บทที่ 126 นี่ต้องผ่านการใช้แอพแต่งรูปมาแน่!

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

สรุปว่าจางโหย่วฝูอารมณ์ไม่เลวเลย เมื่อคิดว่าอีกห้าปีหลังจากนี้ เมื่อหลี่เป่าซานเกษียณแล้ว เฉินชางจะกลายเป็นลูกน้องหมายเลขหนึ่งของตน เขาก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้คุ้มค่าแล้ว

ส่วนเรื่องที่เฉินชางจะอยู่ในแผนกฉุกเฉินไปตลอดชีวิตน่ะหรือ?

นี่เป็นไปไม่ได้เลย

ศัลยแพทย์คนไหนบ้างจะไม่มีความคิดอะไรเลย อยู่ที่แผนกฉุกเฉินจะมีอนาคตได้อย่างไร?

คนเราต้องเคลื่อนไหว ไม่ใช่ต้นไม้ที่ย้ายที่แล้วจะตายเสียหน่อย หากอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนจะมีความหมายอะไร?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางโหย่วฝูก็เดินฮัมเพลงกลับไปยังแผนกของตน

ใช่แล้ว ต้วนปัวบอกว่าวันนี้จะมีผู้ป่วยมาแอดมิทหลายคน

เพิ่งจะลงลิฟท์ก็เห็นต้วนปัวพอดี จางโหย่วฝูมีรอยยิ้มสว่างไสวประดับใบหน้า กล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวต้วน ยังไม่เลิกงานอีกหรือ? พอดีเลย มาที่ห้องทำงานผมหน่อยนะครับ”

ในตอนที่ต้วนปัวเห็นจางโหย่วฝู กล่าวตามตรง ในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกังวลและไม่สบายใจ แต่ยังคงฝืนทำหน้าหนาเดินตามจางโหย่วฝูเข้าไปในห้อง “หัวหน้าแผนก ผ่าตัดเสร็จแล้วหรือครับ?”

จางโหย่วฝูพยักหน้า “อืม นั่งก่อนสิ ผู้ป่วยที่รับมาวันนี้มอบให้ใครจัดการหรือครับ? ให้เสี่ยวโจวหลายๆ คนหน่อย พวกเราควรให้โอกาสหมอใหม่ๆ ฝึกฝนบ้าง”

ต้วนปัวคิดว่า ฝึกกับผีอะไรล่ะ ไม่มีผู้ป่วยสักคน กลับไปฝึกกับเนื้อหมูก่อนเถอะ!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ต้วนปัวก็รู้สึกอารมณ์ดำดิ่งจนถึงขีดสุด ช่างเถอะ บอกความจริงไปแล้วกัน…

ต้วนปัวทอดถอนใจ “หัวหน้าแผนกครับ เดิมทีผมนัดกับผู้ป่วยไว้แล้ว แต่ว่า…ตอนเที่ยงโทรไปก็ถูกปฏิเสธหมด พวกเขาไม่อยากมาผ่าตัดที่แผนกพวกเราแล้วครับ”

จางโหย่วฝูได้ยินดังนั้นพลันชะงักไป “ทำไมล่ะ?”

ต้วนปัวส่ายหน้า “ผมเองก็ไม่ทราบ…”

จางโหย่วฝูชะงักไปครู่หนึ่ง “เอาเถอะ…ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยังไงซะเมื่อก่อนก็เคยมีเรื่องแบบนี้…”

แต่ต้วนปัวกลับพูดว่า “เมื่อวานตอนที่พวกเราทำคลินิกฟรีอยู่ที่ห้องโถง ผมเห็นแผนกฉุกเฉินทำคลินิกฟรีด้วยครับ พวกเขาก็โฆษณาการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเหมือนกันกับพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานตอนผมเลิกงาน ผมเห็นผู้ป่วยหลายคนไปที่แผนกฉุกเฉิน ผมเดาว่าเก้าในสิบจะต้องไปผ่าตัดที่แผนกฉุกเฉินแน่นอน!”

เมื่อพูดจบจางโหย่วฝูพลันชะงักไป คุณไม่พูดยังดี แต่พอพูดขึ้นมา ผมก็โกรธขึ้นมาทันที!

