ตอนที่ 114 : เตรียมตัวออกเดินทาง
“การจะเป็นเตรียมผู้ตรวจสอบนั้น จะต้องสำรวจมิติ 2 ดาวรวมถึงจัดการกับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดของที่นั่นและเอาวัสดุของมันกลับมา” หวังเย่านึกถึงเงื่อนไขในการเป็นเตรียมผู้ตรวจสอบ
“ส่วนการเป็นผู้ตรวจสอบ 1 ดาวนั้นจำเป็นต้องสำรวจมิติ 3 ดาว การเป็นผู้ตรวจสอบ 2 ดาวจะต้องสำรวจมิติ 4 ดาว การเป็นผู้ตรวจสอบ 3 ดาวจะต้องสำรวจมิติ 5 ดาว การเป็นผู้ตรวจสอบ 4 ดาวจะต้องสำรวจมิติ 6 ดาว และการเป็นผู้ตรวจสอบ 5 ดาวจะต้องสำรวจมิติ 7 ดาว “
“นอกจากนี้การเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบจำเป็นต้องสำรวจมิติ 8 ดาว และในมิติ 8 ดาวนั้นจะมีสัตว์อสูรใกล้เคียงระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ “
หลังจากที่โลกเปลี่ยนแปลงไปก็ได้เกิดการเชื่อมต่อกับมิตินับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างเช่นมิติไฟและมิติมืดมิดที่เป็นมิติ 6 ดาว ดังนั้นเฉี่ยนเจินเฉียนจึงกล้าเข้าไปในนั้นเพียงลำพัง และในมิติไฟนั้นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดคือมังกรไฟ
ส่วนมิติลับในภูเขาจานน้อยเป็นมิติ 4 ดาว หากควบคุมสถานการณ์ด้านในได้ก็จะได้ขึ้นเป็นผู้ตรวจสอบ 2 ดาว
สำหรับมิติที่หวังเย่าเคยไปสำรวจตอนเรียนอยู่มัธยมนั้นเป็นมิติระดับ 2 ดาว ซึ่งเป็นมิติของหลี่ว่านเฟิง
เพื่อจะขึ้นเป็นเตรียมผู้ตรวจสอบ หวังเย่าจะต้องควบคุมสถานการณ์ในมิติ 2 ดาว อย่างภูเขาเขาวัวนั้นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดคือราชาวัวหิมะที่มีเลเวลอยู่ที่ 40
ด้วยความแข็งแกร่งของหวังเย่าในตอนนี้เป็นธรรมดาที่เขาจะจัดการกับมิติ 2 ดาวได้อย่างง่ายดาย แต่ในระยะพันไมล์รอบๆเมืองหัวเซี่ยนี้ มิติ 2 ดาวถูกทีมทหารรับจ้างเคลียร์พื้นที่ไปจนหมดแล้ว ยกเว้นแค่มิติพิเศษบางที่ ที่คนไม่กล้าเข้าไปสำรวจ
มิติพิเศษเหล่านั้นไม่มีอากาศหรือไม่ก็มีอากาศที่เป็นพิษ ซึ่งสามารถกัดกร่อนอวัยวะภายในของมนุษย์ได้ เพราะสภาพอากาศที่อยู่ในมิตินั้นไม่เหมาะที่มนุษย์จะเข้าไป ดังนั้นมิติเหล่านั้นจึงยังไม่ถูกควบคุม ยังไงซะมนุษย์ก็ย้ายเข้าไปอยู่ด้านในไม่ได้อยู่ดี
หวังเย่าไม่รู้ว่าเขาจะไปสำรวจมิติ 2 ดาวที่ไหนได้บ้าง เมื่อค้นตามอินเตอร์เน็ตก็พบมิติต่าง ๆ ซึ่งมีข้อมูลอยู่จำนวนมาก ซึ่งมันมีการสำรวจกันหมดแล้ว
หวังเย่าหมดเวลาไปทั้งวัน สุดท้ายก็ได้ความผิดหวังกลับมา
