต่ก็นึกไม่ออกว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ให้ตาย! …

 

 

เมื่อคืนเธอดื่มไปมากแค่ไหนกัน

 

 

“คุณคิดอะไรอยู่” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากอีกฝั่ง

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นมาเจอป๋อจิ่งชวนกำลังใช้มือหนึ่งท้าวศีรษะมองเธออยู่…

 

 

ใบหน้านั้นยังคงดูดีชวนให้คนมองลืมหายใจและมีท่าทางขี้เกียจอย่างคนเพิ่งตื่นนอน

 

 

เสื้อเชิ้ตราคาแพงของเขามีรอยยับเล็กน้อย กระดุมคอเสื้อถูกปลดเอาไว้สองเม็ด ตรงหางตาของเขาประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่เธอไม่คุ้นชิน

 

 

แม้แต่ท่าทางขี้เกียจของเขายังล่อลวงชวนหลง!

 

 

ทว่าสายตาของเฉินฝานซิงกลับจับจ้องไปที่มุมปากของป๋อจิ่งชวนไม่กะพริบ

 

 

เนิ่นนานกว่าสายตาของเธอจะเคลื่อนขึ้นมาสบตากับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มและดวงตาที่เป็นประกายของเขา

 

 

ใบหน้าของเธอพลันแดงขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะรีบละสายตาหนี

 

 

“ขอโทษนะ เมื่อวานฉันดื่มหนักไปหน่อย จำอะไรไม่ได้เลย”

 

 

เธอจำไม่ได้จริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้โง่

 

 

แผลที่มุมปากของเขาตำตาอยู่ขนาดนั้น

 

 

ไม่ผิดแน่ แม้แผลจะไม่ใหญ่ แต่เมื่ออยู่บนใบหน้าไร้ที่ติของเขา มันเด่นชัดเกินไป

 

 

เขาเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะดูคิดมากเกินไป เธอชี้นิ้วไปที่เสื้อของเขา “ขอโทษนะที่ทำเสื้อของคุณเป็นแบบนี้ ฉัน…ฉันจะชดใช้ให้”

 

 

“ชดใช้?”

 

 

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พลางเลิกคิ้วเรียวขึ้น

 

 

เฉินฝานซิงพยักหน้า “นั่นน่าจะเป็นฝีมือฉันนะ”

 

 

“อืม อันที่จริงก็เป็นฝีมือคุณ” ป๋อจิ่งชวนไม่ปฏิเสธ

 

 

เธอยกมุมปากอย่างกระอักกระอ่วนจนรู้สึกเจ็บ

 

 

ทันใดนั้นเขาก็ขยับกายประชิดเธอ

 

 

“คุณแน่ใจเหรอว่าจะชดใช้”

 

 

เฉินฝานซิงพยักหน้า “…ฉันควรชดใช้ให้”

 

 

ป๋อจิ่งชวนเงียบไปก่อนจะกระซิบถามเสียงเบาว่า

 

 

“คุณจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้มากแค่ไหน”

 

 

เธอฟังแล้วใจกระตุกด้วยความไม่มั่นใจ

 

 

“…ฉันรอคุณอยู่ที่ลานจอดรถหลังโรงแรม”

 

 

“หึ” …แค้นหัวเราะเสียงต่ำ “งั้นก็ชดใช้มา”

 

 

“…”

 

 

ป๋อจิ่งชวนชี้ที่แผลตรงมุมปากตัวเอง “ตรงนี้คุณตั้งใจชดใช้ผมยังไง”

 

 

ความอึดอัดผุดขึ้นแววตา ปัญหาที่เธอจงใจเลี่ยงหนีเมื่อครู่ สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น

 

 

“…เมื่อคืนฉันดื่มไปเยอะมาก จำไม่ได้หรอก…”

 

 

“คุณจะกลับคำงั้นเหรอ” เขาหรี่ตามอง

 

 

เธอปวดหัวหนักกว่าเดิม “ไม่ใช่ แต่ฉันจำไม่ได้จริงๆ ว่าทำอะไรลงไป!”