ผู้ป่วยจะไปไหนก็เป็นเรื่องของผู้ป่วยเอง แต่คุณพูดแบบนี้มันกลายเป็นอะไรไปแล้ว? แผนกฉุกเฉินแย่งคนไข้ของพวกเราไป! จะไม่ให้โกรธได้หรือ?

คุณเป็นหมอที่ไปทำคลินิกฟรีแต่กลับรั้งผู้ป่วยไว้ไม่ได้ ปล่อยให้หมอคลินิกฟรีของแผนกฉุกเฉินแย่งไปได้ นี่คุณเป็นไอ้โง่หรือไง?

อาการป่วยที่อยู่ในขอบเขตของแผนกศัลยกรรมทั่วไป แต่กลับปล่อยให้แผนกฉุกเฉินแย่งไปได้ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปยังต้วนปัวด้วยสีหน้าผิดหวัง

“หมอต้วน คุณเป็นหมอมาสิบกว่าปีแล้ว เป็นแพทย์เจ้าของไข้มาก็หลายปี อีกไม่นานจะเป็นรองหัวหน้าแผนกแล้ว แต่กระทั่งการรับผู้ป่วยก็ยังสู้แผนกฉุกเฉินไม่ได้หรือ?”

“ผมรู้สึก…เฮ้อ! ไม่รู้จะพูดยังไงกับคุณดี! ทำให้ผมผิดหวังเกินไปแล้ว”

ยิ่งคิดจางโหย่วฝูก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นตันใจ เสนาธิการหัวหมา[1]คนนี้นี่ ตอนแรกยังดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ? ทำไมสองวันนี้ถึงทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยล่ะ?

“นอกจากนี้ การผ่าตัดนั้นยังเป็นการผ่าตัดที่แผนกของพวกเราเชี่ยวชาญด้วย ปกติคนนอกคงเลือกมาผ่าตัดที่แผนกศัลยกรรมทั่วไปสิ? ต่อให้ไม่ได้มาเพราะคลินิกฟรีของคุณ ผมคิดว่าก็ต้องมาผ่าตัดที่แผนกของพวกเราอยู่ดี? หรือว่าแผนกฉุกเฉินของพวกเขาพูดจาให้ร้ายพวกเรา? คุณทำคลินิกฟรีแบบนี้ ไม่ทำยังดีซะกว่า!”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางโหย่วฝูก็โกรธจนทนไม่ไหว เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากไม่มีตัวเปรียบเทียบก็ไม่เห็นความแตกต่าง…

โชคดีที่คำพูดและน้ำเสียงของต้วนปัวอธิบายได้อย่างละเอียดจนเห็นภาพ ผู้ป่วยจึงเปรียบเทียบก่อนหลังได้อย่างเด็ดขาดเพียงนี้!

จางโหย่วฝูมองไปยังต้วนปัว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิดหวัง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ

ทำไมตอนแรกถึงตัดสินใจดึงเจ้าหมอนี่เข้ามาได้นะ?

เฮ้อ…ถ้าเสี่ยวเฉินอยู่ในแผนกของพวกเราจะดีแค่ไหนกัน?

ผมยังพอสั่งสอนได้บ้าง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางโหย่วฝูก็รู้สึกเสียดาย พรุ่งนี้ยังคงต้องพูดเรื่องนี้ในที่ประชุมสักหน่อย จะอย่างไรหลี่เป่าซานก็ไม่ควรแย่งผู้ป่วยไปจากเรา! และนั่นก็ไม่ใช่ผู้ป่วยของแผนกฉุกเฉินด้วย…

……

……

การประชุมในวันถัดมาเริ่มตามกำหนดการ หลังจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลประกาศข้อมูลที่ต้องใส่ใจและชี้แนะเล็กน้อยก็มาถึงช่วงเวลาที่ให้คนมีปัญหาออกมาพูด ส่วนคนที่ไม่มีปัญหาก็อยู่เฉยๆ

ตอนนี้เอง จางโหย่วฝูและหลี่เป่าซานต่างก็ลุกขึ้น ที่ประชุมพลักเกิดความกระอักกระอ่วน!

หลี่เป่าซานยิ้มอย่างอึดอัด “หัวหน้าจาง เชิญพูดก่อนเลยครับ!”

