ตอนที่ 227 บทพูดแสนคลาสสิคในนิยายซีอีโอจอมเผด็จการ / ตอนที่ 228 ถ้าไม่ตรวจก็ไสหัวออกไปซะ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 227 บทพูดแสนคลาสสิคในนิยายซีอีโอจอมเผด็จการ

 

 

อวี๋กานกานมาส่งหลินจยาอวี่ถึงที่บ้าน จากนั้นก็ขอตัวกลับทันที หลินจยาอวี่จำได้ว่าวันนี้อวี๋กานกานไม่มีสัมมนา อวี๋กานกานจึงอธิบายให้เธอฟังว่าก่อนหน้าที่จะไปรับหลินจยาอวี่ ผู้จัดการหลี่ว์ได้มาขอให้เธอช่วยไปตรวจคนไข้คนหนึ่ง

 

 

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่หลายประโยค เมื่อหลินจยาอวี่ได้ยินว่าสถานที่ที่อวี๋กานกานจะไปคือตระกูลเยี่ย เธอชะงักไปเล็กน้อย อดีตเพื่อนสาวคนสนิทของเธอเป็นเซเลบของปักกิ่ง ย่อมรู้ถึงชื่อเสียงของปีศาจตระกูลเยี่ย

 

 

คิ้วของหลินจยาอวี่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน สีหน้าเริ่มปรากฏความกังวล เธอครุ่นคิดอยู่แวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเบา “เยี่ยซีจากตระกูลเยี่ยมีข่าวลือไม่ค่อยดี เธอไปตรวจก็ไปตรวจอย่างเดียวพอนะ พยายามอยู่ห่างๆ หมอนั่นไว้”

 

 

อวี๋กานกานถามหลินจยาอวี่เกี่ยวกับข่าวลือของเยี่ยซี เธอช็อกไปในทันทีหลังจากที่ได้ฟัง ที่นี่คือเมืองหลวงนะ หมอนั่นเหิมเกริมเกินไปแล้ว ไม่มีใครเอาเรื่องเขาได้เลยเหรอ หรือว่าลือกันปากต่อปากจนผิดเพี้ยนไปหมด โดนยัดเยียดภาพลักษณ์แย่ๆ ให้ แต่เธอก็แค่ไปตรวจอาการให้แม่เฒ่าตระกูลเยี่ย ไม่น่าจะเจอปีศาจเยี่ยซีอะไรนั่น ต่อให้เจอหน้ากัน เธอก็มาเพื่อดูอาการให้ย่าของเขา อีกฝ่ายก็คงไม่น่าจะเข้ามาหาเรื่อง

 

 

อวี๋กานกานและผู้จัดการหลี่ว์มาถึงคฤหาสน์ตระกูลเยี่ย ในขณะที่กำลังลงจากรถ ทันใดนั้นมีลัมโบกินี่สีขาวขับเข้ามาด้วยความเร็วสูง ตามมาด้วยปอร์เช่สีแดงฉูดฉาดและสปายเกอร์สีดำ รถยนต์แบรนด์หรูคละสีทั้งสามคันจอดอยู่ตรงหน้าทางเข้าตระกูลเยี่ยอย่างอล่างฉ่าง เด็กวัยรุ่นสามคน อายุราวๆ สิบเก้าถึงยี่สิบปีเดินลงจากรถ

 

 

เด็กผู้ชายหนึ่งในนั้นสังเกตเห็นอวี๋กานกานที่ปล่อยผมยาวสลวย ในมือถือกล่องอุปกรณ์ พลันผิวปากส่งเสียงหวีดหวิว “โย่ว คนสวย” จากนั้นส่งเสียงหัวเราะชอบใจ พร้อมกับยื่นมือออกไปตบบ่าเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า พูดหยอกล้อ “ว้าว พี่ซี มีผู้หญิงมาถวายตัวให้ถึงที่อีกแล้ว”

 

 

เด็กผู้ชายอีกคนหัวเราะร่า กล่าว “นายก็หัดดูซะบ้างว่าพี่ซีของพวกเราเป็นใคร เขาคือหนุ่มหล่ออันดับหนึ่งของปัก…”

