คืนนี้แสงจันทร์น่ารื่นรมย์ แสงสีขาวนวลดุจเส้นด้ายสาดส่องลงมา ทำให้รูปร่างของชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูโค้งผอมบางยิ่งขึ้น
สายลมยามค่ำคืน พัดผมยาวดุจเส้นไหมของเขาปลิวไสว เสื้อผ้าอาภรณ์พลิกตลบ ดุจปุยเมฆล่องลอย
เครื่องหน้าประณีต คิ้วเข้มดุจหมึกย้อม นัยน์ตาเรียวยาว ภายในเป็นประกายคล้ายแสงดอกไม้ไฟผลุบๆ โผล่ๆ งดงามดึงดูดใจ
ใต้จมูกโด่งนั้น คือริมฝีปากแดงอันสมบูรณ์แบบ เมื่อเข้าคู่กันงดงามจนแทบไร้ที่ติ!
ใสสะอาดดุจธุลี จืดจางดุจดอกบัว ชายหนุ่มขาวใสสูงส่งเช่นนี้ ถือว่ามีน้อยบนโลกนี้!
เมื่อเห็นชายหนุ่มบริสุทธ์ดุจเทพเซียนมาจุติใต้แสงจันทร์ นัยน์ตางดงามของเล่อเหยาเหยาจึงมีความตกตะลึงวาบขึ้นมา
แต่ว่ามากที่สุดคือความดีใจ
เป็นเขาจริงๆ !
ชายหนุ่มที่เคยช่วยเหลือเธอในตลาดครั้งก่อน!
ตรงข้ามกับความดีใจของเล่อเหยาเหยา ชายหนุ่มชุดขาวที่หันหน้ากลับมาเห็นเล่อเหยาเหยากำลังเดินตรงมาที่ตน กลับมีแววตาแปลกใจและสงสัย
“น้องชาย เจ้ามีเรื่องใดกับข้าหรือ”
“เอ่อ ท่านจำข้าไม่ได้หรือ ข้าคือคนที่เกือบถูกรถม้าชนเข้าครั้งก่อนที่ตลาด ต่อมาถูกท่านช่วยชีวิตไว้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม จึงรู้ว่าเขาลืมเลือนไปแล้ว ทำให้เล่อเหยาเหยาผิดหวังในใจ จึงรีบเอ่ยอธิบายขึ้น
หลังจากเธออธิบายจบ ก็อดคิดไม่ได้
เขาจำเธอไม่ได้ก็ถือว่าสมควรแล้ว เพราะครั้งก่อนเขาเพียงช่วยตนเอาไว้อย่างไม่ตั้งใจ สุดท้ายรีบร้อนจากไป
แต่เมื่อชายหนุ่มผู้นี้ลืมเธอ กลับทำให้เธอรู้สึกผิดหวังขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
หลังจากชายชุดขาวได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา แววตาดูตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนพลันนึกขึ้นมาได้ จึงยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าจำได้แล้ว ที่แท้คนในวันนั้นก็คือน้องชาย!”
ชายหนุ่มชุดขาวยิ้มเบาๆ ขึ้น ซึ่งรอยยิ้มนั้น สดใสสง่างามดุจสายลม ให้ความรู้สึกสดชื่นจากภูเขาสูงน้ำใส งดงามจนทำให้คนรู้สึกสบายใจ
เล่อเหยาเหยาพอเห็นรอยยิ้มนี้ของชายหนุ่ม นัยน์ตาอดปลาบปลื้มขึ้นมาไม่ได้
เพราะไม่รู้เหตุใด รอยยิ้มของชายหนุ่มช่างดูคุ้นตา คล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อน
แต่ว่าเล่อเหยาเหยายังไม่ทันคิดเรื่องอื่น ก็ได้ยินชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า
“น้องชาย เจ้ามีธุระอันใดกับข้าหรือ”
“เอ่อ คือว่า ฮ่าๆ ไม่มีอันใด เพียงครั้งก่อนเพราะคุณชายช่วยข้าไว้ ข้ายังไม่ได้ขอบคุณคุณชาย ดังนั้นเมื่อพบคุณชายอีกครั้ง ข้าจึงอยากกล่าวขอบคุณท่าน ขอบคุณคุณชาย!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง เพราะบิดาสอนเธอตั้งแต่เด็กว่าต้องรู้จักบุญคุณคน!
