ตอนที่ 116 สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 116 สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ

เจียงป่าวชิงเลิกคิ้ว แต่ในมือกลับคลำเข็มตรงบริเวณเอวไว้แล้ว

“การสั่งสอนครั้งที่แล้ว ยังไม่พอใช่ไหม ?” เจียงป่าวชิงถามยิ้ม ๆ

เมื่อหานอิงฉีได้ฟัง ในนัยน์ตาของเขาพลันแดงก่ำ สีหน้าของเขาก็แทบจะกลืนกินเจียงป่าวชิงเข้าไปทั้งตัวได้อยู่แล้ว

ผู้ติดตามคนหนึ่งของหานอิงฉียังจำเจียงป่าวชิงไม่ได้ เขาพูดยุแยงอยู่ด้านข้าง “คุณชายหาน เด็กผู้หญิงคนนี้บ้าคลั่งเกินไป เจ้าลองฟังที่นางพูดสิ น่ากลัวชาย่อยนะ!”

“ข้าต้องสั่งสอนนางสักหน่อยแล้ว!”

สีหน้าของหานอิงฉียิ่งอยู่ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ เขาพลิกมือกลับไปเฆี่ยนอย่างโหดเหี้ยม หนึ่งในผู้ติดตามที่อยู่ใกล้หานอิงฉีที่สุดถูกเขาเฆี่ยนเสียแล้ว ชายคนนั้นโซเซเล็กน้อย กว่าจะยืนนิ่งก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร เขาป้องหน้า ไม่รู้เลยว่าตัวเองพูดประโยคไหนผิดไป

สีหน้าของหานอิงฉีแลดูครึ้มฝนจนแทบจะมีน้ำหยดลงมาได้อยู่แล้ว “หญิงชู้ เจ้าอย่าคิดว่าเจ้ากับพี่ชายขอทานของเจ้ามีที่พึ่งแล้วข้าจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้!”

เจียงป่าวชิงกลับหัวเราะเบา ๆ

คนที่ยิ่งพูดจารุนแรงเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่ายิ่งมีความขลาดกลัวอยู่ในใจของเขา ไม่อย่างนั้นก็คงจะลงมือทำจริง ๆ แล้ว ใครเขาจะมาพูดข่มขู่ฉอด ๆ อยู่แบบนี้ล่ะ ?

เจียงป่าวชิงพูดเสียงเรียบ “หานอิงฉี เจ้าพูดเช่นนี้นี่เจ้าได้คำนึงถึง ‘พี่เขย’ ของเจ้าก่อนหรือเปล่า พี่เขยของเจ้าคนนั้นกลัวว่าจะล่วงเกินที่พึ่งของข้ามากเลยนะ ที่เจ้าก่อเรื่องที่นี่ หรือว่าเจ้าไม่ชอบที่ตำแหน่งของพี่เขยของเจ้าคงที่จนเกินไปอย่างนั้นรึ ?”

สีหน้าของหานอิงฉีเหยเกแทบดูไม่ได้  เขานั้นกำเริบเสิบสานอยู่ที่อำเภอฉือเจียมานานแล้ว ไม่คิดว่าครั้งนี้จะมาถูกคนข่มขู่ถึงใส่หน้าเช่นนี้

“ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าด่าว่าตำแหน่งของพี่เขยข้าไม่คงที่” หานอิงฉีกัดฟันพูด “ดี! หากว่าอิงตามคำพูดนี้ของเจ้า ข้าก็สามารถสั่งให้คนมาจับเจ้าได้!”

“พอได้แล้ว!” เจียงป่าวชิงพูดเสียงดังพลางส่งเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “เจ้าไปถามพี่เขยของเจ้าสิว่าเขากล้าแตะต้องคนคนนั้นหรือเปล่า”

เจียงป่าวชิงครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ว่าสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ไม่ใช่เป็นเพียงนิทานสุภาษิตเท่านั้น มันยังเป็นเรื่องราวเชิงกลยุทธ์อีกด้วย

ก็เห็นอยู่ว่านี่เป็นความขัดแย้งของนางกับหานอิงฉี แต่นางก็ยังตกตะลึงที่ตัวเองสามารถเปลี่ยนให้เป็นความขัดแย้งของกงจี้กับขุนนางอำเภอได้

หน้าอกของหานอิงฉีกระเพื่อมอย่างแรง  อันที่จริงเข้ารู้ว่าที่เจ้าเท้าเล็กตรงหน้าพูดนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด  พี่เขยของเขาปิดเรื่องของชายที่นั่งรถเข็นคนนั้นไว้เป็นความลับ และไม่กล้าแหย่เขาเลยแม้แต่นิดเดียว …เพราะเรื่องของเขา พี่เขยของเขาจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและทุบตีเขาเป็นครั้งแรก ต่อมาก็ถึงขั้นเย็นชาใส่พี่สาวของเขาอยู่พักหนึ่งเลยทีเดียว

หานอิงฉีสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อคุมให้อารมณ์ของตัวเองสงบลง ไม่อย่างนั้น เขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าตนเองจะไม่ฉีกคนที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้

“พวกแกไสหัวไปซะ!” ใบหน้าของหานอิงฉีบิดเบี้ยว น้ำเสียงของเขาราวกับเค้นออกมาจากในซอกฟันอย่างไรอย่างนั้น

เกิ่งจื่อเจียงตาเป็นประกายทันที ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจคำพูดที่เจียงป่าวชิงคุยกับหานอิงฉีคนนี้ แต่เขารู้ว่าถ้าไม่ไปตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ต่ออีกถึงเมื่อไหร่ เขาพยุงกาวชุนไห่ที่ใกล้จะหมดลมหายใจแล้วเต็มทนออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว

เจียงป่าวชิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน นางมองหานอิงฉีอย่างเยือกเย็น

“ไปสิ เจ้าจะอยู่ต่อไปอีกทำไมล่ะ ?” ตอนที่เกิ่งจื่อเจียงเดินผ่านข้างตัวเจียงป่าวชิง เขาก็พูดเร่งนางด้วยเสียงอันเบา

“ทำความอยุติธรรมมากจะต้องตายในสักวัน” เจียงป่าวชิงทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค จากนั้นนางก็ก้าวเท้าออกไปยาว ๆ

เกิ่งจื่อเจียงตกตะลึงไปทันที จากนั้นเขาก็รีบพยุงกาวชุนไห่ให้เดินอ้อมหานอิงฉีกับพวกผู้ติดตามของเขาไปทางด้านนอก

จนกระทั่งออกมาจากในโรงเรียนแล้ว เกิ่งจื่อเจียงถึงจะเกิดความรู้สึกที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ขาเขาอ่อนจนแทบจะหกล้มลงไปอยู่รอมร่อ

“น่ากลัวเกินไป น่ากลัวเกินไปจริง ๆ” เกิ่งจื่อเจียงพึมพำ “เจียงป่าวชิง เขาดุขนาดนั้น เจ้ายังกล้าปะทะกับเขาอีกนะ… เจ้านี่มันเจ๋งจริง ๆ เลยเชียว”

เจียงป่าวชิงไม่สนใจเขา นางวัดชีพจรให้กาวชุนไห่อีกครั้ง “ข้าว่าพาเขากลับไปที่ที่รับรักษาโรคก่อนจะดีกว่า จ่ายยาให้เขาดื่มแล้วค่อยพาไปส่ง ไม่อย่างนั้น หากว่าแม่ของเขาเห็นเขาในสภาพนี้ นางจะตกใจเอาได้”

เดิมที กาวชุนไห่ยังอ่อนล้าอยู่เล็กน้อย ทว่าเมื่อเขาได้ยินดังนั้น เขาก็พยายามฝืนพูดออกมาอย่างอ่อนแอ “อย่าให้แม่ข้ารู้นะ…”

เกิ่งจื่อเจียงเอ่ยชม “ช่างเป็นเด็กที่กตัญญูจริง ๆ… เฮ้อ ข้าก็อยากกตัญญูต่อแม่ของข้าเช่นกัน แต่เสียดายที่แม่ของข้าเสียไปเมื่อสิบปีก่อนแล้วน่ะสิ”

เกิ่งจื่อเจียงบ่นไปด้วยและพยุงกาวชุนไห่ไปที่ร้านยาของเขาไปด้วย

เจียงป่าวชิงหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าประตูโรงเรียนเล็กน้อยและหันกลับไปมอง  มีตัวอักษรสองชุดแขวนอยู่ข้างประตูโรงเรียนที่ทาด้วยสีแดงเข้ม  ท่อนบนเขียนว่า ‘สภาพสังคมในปัจจุบันยังคงเก่าแก่’ ท่อนล่างเขียนว่า ‘จิตใจของคนต้องการจะกลับสู่คุณธรรม’

ช่างเป็นการเสียดสีที่สุด

กลับมาถึงร้านยา เกิ่งจื่อเจียงก็จ่ายยาให้กาวชุนไห่ ครั้งนี้เขามีสติมาก หลังจากที่จ่ายยาเสร็จ เขาก็นำใบสั่งยาให้เจียงป่าวชิงดู “แม่นางเจียง เจ้าดูสิว่าแบบนี้ได้หรือเปล่า ?” มีรอยยิ้มเอาใจที่ผสมไปด้วยความเซ่อซ่าประดับอยู่บนใบหน้าของเกิ่งจื่อเจียง

“แหม ตอนหาคนดูใบสั่งยาก็เรียกเขาว่าแม่นางเจียง ย้อนกลับไปตอนนู้นเรียกเจียงป่าวชิงอย่างนั้น เจียงป่าวชิงอย่างนี้ ” เจียงป่าวชิงรับใบสั่งยาและทอดถอนใจไปด้วย “พวกผู้ชายอย่างพวกเจ้านี่ไม่คิดการณ์ไกลเลยจริง ๆ”