เมืองหัวเซี่ยนี้ในระยะพันไมล์นี้ถูกรายล้อมไปด้วยมิติภายนอกกว่า 30 แห่ง ในเว็บทางการมีมิติลึกลับบันทึกไว้หลายพันแห่ง มิติ 1 ดาวมีกว่าร้อยแห่ง มิติ 2 ดาวมีกว่า 400 แห่ง, มิติ 3 ดาวมีกว่า 300 แห่ง, มิติ 4 ดาวมีกว่า 80 แห่ง , มิติ 5 ดาวมี 20 แห่ง, มิติ 6 ดาวมี 5 แห่ง, มิติ 7 ดาวมี 1 แห่ง
จากมิติ 400 กว่าแห่งนี้กว่า 90% โดนสำรวจไปแล้ว ซึ่งมันอยู่ใกล้กับเมืองและมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับมนุษย์
มิติที่ยังไม่ได้สำรวจนั้นมี 43 แห่ง มิติเหล่านั้นแตกต่างจากมิติอื่น ๆ มันไม่เหมาะที่มนุษย์จะย้ายเข้าไป อย่างเช่น มิติแม่น้ำเหลือง, มิติวิญญาณ, มิติพิษ
เมื่อเห็นมิติเหล่านี้ หวังเย่าก็หมดหนทาง
ยกตัวอย่างเช่นมิติแม่น้ำเหลือง เพราะทั้งมิติเป็นบึง มันไม่มีที่ดินและสิ่งมีชีวิต มันมีแต่พื้นดินที่อยู่ด้านล่างน้ำ ผลก็คือที่นั่นมีแต่กลิ่นเหม็นเน่า ผู้คนพากันเอาน้ำที่นั่นมาศึกษาแต่ก็ค้นพบว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย
ในมิติพิษนั้นเต็มไปด้วยก๊าซอากอน คนอยู่ด้านในไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็จะสลบและกลิ่นพิษ
“ การจะเป็นเตรียมผู้ตรวจสอบต้องสำรวจมิติ 3 ดาวกับคนอื่นๆ หากผ่านเงื่อนไข ทุกคนก็สามารถเป็นเตรียมผู้ตรวจสอบได้ และจำนวนจำกัดคือ 5 คนต่อทีม “
เพราะจำนวนมิติ 2 ดาวนั้นมีจำกัด ส่วนนักเรียนสาขาตรวจสอบที่เรียนจบในแต่ละปีก็มีจำนวนมาก เพื่อจะแก้ไขปัญหาเรื่องมิติไม่เพียงพอจึงเกิดวิธีนี้ขึ้นมา
ตอนแรกหวังเย่าไม่คิดถึงวิธีนี้เลยด้วยซ้ำ
“ถ้าตือโป๊ยก่ายมีสกิลแบ่งมุมมองได้ก็คงจะดี ฉันจะได้สำรวจมิติที่อันตรายได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก”
ตือโป๊ยก่ายนั้นสามารถเปลี่ยนร่างเป็นเงาและเข้าไปสำรวจได้
หวังเย่าครุ่นคิดอยู่ครึ่งวันและตั้งใจจะไปสำรวจมิติ 3 ดาวเพียงลำพัง ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้เมื่อเทียบกับ 3 เดือนที่แล้วนั้นพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก เดาว่าแม้แต่ฮวงจินเทียนก็ไม่ใช่คู่มือของเขา
เขามั่นใจมากจึงได้ออกเดินทางเพียงลำพัง
เรื่องร่วมมือกับคนอื่นในการสำรวจนั้น เขาไม่คิดถึงมันในตอนนี้ เพราะยังไงซะยิ่งมีคนมากก็ยิ่งมีความขัดแย้งกัน ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้มากเท่ากับเขา อีกฝ่ายอาจจะเป็นตัวถ่วงเขาและส่งผลต่อการตัดสินใจต่าง ๆ ของเขาก็ได้ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
