อวิ๋นเจี่ยวผงะไป หานซูไม่ใช่เจ้าของตราประทับสี่เหลี่ยมนั้นเหรอ ทำไมถึงได้ปรากฏตัวที่นี่ นางหันไปมองอาวุธยมโลกที่วางอยู่บนโต๊ะของตนเอง ก็พบว่ามันมีแสงสีเงินเปล่งประกายออกมา อีกทั้งยังมีบางอย่างที่มองไม่เห็น เชื่อมกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า 

 

 

“เจ้าเป็นเสี้ยววิญญาณที่ประทับบนตาประทับนี้?” นางเหลือบมองเขา ก่อนจะพบว่าร่างของอีกฝ่ายเบาบางกว่าวิญญาณของผีธรรมดามาก ราวกับสามารถสลายไปตามสายลม 

 

 

“เสี้ยววิญญาณ?” ชายหนุ่มมีสีหน้าฉงน เขาไม่รู้ว่าอะไรคือเสี้ยววิญญาณ 

 

 

“ทำไมเจ้าถึงประทับอยู่บนตรานี้? ร่างจริงของเจ้าล่ะ?” อวิ๋นเจี่ยวถาม 

 

 

สีหน้าของหานซูกลับมีแต่ความฉงน เขาฟังนางไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียว “ร่างจริง? ข้า…ข้าจำไม่ได้แล้ว” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเช่นนั้น นางจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจะร้ายแรงกว่าที่คิด จึงพูดกำชับขึ้นมา “เจ้ารอเดี๋ยว” จากนั้นเดินไปเปิดประตู ก่อนจะตะโกนหาคนที่อ่านตำราอยู่ห้องด้านข้าง “ชายแก่ ช่วยเรียกอาจารย์ปู่ให้ข้าที” 

 

 

“อ่อ” ไป๋อวี้วางตำราในมือลง เขาไม่ได้ถามอีกฝ่ายว่ามีเรื่องอะไร เพียงแต่เดินไปยังทิศทางของเจดีย์สูง สักพักจึงได้ยินเสียงของเขาตะโกนขึ้น “อาจารย์ปู่ เจ้าหนูถามว่าจะกินมื้อดึกหรือไม่” 

 

 

นาทีถัดมาแสงสีขาวส่องประกายขึ้น ข้างตัวของอวิ๋นเจี่ยวก็มีร่างหนึ่งปรากฏพร้อมกับเสียงเย็นดังขึ้น “ได้!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” 

 

 

เยี่ยยวนกวาดตามองบนโต๊ะที่ว่างเปล่า ยังไม่ทันคิดว่าทำไมถึงไม่มีของกิน นาทีถัดมาก็เหลือบไปเห็นหานซูที่ยืนอยู่ตรงกลางด้วยสีหน้าฉงน ทันใดนั้นสายตามืดลง ภายในใจมีอารมณ์ขุ่นมัวผุดขึ้นมา ห้องของศิษย์หลานมีผู้ชาย! 

 

 

(╰_╯) 

 

 

“เจ้าหนู ครานี้ทำอะไรกิน…เฮ้ย!” ชายชราตามมาทีหลัง เขาคิดจะมากินมื้อดึกเสียหน่อย แต่เมื่อมองเห็นคนที่อยู่ตรงกลางห้องก็ตกใจ “นี่…นี่…นี่ใคร” 

 

 

เขาหันไปมองอวิ๋นเจี่ยวพร้อมส่งสายตา เจ้าหนู เจ้าเลี้ยงผู้ชายลับหลังข้า 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวอยากจะกลอกตาขาวใส่ แต่ไร้ผล! ทำได้เพียงหันไปอธิบาย “เขาโผล่ออกมาจากตราประทับนั้น ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ด้านใน” เหวินชิงจากไปอย่างรีบร้อน จึงไม่ได้นำเอาตราประทับนั้นไปด้วย นางจึงเก็บกลับมา “และเหมือนว่าเขาจะ…สูญเสียความทรงจำ?!” 