เกิ่งจื่อเจียงสบถเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดขึ้น “หากว่าเจ้ายอมช่วยข้าดูใบสั่งยาเหล่านี้ อย่าว่าแต่เรียกเจ้าว่าแม่นางเจียงเลย ต่อให้เรียกคุณผู้หญิงเจียงก็ไม่มีปัญหา”

เจียงป่าวชิงไม่สนใจเขา นางทำเพียงรับใบสั่งยาไปดู “ใบสั่งยานี้ถือว่ารักษาตรงจุด ใช้ได้”

เมื่อเจียงป่าวชิงพูดเช่นนี้ เกิ่งจื่อเจียงก็รู้สึกดีมาก จากนั้นเขาก็ไปหยิบยาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

จู่ ๆ กาวชุนไห่ที่กำลังพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ก็เรียกเจียงป่าวชิงอย่างอ่อนแอ: “ น้องเจียง…”

เจียงป่าวชิงหันกลับไป “หืม ? ว่าอย่างไรรึ ?”

น้ำเสียงของกาวชุนไห่แหบพร่าเล็กน้อย “อันที่จริง ข้าไม่ได้สนิทกับพี่ชายเจ้า ที่ข้าพูดแทนเขาในครั้งนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดหัวถึงร้อนและไปหาคุณครูได้”

เจียงป่าวชิงฟังกาวชุนไห่พูดอย่างเงียบ ๆ

“แต่เจ้าก็เห็นแล้วนี่นะ…” กาวชุนไห่ฝืนยิ้ม “ถูกขังไว้สองวัน ไม่รู้ว่าแม่ของข้าจะอกสั่นขวัญหายไปขนาดไหนแล้ว การที่ลูกของคนที่มีอำนาจอย่างพวกเขาอยากเล่นงานคนยากจนอย่างพวกเราให้ถึงตาย ก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก”

กาวชุนไห่หยุดชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าหากมีโอกาสย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะไม่พูดแทนพี่ชายเจ้าอย่างแน่นอน”

“ข้าเข้าใจ” เจียงป่าวชิงพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องครัว “พี่พักผ่อนเถอะ ข้าจะไปยืมครัวของเกิ่งจื่อเจียงเพื่อต้มโจ๊กสักหน่อย พี่ไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลานาน ควรดื่มอะไรที่ย่อยง่ายเพื่อรองท้องหน่อยนะ”

กาวชุนไห่เผยรอยยิ้มอ่อนแอในจุดที่มองไม่เห็นจากข้างหลังเจียงป่าวชิงพลางพึมพำ “แต่ครั้งนี้… ข้าก็ไม่ได้เสียใจทีหลังเช่นกัน ชีวิตคนเรา มันต้องมีบ้างที่จะยืนกรานและเชื่อในความบ้าคลั่งของตัวเอง”

……

กาวชุนไห่กินโจ๊กกินยา จากนั้นเกิ่งจื่อเจียงถึงจะพยุงกาวชุนไห่เพื่อพาเขาไปส่งที่บ้าน

กาวชุนไห่พร่ำพูดขอบคุณอยู่หลายครั้ง เกิ่งจื่อเจียงจึงพูดขึ้น “คนดีต้องทำจนถึงที่สุด เหมือนกับการส่งพระพุทธเจ้าไปทางทิศตะวันตก เจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอก อ้อใช่แล้ว ร้านของข้าเป็นกิจการที่เงินทุนน้อยกำไรน้อย เหตุผลหลักในการพาเจ้าไปส่งก็เพราะข้าจะได้ให้ครอบครัวของเจ้าชำระค่าตรวจอาการนี้ด้วยอย่างไรล่ะ”

กาวชุนไห่พยักหน้า “ควรอย่างยิ่ง”

เจียงป่าวชิงโบกมือไปมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปส่งเขาเถอะ เรื่องนี้ข้าขอไม่เกี่ยว ใกล้จะถึงเวลากลับหมู่บ้านแล้ว ข้ากลัวไปไม่ทันรถน่ะ”

เจียงป่าวชิงพูดอย่างตรงไปตรงมาก่อนจะกลับไป

“น้องเจียงช่างเป็นคนดีจริง ๆ…” กาวชุนไห่มองแผ่นหลังของเจียงป่าวชิงพร้อมพูดพึมพำ

ความรู้สึกเป็นเกียรติเกิดขึ้นในใจของเกิ่งจื่อเจียง

“ใช่แล้ว แม้ว่าปกติจะเย็นชาไปหน่อย แต่ตอนปฏิบัติต่อผู้อื่น นางกลับดีมากเลย” เกิ่งจื่อเจียงพูดยิ้ม ๆ “ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปส่งบ้าน แม่ของเจ้าคงจะรอจนร้อนใจมากแล้ว”

.