“ดังนั้น หากวันหน้าคุณชายมีสิ่งใดอยากให้ข้าช่วยเหลือ รีบบอกกับข้าเลยนะ!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยพลางตบหน้าอกอย่างจริงใจ รอยยิ้มมุมปากของชายชุดขาวจึงลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“ครั้งที่แล้ว ข้าทำด้วยความเต็มใจ น้องชายไม่ต้องถือเป็นบุญคุณ!”
“แม้ท่านจะพูดเช่นนี้ แต่ข้าติดหนี้ท่าน ดังนั้นคุณชายไม่ต้องเกรงใจอันใดข้าหรอก! จริงสิ ข้ามีนามว่าเล่อเหยาเหยา มิทราบนามของคุณชายคือ”
“เล่อเหยาเหยาหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ชายชุดขาวเอ่ยพึมพำขึ้น เล่อเหยาเหยาเมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของเขาพลันเหงื่อตก เพราะเธอลืมไปว่าตนแต่งตัวเป็นผู้ชาย ชื่อของตนออกไปทางผู้หญิงมากเกินไป จึงเลี่ยงไม่ได้ที่คนจะสงสัย
ทันใดนั้น เธอจึงรีบอธิบาย
“ฮิ ๆ ข้าร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก บิดามารดากลัวอายุไม่ยืนยาว จึงเลือกชื่อที่ค่อนไปทางสตรีให้กับข้า เพราะซินแสเอ่ยว่าเช่นนี้ข้าจึงจะอายุยืน! ”
“ฮ่าๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ชายชุดขาวเข้าใจในทันที ก่อนพลันเผยอริมฝีปากแดง แล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ข้ามีนามว่าตงฟางไป๋ ต่อไปน้องเหยาเรียกข้าว่าพี่ไป๋ก็ได้”
“ตงฟางไป๋หรือ”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยทวนอีกรอบ ก่อนกวาดสายตารอบหนึ่ง เพราะทั้งสองครั้งที่เจอชายหนุ่ม เขาล้วนสวมชุดสีขาว รูปโฉมหมดจด สมกับชื่อเสียจริง!
เล่อเหยาเหยาอุทานในใจ พลันห็นตงฟางไป๋คล้ายฉุกคิดขึ้นได้ ขมวดคิ้วงามขึ้น คล้ายมีเรื่องเร่งด่วนบางอย่างต้องจัดการ ก่อนเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาว่า
“น้องเหยา วันนี้ข้ามีธุระ ค่อยเจอกันใหม่”
เอ่ยจบ เห็นตงฟางไป๋ทำเหมือนครั้งที่แล้ว คือหลังเอ่ยจบ รีบร้อนหมุนตัวจากไป
ไม่นาน เขาก็หายไปจากสายตาของเล่อเหยาเหยา
“เอ่อ เดินได้รวดเร็วเสียจริง!”