 

 

“สูญเสียความทรงจำ?” ไป๋อวี้ตกใจ วิญญาณก็สูญเสียความทรงจำได้หรือ 

 

 

“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า เดินหน้าขึ้นถาม “เจ้ายังจำเรื่องอื่นได้ไหม เช่นเข้าไปในตราประทับนั้นได้อย่างไร” 

 

 

หานซูผงะไป ครุ่นคิดอย่างตั้งใจก่อนจะส่ายหน้า “ข้าไม่รู้…ข้าจำได้เพียงตนเองชื่อหานซู จากนั้นลืมตาขึ้น…ก็เห็นท่าน” เขามองตรงไปยังอวิ๋นเจี่ยว “แม่หญิง ท่านรู้จักข้าหรือไม่ ทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอวิ๋นเจี่ยวเป็นคนแรกที่เห็นหลังจากลืมตาขึ้นหรือไม่ สายตาที่เขามองอวิ๋นเจี่ยวเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและผูกพัน 

 

 

ทำให้เยี่ยยวนไม่พอใจอย่างยิ่ง! 

 

 

“ข้าเพียงเคยได้ยินชื่อของเจ้า แต่ข้าไม่รู้จัก” อวิ๋นเจี่ยวตอบกลับ ก่อนจะหันหน้าไปมองเยี่ยยวน “อาจารย์ปู่ ท่านช่วยดูหน่อยได้ไหมว่าเขาเป็นอะไร” 

 

 

เยี่ยยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย มีความไม่เต็มใจ แต่ก็ยังตอบคำถาม “เสี้ยววิญญาณเท่านั้น วิญญาณของเขาคงได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นถึงได้หลงเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณนี้” 

 

 

พูดจบ เขาเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เอื้อมมือหยิบตราประทับบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะท่องคาถา นาทีถัดมาเห็นของเหลวสีแดงซึมออกมาจากด้านบนของตราประทับ จากนั้นลอยขึ้นกลางอากาศ ดูแล้วเหมือน…เลือด! 

 

 

“อาวุธนี้เปื้อนเลือดของเขา ทำให้เสี้ยววิญญาณของเขาประทับอยู่ด้านบน” เยี่ยยวนพูดต่อ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวหนักใจ ก่อนจะพูดขึ้น “อาจารย์ปู่หมายความว่า ร่างจริงของเขา…” 

 

 

“ตายแล้ว!” เยี่ยยวนพูดอย่างไม่ลังเล อีกทั้งยังพูดเสริมขึ้น “วิญญาณสลาย” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวผงะ แม้แต่ ไป๋อวี้ที่อยู่ด้านข้างก็ตกใจเช่นกัน ทันใดนั้นมองไปยังหานซูด้วยความเห็นใจ น่าสงสารเสียจริง คนทั้งคนหลงเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณนี้แล้ว! 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวเหลือบมองหานซูที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ทีหนึ่ง อาจเป็นเพราะสูญเสียความทรงจำ ท่าทางของเขายังคงเต็มไปด้วยความฉงน แม้แต่ตอนที่ได้ยินเยี่ยยวนพูดว่าวิญญาณของเขาสลายไปแล้ว เขาก็ยังราวกับไม่เข้าใจ เพียงแค่ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะพึมพำออกมา “ที่แท้ข้าก็…ตายแล้วหรือ” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง นางหันไปหยิบขวดขนาดเท่านิ้วโป้งออกมาจากกล่องยาด้านข้าง เดินขึ้นหน้าไปรับหยดเลือดที่ลอยออกมาจากตราประทับ นาทีถัดมาสายเชื่อมระหว่างเสี้ยววิญญาณของหานซูและตราประทับนั้นก็ย้ายมาอยู่บนขวดในมือของนางแทน 

 

 

“เจ้าอยากช่วยเขา?” เยี่ยยวนขมวดคิ้ว สีหน้าไม่เห็นด้วย 

 

 