จางโหย่วฝูพยักหน้าก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ผมมีเรื่องอยากให้หัวหน้าแผนกทุกท่านช่วยตัดสินหน่อยน่ะครับ”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็อดตื่นตัวขึ้นมาไม่ได้

ระยะนี้ ทุกๆ สัปดาห์ แผนกศัลยกรรมทั่วไปและแผนกฉุกเฉินต่างก็มีการกระทบกระทั่งเล็กๆ น้อยๆ กันอยู่ตลอดจนกลายเป็นหัวข้อสนทนาในยามว่างของทุกคนไปแล้ว เมื่อเห็นจางโหย่วฝูระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ละคนจึงพากันหูผึ่ง

ถานลี่กั๋วขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร

ฉินเสี้ยวหยวนหัวเราะในใจ แต่ใบหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “เกิดอะไรขึ้นครับ”

จางโหย่วฝูกล่าวว่า “เมื่อวานแผนกของพวกผมทำกิจกรรมคลินิกฟรีที่โถงผู้ป่วยนอก รับผู้ป่วยแอดมิทมาไม่น้อย เดิมทีนัดกันแล้วว่าจะมาแอดมิดชทที่แผนก แต่กลับถูกแผนกฉุกเฉินรับตัวผู้ป่วยไปผ่าตัดแทน”

“ผมคิดว่าเรื่องนี้หัวหน้าแผนกหลี่ควรมีคำอธิบายให้พวกผมหน่อยนะครับ ถึงอย่างไรเรื่องการแย่งผู้ป่วยแบบนี้มันก็น่าเกลียดเกินไปจริงๆ!”

ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างคิดว่า แย่งผู้ป่วยกันอีกแล้วหรือ?

หลังจากหลี่เป่าซานได้ยินเรื่องนี้ก็ลุกขึ้นด้วยตัวเอง ไม่ได้หลีกเลี่ยงแม้แต่น้อย กล่าวขออภัยไปตามตรง “เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของแผนกฉุกเฉินของพวกผมจริงๆ ผมต้องขออภัยหัวหน้าจางด้วยนะครับ”

เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนพลันรู้สึกงุนงง

นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน? หลี่เป่าซานหน้าดำถึงกับขอโทษเชียวหรือ?

แม้แต่จางโหย่วฝูก็รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

ขอโทษหรือ? ปกติหลี่เป่าซานไม่เป็นแบบนี้นี่นา!

คุณขอโทษแล้วหมายความว่าอย่างไร?

ขอโทษแล้วจะไม่คืนผู้ป่วยให้ผมหรือ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้จางโหย่วฝูพลันโกรธจนตาลาย

หลี่เป่าซานแคุณเจ้าเล่ห์กลับกลอกมาตลอดชีวิต ยังมาบอกว่าผมวางอุบายอะไรอีก ตกลงใครวางอุบายใครกันแน่! ไอ้จิ้งจอกเฒ่า

จางโหย่วฝูพูดอย่างขุ่นเคือง “หัวหน้าหลี่พูดง่ายจริงๆ ขอโทษประโยคเดียวก็ไม่เป็นอะไรแล้วหรือ?”

หลี่เป่าซานถอนใจ “ความจริงเรื่องที่ผมเตรียมพูดเมื่อกี้ ก็เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันนะครับ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้หลี่เป่าซานก็หยิบแฟลชไดร์ฟขึ้นมา พูดกับผู้อำนวยการว่า “ขอเวลาให้ผมสักสองสามนาทีนะครับ จะได้นำเสนออะไรบางอย่าง!”

ตอนนี้คำพูดของหลี่เป่าซานทำให้ทุกคนสงสัยมาก ตกลงมันคืออะไรกันแน่?