“งั้นทำการสำรวจมิติ 3 ดาวเลยแล้วกัน” หวังเย่าตัดสินใจ ก่อนจะตรวจสอบมิติ 3 ดาวที่เหมาะกับเขา
1 ชั่วโมงต่อมาเขาก็พบกับเป้าหมายที่น่าพอใจ
“ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 500 ไมล์จากเมืองหัวเซี่ย มีมิติ 3 ดาวอยู่”
มิติเทือกเขาหินโม่มีสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน เทือกเขาทอดยาวสลับกันและมีสัตว์อสูรอยู่เป็นจำนวนมาก ในมิตินั้นมีงูพิษและแมลงหลากหลายชนิด และเพราะเหตุนี้จึงทำให้พวกทหารรับจ้างไม่คิดเข้าไป
“เมิ่งเอ๋อร์ ฉันจะออกไปนอกเมือง เธอต้องดูแลตัวเองด้วย” 10 วันต่อมา หวังเย่าก็ได้บอกลากับจ้าวเมิ่งซี
เขาขายนมดิน 10 ขวดรวมถึงหญ้ามังกรและเนื้ออีก 500 ปอนด์ ทำให้ได้เงินมามากว่า 10 ล้านเครดิต ซึ่งเพียงพอที่จะซื้อบ้านสักหลังในเมืองได้
แน่นอนว่าหวังเย่าไม่คิดจะซื้อบ้าน เขาได้ใช้เงินนี้ไปกับการซื้อกระเป๋ามิติที่ใหญ่กว่าเดิม และให้เงินค่ากินอยู่กับจ้าวเมิ่งซี พร้อมกับซื้อของใช้ต่าง ๆ ที่จะเตรียมไป
“นายระวังตัวด้วย” แม้ว่าจ้าวเมิ่งซีจะกังวล แต่เธอก็รู้ดีว่าสิ่งที่หวังเย่าทำไปก็เพื่ออนาคต
“ฉันเข้าใจ ฉันจะกลับมาอย่างปลอดภัย” หวังเย่าแสดงสีหน้าจริงจังออกมาและพูดขึ้น “นอกจากนี้ฉันก็ยังมีอีกเรื่องที่อยากบอกเธอ”
“ว่ามาสิ”
หวังเย่ากัดฟันแน่น นี่คือโอกาสที่ดี เขาต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ไม่งั้นเขาจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีก !
“เมิ่งเอ๋อร์ เธอจำพี่ฟ่านฉิงเหมยได้ไหม ? ”
“จำได้ เราเคยเจอเธอตอนงานประชุม” จ้าวเมิ่งซีใจสั่น เธอมองไปที่หวังเย่าด้วยสีหน้าแปลก ๆ
“ฉัน….ฉันชอบเธอ แต่ก็ชอบพี่ฟ่านด้วย” เมื่อพูดไปแล้วหวังเย่าก็รู้สึกโล่งอก เขายังคงรวบรวมความกล้าพูดต่อ “ฉัน หวังเย่า จะดูแลพวกเธอสองคนอย่างเท่าเทียม ถ้าเธอยอมรับได้ เธอกับพี่ฟ่านจะเป็นแฟนของฉันทั้งคู่ จะได้ไหม ? ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นสีหน้าของจ้าวเมิ่งซีก็เปลี่ยนไป เธอแสดงสีหน้าโศกเศร้าและผิดหวังรวมถึงน้ำตาที่ไหลออกมา แต่ทว่าเธอกลับไม่พูดอะไร
หวังเย่าปวดใจที่เห็นว่าเธอเสียใจ เขากอดเธอไว้แน่น แม้ว่าเธอจะดิ้นไปมา แต่เขาก็ไม่สน สุดท้ายเขาก็จูบเธอ
จากนั้นหวังเย่าก็พูดขึ้น “ฉันไม่มีความกล้าพอที่จะปล่อยเธอไป แต่ฉันมีความกล้าพอที่จะดูแลพวกเธอ 2 คน เชื่อในตัวฉันสิ เมิ่งเอ๋อร์ ฉันรักเธอนะ”
เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังแล้วเดินออกไปทันทีโดยไม่กล้าหันกลับมามองอีก