 

 

เยี่ยซีหันควับไปมองพวกเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

 

 

เด็กผู้ชายที่เพิ่งชมเยี่ยซีว่าหล่อ ระเบิดหัวเราะออกมาทันที “ใช่ใช่ใช่ ไอดอลของนายหล่อที่สุด นายหล่อเป็นอันดับสอง”

 

 

เยี่ยซีเก๊กหล่อปัดมือที่วางอยู่บนไหล่ออก มองอวี๋กานกานด้วยสายตาแพรวพราว ผู้หญิงคนนี้นับกันเรื่องหน้าอกจัดอยู่ในเกณฑ์ห่วยแตก แทบจะไม่มีอะไรนูนออกมาด้วยซ้ำ แบนเกินมนุษย์มนาปกติเสียอีก แต่ถ้าดูที่หน้าตาก็ยังถือว่าพอไปวัดไปวาได้อยู่ ถึงแม้ไม่ใช่สไตล์สวยหยาดเยิ้มงามล่มเมือง แต่พอมองดูแล้วกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับแสงแดดและบรรยากาศในฤดูใบไม้ผลิที่ทุกสรรพสิ่งเบ่งบานมีชีวิตชีวา

 

 

ผู้จัดการหลี่ว์มองหน้าเด็กหนุ่มทั้งสาม ยิ้มแล้วกล่าวทักทาย “คุณชายเยี่ย คุณชายเฉิน คุณชายเสิ่น มากันแล้วเหรอครับ”

 

 

พวกเขาก็คือสามวีรบุรุษแห่งปักกิ่ง คนที่ดูแสบซ่าไม่อยู่ในกฎระเบียบคือเยี่ยซี คนที่เรียกอวี๋กานกานว่าคนสวยคือเฉินมั่ว ส่วนอีกคนที่ชมเยี่ยซีว่าหล่อคือเสิ่นตงชิง

 

 

เยี่ยซีมองผู้จัดการหลี่ว์ด้วยหางตา พูดอย่างรำคาญใจ “ทำไมคุณถึงยังมาอีก อยากประจบตระกูลฉันขนาดนั้นเชียว เห็นว่าหาหมอเก่งๆ มาให้ไม่ได้ก็เลยเอาผู้หญิงมาปลอบใจฉันแทน?”

 

 

เสิ่นตงชิงกล่าว “แม้ว่าพี่ซีของพวกเราจะชอบผู้หญิงทุกคนที่หน้าตาสวย แต่ทรวดทรงก็เป็นสิ่งสำคัญ สาวคนนี้แบ๊นแบน คุณก็ยังกล้าพามา”

 

 

เยี่ยซีชำเลืองมองอวี๋กานกานด้วยสายตาที่เดาความหมายไม่ออก เหมือนกับกำลังพิจารณาคุณภาพสินค้า เมื่อเห็นว่าอวี๋กานกานจ้องมองมาที่ตนเอง ริมฝีปากของเขายกยิ้มขึ้น หัวเราะในลำคอ พูดถากถาง “หล่อถูกใจคุณไหม”

 

 

อวี๋กานกาน “…”

 

 

คำพูดนี้ทำไมเหมือนหลุดออกมาจากประโยคแสนคลาสสิคในนิยายซีอีโอจอมเผด็จการ

 

 

อวี๋กานกานไม่รู้ว่าสามคนนี้เป็นใคร เธอหันไปมองหน้าผู้จัดการหลี่ว์เป็นนัยขอให้เขาช่วยแนะนำบุคคลเหล่านี้หน่อย

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 228 ถ้าไม่ตรวจก็ไสหัวออกไปซะ

 

 

ประโยคเมื่อครู่ที่เยี่ยซีพูดออกมาทำให้ผู้จัดการหลี่ว์โกรธจนหน้าขึ้นสี จริงอยู่ที่เขาต้องการผูกสัมพันธ์กับตระกูลเยี่ย แต่เขาก็อยากช่วยแม่เฒ่าตระกูลเยี่ยให้หายป่วยโดยเร็ววันจากใจจริง