เล่อเหยาเหยาเห็นเงาร่างตงฟางไป๋จากไป จึงเอ่ยพึมพำขึ้นมา
ทันใดนั้นพลันนึกได้ว่า ตอนนี้สายแล้ว หลูซวงยังรอเธออยู่! เล่อเหยาเหยาจึงรีบหมุนตัวเดินจากไปคนละเส้นทางกับตงฟางไป๋
หลังกลับมาที่ห้อง หลูซวงเก็บของเสร็จเรียบร้อยรอเธออยู่ก่อนแล้ว
“พี่เหยา ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
พอเห็นเล่อเหยาเหยา หลูซวงที่เดิมทีใจร้อนดุจไฟ รีบเข้ามาต้อนรับทันที
พลันยื่นสองมือออกไปกุมมือเล่อเหยาเหยาไว้แน่น คล้ายคนตกน้ำที่เกาะขอนไม้แน่นเพื่อให้รอดชีวิต
เมื่อเห็นหลูซวงเกาะติดตน เล่อเหยาเหยาตกตะลึงเพียงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ขึ้นว่า
“อืม ให้เจ้ารออย่างร้อนใจแล้ว เจ้าเก็บของเสร็จแล้วหรือ เช่นนั้นกลับบ้านกันเถิด สถานที่ประเภทนี้ ไม่เหมาะกับเจ้า!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ จะพาหลูซวงที่เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วจากไป
แต่หลูซวงกลับยืนอยู่ตรงนั้น จากนั้นมองมายังเล่อเหยาเหยา คล้ายอยากจะเอ่ยบางอย่าง
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น ใบหน้าจิ้มลิ้มตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัยขึ้น
“เป็นอันใด”
“พี่เหยา ท่า…ท่านตอนนี้ เป็น…จริงๆ หรือ”
หลูซวงเอ่ยตะกุกตะกักขึ้น ประเดี๋ยวกัดริมฝีปากราวน้ำท่วมปาก ประเดี๋ยวแอบเงยหน้ามองเล่อเหยาเหยา
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น จึงเกิดความสงสัยในใจ พลันคาดเดาว่าหลูซวงต้องการเอ่ยสิ่งใดออกมา
ดังนั้น เธอจึงช่วยหลูซวงเอ่ยคำพูดที่เธอพูดออกไม่ได้นั้น
“อืม ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าเป็นขันทีของวังรุ่ยอ๋อง!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยความจริง เพราะใช่หรือไม่ใช่ขันที สำหรับเธอก็ไม่เสียหายอันใด เพียงเธอเป็นผู้หญิงจริงๆ ก็เพียงพอแล้ว
หลังจากหลูซวงได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา กลับร้องไห้ออกมา
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาตกใจอย่างมาก ก่อนรีบร้อนเอ่ยถามขึ้นว่า
“หลูซวง เจ้าเป็นอันใดหรือ”
“ฮือๆ พี่เหยา ข้า..ข้า…”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา หลูซวงคล้ายจะพูดบางอย่าง ทว่าสุดท้ายกลับกัดฟัน โผเข้ากอดเล่อเหยาเหยา คล้ายตัดสินใจทำบางอย่าง ก่อนเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า
“ข้าไม่อยากให้ท่านกลายเป็นเช่นนี้ ข้า…ข้าไม่รังเกียจพี่เหยา!”
“เอ่อ”
ไม่รังเกียจหรือ!
หมายถึงสิ่งใด!
เล่อเหยาเหยาสงสัย ทว่าเพียงหลูซวงไม่ร้องไห้ก็พอแล้ว
แม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกัน แต่เธอยังกลัวคนอื่นร้องไห้อย่างมาก โดยเฉพาะหญิงสาวที่น่ารักเช่นหลูซวง เพียงร้องไห้ดุจดอกสาลี่กลางสายฝน น่าสงสารเป็นที่สุด ทำให้คนที่เห็นปวดใจ
“เอาล่ะๆ หลูซวงอย่าร้องไห้อีกเลย ร้องไห้เดี๋ยวจะไม่สวย เจ้ารีบกลับบ้านเถิด ที่นี่คนไม่ดีมากมาย เจ้าไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่”
หลังจากเล่อเหยาเหยาพูดปลอบใจ หลูซวงจึงค่อยๆ หยุดร้องไห้ จากนั้นก็ถอยจากอ้อมกอดของเล่อเหยาเหยา
เพราะนึกถึงความกล้าหาญของตนที่โผเข้ากอดเล่อเหยาเหยาเมื่อครู่ หลูซวงเวลานี้จึงรู้สึกละอายใจและเขินอาย กระทั่งใบหน้าเล็กนั้น แดงก่ำขึ้นหลายส่วน ดูแล้วคล้ายดอกบัวสีสันสวยงาม โดดเด่นทว่านุ่มนวล
กระทั่งเล่อเหยาเหยายังมองพลางจุ๊ปาก
หญิงงามที่อ่อนโยนมีเสน่ห์เช่นนี้ หากเธอเป็นผู้ชาย คงต้องกระโจนจับเธอกินทั้งตัวแน่นอน
จึงไม่แปลก เมื่อครู่แม้ตีให้ตาย เถ้าแก่เนี้ยก็ไม่ยอมให้ไถ่ถอนตัวหลูซวง เพราะมีหญิงงามเช่นหลูซวง เท่ากับมีต้นเรียกเงินขนาดใหญ่! ต่อมาหนานกงจวิ้นซีจึงใช้ชื่อของพญายมออกหน้า เถ้าแก่เนี้ยนั้นจึงตัดใจให้ไถ่ตัวหลูซวง
อันที่จริง เงินสำคัญที่สุด แต่ก็เทียบไม่ได้กับชีวิตของคน มิใช่หรือ!