“เอ่อ…ไม่เชิง!” อวิ๋นเจี่ยวผงะไป ก่อนจะอธิบาย “ข้าได้ยินอาจารย์อาเหวินบอกว่า หานซูคนนี้คือลูกศิษย์ของเขา ในเมื่อพวกเราเจอเขาแล้ว คงไม่ดีหาก…” ไม่สนใจ? ช่วยเหลือเขาก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วไม่ใช่เหรอ ในเมื่อหานซูตอนนี้อยู่ที่นี่ แสดงว่าเรื่องก่อนหน้านั้นไม่ใช่เขา อีกทั้งวิชาของนางยังไม่ถึงขั้นรักษาคนตายได้ อย่าว่าแต่ซ่อมเสี้ยววิญญาณเลย 

 

 

“ฮึ! ไม่ต้องคำนึงถึงศิษย์โง่เขลาคนนั้น!” สีหน้าของเยี่ยยวนเต็มไปด้วยความรังเกียจ 

 

 

“…” คิดไปเองเหรอ ทำไมรู้สึกว่าอาจารย์ปู่ในคืนนี้อารมณ์ร้อนเป็นพิเศษ หรือว่าเป็นเพราะไม่ได้กินมื้อดึก นางไม่ได้คิดมาก หันหน้าไปมองหานซูที่ราวกับกระดาษขาว ก่อนจะถามขึ้น “สหายหาน ท่านจำอาจารย์อาเหวินชิงได้ไหม เขาเป็นอาจารย์ของท่าน” 

 

 

“เหวิน…ชิง? อาจารย์?” เขาผงะไป ก่อนจะส่ายหัวอีกเช่นเคย “ขอโทษแม่หญิง ข้าจำไม่ได้จริงๆ” 

 

 

อืม เป็นกระดาษขาวจริงด้วย คงเป็นเพราะเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณ เขายังคงไว้ซึ่งความคิด เพียงแต่ไร้ความทรงจำ แต่ก็ถือว่าดีแล้ว หากถามต่อไปก็คงไม่ได้อะไร 

 

 

“เช่นนั้น หากท่านไม่รังเกียจ ท่านก็อาศัยอยู่ที่นี่ก่อน รออาจารย์อาเหวินกลับมา คงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นเขาน่าจะช่วยรักษาท่านได้” ตามท่าทางตอนที่เห็นตราประทับของเหวินชิง อีกทั้งยังคิดจะปิดบังอาจารย์ปู่ เขาคงจะให้ความสำคัญกับลูกศิษย์คนนี้ กลับไปครั้งนี้คงจะไปพบหานซูที่ยมโลก หากไม่เจอเขา คงจะรู้ได้เองว่าเขาเกิดเรื่องแล้ว 

 

 

สีหน้าของหานซูผ่อนคลายลงไม่น้อย อีกทั้งยังทำความเคารพนางอย่างมีมารยาท พร้อมกับพูดขอบคุณ “ขอบคุณแม่หญิงท่านนี้ที่ช่วยเหลือ เช่นนั้นข้าขอรบกวนทั้งสามท่านด้วย จริงสิ แม่หญิงมีนามว่าอย่างไร” 

 

 

“อ่อ ข้าชื่ออวิ๋นเจี่ยว” พูดจบนางก็แนะนำชายแก่และอาจารย์ปู่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง 

 

 

เขาก็ทักทายทีละคน ก่อนจะยิ้มให้นางอย่างเขินอาย “ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องอวิ๋น” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวผงะ เขาคงได้ยินตนเองเรียกเหวินชิงว่าอาจารย์อา ถึงได้เรียกเช่นนี้ นางจึงไม่ได้ใส่ใจมาก อีกทั้งยังกำชับเขาว่าอย่าไปไกลจากขวดมากเกินไป มิเช่นนั้นอาจเป็นผลร้ายต่อร่างวิญญาณ 

 

 

เยี่ยยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าดำทะมึน ตั้งแต่เจอหน้าหานซู อารมณ์ขุ่นมัวภายในใจนั้นราวกับผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นท่าทางว่าทั้งสองคนทำท่าจะคุยกันต่อ เขาจึงลากศิษย์หลานของตนเองเดินออกจากห้องไป 

 

 

“อาจารย์ปู่?” อวิ๋นเจี่ยวผงะไปเล็กน้อย แต่ก็เดินตามเขาออกไปข้างนอก “จะไปไหน” 

 

 

“มื้อ ดึก!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” 

 

 

ไป๋อวี้ “…”