 

 

เขาน่าจะถอดใจไม่ยุ่งเรื่องบ้าบอนี้อีกตั้งแต่ที่เยี่ยซีไล่ตะเพิดผู้อาวุโสหวง

 

 

อวี๋กานกานไม่ได้มองหน้าเยี่ยซีอีกเลยหลังจากนั้น เยี่ยซีที่จู่ๆ ก็ถูกเมิน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เธอน่ะ ท่าทีแบบนั้น จงใจยั่วโมโหฉันเหรอ”

 

 

พรื่ด ! เด็กผู้ชายคนนี้นี่จูนิเบียว[1]จริงๆ คำพูดทุกประโยคลิเก้ลิเกอย่างกับนิยายซีอีโอเผด็จการ อวี๋กานกานหันไปตอบ “เปล่า”

 

 

ผู้จัดการหลี่ว์มองเยี่ยซีด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก กล่าว “คุณชายเยี่ย คนนี้คือคุณหมออวี๋ ผมเชิญมาช่วยดูอาการให้คุณย่าของคุณ”

 

 

เยี่ยซีฉีกยิ้มชั่วร้ายมองมาที่อวี๋กานกาน ทั้งยังเดินวนรอบอวี๋กานกานหนึ่งรอบ

 

 

เพื่อนทั้งสองคนของเขา เฉินมั่วและเสิ่นตงชิงก็เผยสันดานเสียๆ ออกมาเช่นกัน

 

 

คนหนึ่งส่งเสียงโห่ร้อง “วะ วะ วะ ว้าววว”

 

 

ส่วนอีกคนผิวปากหวีดหวิว

 

 

“มาส่งถึงที่แล้วคุณก็ไสหัวไปซะสิ อยากไปทางไหนก็เชิญ…” ในขณะที่กำลังพูดอยู่ เยี่ยซีเพิ่งตระหนักได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ฝีเท้าชะงักกึก หันควับมาทางผู้จัดการหลี่ว์ สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง “คุณบอกว่าอะไรนะ คุณบอกว่าเธอเป็นใคร”

 

 

 ผู้จัดการหลี่ว์ข่มความโกรธในใจไว้ ฉีกยิ้มแล้วกล่าว “คนนี้คือคุณหมออวี๋แพทย์สาวอายุน้อยมากความสามารถจากสมาคมแพทย์แผนจีนของพวกเรา”

 

 

อวี๋กานกานเอ่ยทักทายไปตามมารยาท “สวัสดีค่ะ”

 

 

เยี่ยซีตะลึงงัน ความโกรธพวงพุ่งขึ้นมาโดยพลัน สายตาแฝงไอสังหาร หันไปตวาดใส่ผู้จัดการหลี่ว์ “นี่คุณ พ่อผมให้คุณช่วยหาแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียง คุณหลอกพ่อผมแบบนี้เหรอ” เขาชี้หน้าผู้จัดการหลี่ว์ พูดอย่างโหดเ**้ยม “เชื่อไหมว่าผมจะฆ่าคุณซะ!”

 

 

เฉินมั่วเองก็ทำหน้าเหลือเชือ “นี่น่ะนะแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียง คุณจะหลอกพวกเราที่ผลการเรียนห่วยแตก ความรู้เท่าหางอึ่งสินะ”

 

 

“โอโห เลือกผู้หญิงสุ่มๆ จากข้างถนนมา แล้วอ้างว่าเป็นแพทย์แผนจีน แถมยังอายุน้อยมากความสามารถอะไรนั้นอีก ทำไมคุณไม่ลองให้เธอรักษาโรคสมองกลวงของตัวเองดูก่อนเล่า” หลังจากที่เสิ่นตงชิงด่ากราดจบ เขาเตะถังขยะที่อยู่ข้างๆ ใส่ผู้จัดการหลี่ว์

 

 

ผู้จัดการหลี่ว์สะดุ้งโหยง ถึงแม้จะหลบได้ แต่สีหน้าของเขาโกรธจนเป็นสีเขียวปี๋ พวกเด็กปีศาจพวกนี้ มากเกินไปแล้ว! หลายวันมานี้เขาเชิญแพทย์แผนจีนเลื่องชื่อมามากมาย คำขอบคุณสักคำไม่มีไม่พอ ยังต้องมาโดนดูถูก โดนด่าสาดเสียเทเสียให้อับอายขายหน้าอีก เขานี่มันรนหาเรื่อง แกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ

 

 

คิดผิด !