 

 

เขาจ้องมองเธอลึกๆ สักพัก แล้วค่อยๆ ยืดตัวขึ้น ประตูรถได้ถูกเปิดออกในนาทีต่อมา ทันทีที่มวลอากาศสดชื่นพุ่งเข้าสู่ปลายจมูก เขาก็หมุนตัวลงจากรถ

 

 

“ไม่เป็นไร ผมให้เวลาคุณคิด”

 

 

เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

 

พลางทอดมองไปยังร่างของป๋อจิ่งชวนที่เดินใกล้ถึงตัวคฤหาสน์ จึงค่อยเปิดประตูลงจากรถ เมื่อกลับไปถึงที่พักที่อยู่สวนหลังบ้าน เธอก็ล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

 

ระหว่างนั้นเธอก็พยายามคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกสักที

 

 

อีกด้านหนึ่ง ในตอนที่ป๋อจิ่งชวนกลับมาถึงบ้านใหญ่ เขาก็ล้างหน้าแปรงฟันจนเสร็จสรรพ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในเสื้อผ้าชุดใหม่ ราวกับกำลังรอให้เธอมาทานอาหารพร้อมกัน

 

 

“นึกออกรึยัง?”

 

 

เมื่อเห็นเธอหย่อนตัวนั่งลงบนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เขาก็เงยหน้ามองเธอด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ใช่รอยยิ้ม

 

 

เธอฉีกยิ้มแห้งๆ พร้อมส่ายหน้า “ยังเลย”

 

 

“นึกไปเรื่อยๆ”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 144 พูดมันไม่ชัดเจนพอ

 

 

หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ เธอก็ยังคงคิดไม่ออก ไม่มีสักความคิดที่ผุดขึ้นมาเลย

 

 

ป๋อจิ่งชวนเองก็ขึ้นชั้นบนไปแล้ว เฉินฝานซิงอยากจะบอกเขาสักคำว่าเมื่อวานนี้เธอตกลงกับสวี่ชิงจือไว้ว่าวันนี้จะเข้าบริษัท

 

 

เธอจึงนั่งรอให้เขาลงมาอยู่ในห้องรับแขก

 

 

จางมาถือถาดเดินเข้ามาด้วยท่าทางกังวลแล้วพูดกับเธอว่า “คุณหนูเฉินช่วยฉันนำยานี่ขึ้นไปให้คุณผู้ชายได้ไหมคะ พอดีฉันต้มซุปไว้ที่ห้องครัวเลยขึ้นไปไม่ได้”

 

 

เฉินฝานซิงรีบรับถาดมาถือไว้ “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

 

 

จางมาพยักหน้าด้วยความขอบคุณ รีบหมุนตัวเดินกลับไปในห้องครัว

 

 

เฉินฝานซิงเคาะประตูห้องของเขา หลังจากได้ยินเสียงเสียงทุ้มบอกเชิงอนุญาต เธอถึงเปิดประตูเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง

 

 

ป๋อจิ่งชวนกำลังยืนผูกเนกไทอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า เมื่อเขาหันมาเจอกับเฉินฝานซิงก็ต้องชะงัก หยุดการกระทำในมือลง

 

 

“ฉันเอายามาให้คุณแทนจางมา” เธอวางถาดลง

 

 

เขาละสายตา ก่อนจะดึงเนกไทที่ผูกไปได้แค่ครึ่งเดียวออก

 

 

“เนกไทยังผูกไม่เรียบร้อย”

 

 

เธอแอบเม้มปาก แต่ก็ยอมเดินไปหยุดลงตรงหน้าเขาอย่างว่าง่าย

 

 

“ให้ฉันช่วย?”