ขณะที่เล่อเหยาเหยาคิดในใจ หลูซวงก็จากไปพลางหันกลับมามองทุกสามก้าว
ในที่สุดหลูซวงก็จากหออวี๋หงไป เล่อเหยาเหยาจึงนึกขึ้นได้ว่าภายในห้องยังมีพญายมและหนานกงจวิ้นซีอยู่! และไม่รู้ว่าสองคนนั้นเวลานี้มึนเมาคล้ายอยู่ในความฝันหรือไม่
เล่อเหยาเหยาจึงหมุนตัวเดินไปที่ชั้นสอง
เมื่อเล่อเหยาเหยาผลักประตูไม้ลายสลักออก ยังมองไม่ชัด รู้สึกเพียงกลิ่นเหล้าคละคลุ้งรุนแรงเข้ามาต้อนรับเธอ ทำให้เธออดขมวดคิ้วเข้มแน่นงคิดในใจ หลังจไม่ได้ พลาากเธอจากไป พวกเขาดื่มสุรากันไปมากเพียงใด!
เมื่อเดินเข้าไปในภายในห้อง กวาดสายตาไป เห็นเพียงโต๊ะมีสภาพเละเทะ ด้านบนมีไหสุรามากมายเต็มไปหมด ทว่ากลับไม่เห็นเงาร่างของหนานกงจวิ้นซี และไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด
ด้านหลังฉากกันลม กลับมีเสียงแปลกประหลาดดังออกมา เห็นชัดว่าด้านหลังนั้นมีคนอยู่!
แต่เป็นผู้ใด!
เล่อเหยาเหยาจำได้ว่า ห้องนี้เพราะเป็นห้องที่หรูหราที่สุด ดังนั้นจึงมีพื้นที่กว้างใหญ่ ด้านหลังฉากกันลมนั้น ยังมีเตียงขนาดใหญ่อยู่
การออกแบบเช่นนี้ ต่างสะดวกต่อคนที่มาหาความสนุก และจัดการเรื่องบางอย่าง
แต่ตอนนี้ ไม่เห็นหนานกงจวิ้นซีและหญิงสาวสองคนที่ปรนนิบัติเขาเมื่อครู่แล้ว และพญายมก็หายไปเช่นกัน และด้านหลังฉากกันลมนั้น ก็มีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นมาอีกครั้ง
หรือว่ามีคนกำลังทำสิ่งนั้น!
แม้เล่อเหยาเหยาจะไม่มีประสบการณ์เรื่องระหว่างชายหญิง ไม่เคยเห็นด้วยตา แต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานที่ประเภทนี้
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงขวยเขินชั่วขณะ และแปลกใจอย่างมาก
ด้านหลังฉากกันลม เป็นผู้ใดกันแน่!
เล่อเหยาเหยาแปลกใจ ขณะที่สองเท้าคล้ายมีความรู้สึกนึกคิด ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปที่ฉากกันลมนั้น
ม่านห้อยระย้าสู่พื้น ปลิวไสวไปตามลม บนพื้นมีเสื้อผ้าและกางเกงหลายชิ้นตกเกลื่อนกลาดอยู่
นอกจากนั้นยังมีกลิ่นเหล้ารุนแรงอีกด้วย ทำให้ทั่วห้องดูหยาบโลนยิ่งขึ้น
เล่อเหยาเหยาเดินย่องเข้าไป เมื่อผ่านฉากกันลมเข้าไป เธอกวาดสายตาไปมา เมื่อเห็นภาพบนเตียงนั้น ร่างกายพลันถูกฟ้าผ่าเสียงดัง ‘เปรี้ยง’ก่อนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
เพราะคนผู้นั่นคือ…
………………………………………..