 

 

ผิดมหันต์ !

 

 

อวี๋กานกานเข้าใจหลินจยาอวี่ได้ในทันทีว่าทำไมถึงเตือนเธอให้อยู่ห่างๆ เยี่ยซีไว้

 

 

ไม่ว่าคนที่ผู้จัดการหลี่ว์เชิญมาจะเป็นใคร จะรักษาอาการของแม่เฒ่าตระกูลเยี่ยได้หรือไม่ ที่ผู้จัดการหลี่ว์ทำไปก็มาจากความปารถนาดีทั้งนั้น ทำไมพวกนั้นถึงได้ทำตัวถ่อยต่ำ ใช้วาจาหยาบช้าแบบนี้ เด็กกลุ่มนี้จูนิเบียวจริงๆ

 

 

ความคิดไม่อยากจะก้าวเท้าเข้าไปในตระกูลเยี่ยปรากฏขึ้นในหัวของอวี๋กานกานโดยพลัน

 

 

เยี่ยซีเดินมาหยุดลงตรงหน้าอวี๋กานกาน เย้าหยอกโดยการใช้นิ้วมือเชยคางอวี๋กานกานขึ้น “ถ้าคุณคือหมอเทวดา ผมก็คือแด๊ดดี้ของหมอเทวดา”

 

 

จากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่อวี๋กานกานเกือบถูกลักพาตัว เธอคิดหาวิธีอยู่นานว่าหากต้องเจอสถานการณ์อันตรายอีก เธอต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถปกป้องตัวเองได้

 

 

เข็มสามารถรักษาโรคได้ ทว่าก็สามารถเป็นอาวุธได้เช่นกัน

 

 

ในตอนที่เยี่ยซียื่นมือออกมา มือของอวี๋กานกานสอดเข้ากระเป๋าเสื้อหยิบเข็มเตรียมพร้อม รอจนกระทั้งนิ้วมือของเยี่ยซีสัมผัสโดนปลายคางของเธอ อวี๋กานกานออกท่าอย่างรวดเร็ว เข็มเงินทิ่มลงตรงจุดชีพจรบนมือของเยี่ยซี

 

 

เยี่ยซีรู้สึกว่าฝ่ามือของตนชาแปลบ การเคลื่อนไหวชะงักลงกะทันหัน เขาส่งเสียงร้องดัง “โอ้ย” แขนหมดแรงล่วงลงมาทันที ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกเหน็บชาเบาบาง

 

 

เยี่ยซีตกใจ “เมื่อกี้คุณทำอะไร”

 

 

ลมหนาวพัดโชยเบาๆ ปอยผมบริเวณหน้าผากของอวี๋กานกานแตกออก เผยให้เห็นถึงแววตาเย็นยะเยือกคมกริบ อวี๋กานกานเอ่ยเสียงเย็น “ถ้าไม่ตรวจก็ไสหัวออกไปซะ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] จูนิเบียว หรือ โรคเด็กม.2 อาการของผู้เป็นจูนิเบียวคือ มักจะพยายามทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าเท่ แต่ในสายตาของคนทั่วไปมองว่ามันขัดกับหลักตรรกะ ดูไม่เข้าท่า แปลกประหลาด อาการดังกล่าวมักจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงอายุ 13-15 หรือประมาณม.2 ตามที่มาของชื่อ แต่ถึงจะถูกเรียกว่าโรคเด็กม.2 แต่จูนิเบียวไม่ใช่โรคทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนในช่วงวัยรุ่นตอนต้น โดยในปัจจุบันมักถูกนำมาเป็นคำเรียกคนทำตัวเพ้อเจ้อ