 

 

ชายหนุ่มไม่พูดอะไร เพียงแค่ปล่อยมือที่จับเนกไทลง

 

 

เป็นคำตอบแบบไม่มีเสียง

 

 

เธอผ่อนลมหายใจเบาๆ ยกมือขึ้นมาจับเนกไทสีน้ำเงินลายทางตรงหน้าอก

 

 

ขณะเดียวกันป๋อจิ่งชวนก็ก้มลงพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าอย่างละเอียด

 

 

ผิวขาวอมชมพูเลือดฝาด ปลายจมูกเชิดรั้น ขนตางอนยาวลู่ลงเป็นแพ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ แต่งหน้าบางๆ ที่บัดนี้ดูเรียบง่ายและน่ามอง

 

 

กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบกาย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขยับกายเข้าใกล้อีกหน่อย

 

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง การกระทำในมือของเธอก็พลันหยุดชะงักก่อนจะถอยกลับไปสองก้าว

 

 

ป๋อจิ่งชวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นจับจ้องที่เธอ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนกายเข้าหาเธออีกครั้ง เธอถอยหลังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแผ่นหลังชิดเข้ากับตู้เสื้อผ้าด้านหลัง เธอจนมุมหมดทางหนี…

 

 

ชายหนุ่มสง่างามตรงหน้ากักขังเธอเอาไว้ด้วยการกระทำที่อุกอาจและนั่นทำเอาหัวใจของเธอต้องสั่นไหวอีกครั้ง

 

 

“คุณนึกออกรึยัง?”

 

 

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวลเหนือศีรษะเธอ ในใจเธอราวกับมีเสียงทุ้มของกลองดังระรัวอยู่ตรงกลางใจจนเกิดเป็นระลอกคลื่น

 

 

“ยังเลย บางที…มันก็ไม่ได้นึกออกง่ายขนาดนั้น…”

 

 

ทันใดนั้นมือของป๋อจิ่งชวนก็วางลงบนเอวของเธอแล้วกระชับเบาๆ

 

 

เฉินฝานซิงสะท้านไปทั้งตัว มือคู่นั้นวางลงบนไหล่ทั้งสองข้างของเขาอย่างไม่รู้ตัว ยังไม่ทันได้ตอบโต้ก็พลันได้ยินน้ำเสียงแหบพร่าอันเย้ายวนที่ทำให้คนฟังแทบจะขาดอากาศหายใจ

 

 

“ให้ผมช่วยเตือนความจำให้สักหน่อยไหม”

 

 

ในตอนนี้เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาตรงๆ เลยด้วยซ้ำ

 

 

ผู้ชายตรงหน้าคนนี้แข็งแกร่งเกินไป เขาคงจะไม่รู้เลยว่าการที่เขาเข้าใกล้เธอทุกครั้งของเขามันมีอิทธิพลต่อเธอมากแค่ไหน

 

 

สองมือที่วางอยู่บนแผ่นอกออกแรงผลักให้เขาออกห่าง แต่ผู้ชายตรงหน้ากลับเหมือนภูเขาลูกหนึ่งที่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

 

 

เธอเริ่มรู้สึกหมดหวัง

 

 

“งั้นก็ต้องขอบคุณล่วงหน้าแล้วกัน”

 

 

ระยะห่างที่ลดลง กลิ่นหอมจากกายหญิงสาวก็ยิ่งชัดเจน

 

 

“เงยมองผม”

 

 

เฉินฝานซิงรู้สึกเหมือนตัวเองแทบจะเป็นบ้า

 

 

แต่สุดท้ายเธอก็เงยหน้าขึ้น

 

 

หน้าผากเธอแตะเข้ากับกรามของเขา

 

 

ชายหนุ่มโน้มกายเข้าหาเธออีกครั้ง

 

 

“คุณแค่บอกฉันก็พอ ไม่เห็นต้องใกล้ขนาดนี้”

 

 

“พูดมันไม่ชัดเจนพอ”