แม้แต่จางโหย่วฝูยังจับจ้องไปที่หลี่เป่าซาน ค่อยๆ ลดท่าทีเป็นปรปักษ์ของตัวเองลง ด้วยกลัวว่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์คนนี้จะเล่นลูกไม้อะไรอีก

ถึงอย่างไรก็เสียเปรียบมาแล้วสองครั้ง จางโหย่วฝูจึงรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจ

พบว่าหลี่เป่าซานเดินไปที่คอมพิวเตอร์ใหญ่ของห้องประชุมแล้วนำแฟลชไดร์ฟเสียบเข้าไป เปิดไฟล์เพาเวอร์พ้อยท์ขึ้นมา

จากนั้นจึงพูดกับทุกคนว่า “ต่อไปสิ่งที่ผมจะเปิดคือหัวข้องานวิจัยเกี่ยวกับการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น!”

เมื่อเขากล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนพลันกระตือรือร้นขึ้นมาทันที!

ส่วนจางโหย่วฝูรวมสมาธิทั้งหมดจับจ้องไปยังหน้าแรกของงานนำเสนอ

หลี่เป่าซานพูดต่อไปว่า

“จุดประสงค์สำคัญของหัวข้อการศึกษานี้ก็คือการเปลี่ยนแปลงวิธีการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องให้ดีขึ้น ที่ผมใช้เวลาอันมีค่าของทุกท่านออกมาพูดในที่ประชุมแบบนี้ เพราะผมคิดว่าหัวข้อการศึกษานี้ควรค่าแก่การวิจัยและมีความหมายมากจริงๆ ที่ผ่านมาการพัฒนาด้านงานวิจัยของโรงพยาบาลอันดับสองของพวกเราค่อนข้างล้าหลังมาโดยตลอด นี่เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย ผมคิดว่าอาจใช้หัวข้อการศึกษานี้ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของโรงพยาบาลอันดับสองของพวกเราได้ครับ!”

“ที่ผ่านมาโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑล โรงพยาบาลตงต้า และโรงพยาบาลประชาชนแห่งรัฐ ต่างก็ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น ยังรับช่วงสั่งสอนนักศึกษาปริญญาเอกและปริญญาโทโดยรับมาฝึกงานด้วย ส่วนพวกเราเพิ่งจะเริ่มรับนักศึกษาเข้าฝึกอบรมปีนี้ กลุ่มที่เร็วที่สุดยังต้องรอถึงเดือนตุลาคม ความสามารถในการวิจัยของพวกเขาค่อนข้างยอดเยี่ยม ความสามารถทางคลินิกก็กำลังก้าวหน้า!”

“แต่ความสามารถในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของพวกเรายังไม่เพียงพอ นี่เป็นส่วนที่พวกเราจะต้องปรับปรุงและยกระดับให้ดีขึ้น!”

หลี่เป่าซานเห็นบรรยากาศครอบคลุมไปทั่วทั้งที่ประชุมแล้วจึงกล่าวต่อไป “ทุกท่านโปรดดูนะครับ หัวข้อการศึกษานี้ก็คือ การสืบเสาะและวิเคราะห์ทางคลินิกเพื่อลดบาดแผลจากการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องของคุณเฉิน”

“เอาละ ผมจะให้ทุกท่านดูภาพถ่ายก่อนนะครับ!”

“นี่เป็นสาเหตุที่แผนกฉุกเฉินของพวกเราแย่งผู้ป่วยจากหัวหน้าจางมาได้! แต่ความจริงก็ไม่ถือเป็นการแย่ง แต่ผู้ป่วยเต็มใจมาผ่าตัดที่แผนกของพวกเราเอง สาเหตุทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว!”

เมื่อเขากล่าวออกมาเช่นนี้ทุกคนพลันรู้สึกงุนงง

ผู้ป่วยเต็มใจไปผ่าตัดด้านศัลยกรรมทั่วไปที่แผนกฉุกเฉิน?

นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!

จางโหย่วฝูยิ่งไม่เชื่อ! นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? หลี่เป่าซานคิดจะหลอกผมหรือไง?

แต่ในตอนที่หลี่เป่าซานเปิดรูปออกมา ทุกคนก็ต้องตื่นตะลึง! เนื่องจากสิ่งนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเต็มใจเดินไปเองจริงๆ

จางโหย่วฝูก็เหวอไปแล้ว นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?

รูปภาพพวกนี้…จะต้องใช้แอปแต่งรูปแน่!

[1] เสนาธิการหัวหมา อุปมาว่า คนที่ชอบออกความคิดเห็นที่ไร้ค่าให้คนอื่น