บทที่ 128 แผ่นแก่นพลังงาน

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 128 แผ่นแก่นพลังงาน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้ทันขยับตัว เหล่านักรบซากศพทั้งหลายก็ได้ก้าวเข้าหาเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และรีบเข้ามาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจับมือขวาของเฉินเฉียงราวกับต้องการรับพรจากบุคคลแห่งพระเจ้า

เฉินเฉียงเองได้มองมือขวาของตนด้วยความรู้สึกด้านชาในจิตใจในระหว่างที่เหล่านักรบซากศพมาจับมือของเขาอย่างไม่มีโอกาสให้ชักมือกลับ

ค่าสถานะของเขาเองก็เริ่มแสดงทักษะที่เพิ่มเติมเข้ามาอย่างหลากหลาย

เสียงเตือนจากระบบได้ดังขึ้นอย่างระรัว

พวกมันราวกับเป็นเสียงของปลาที่ขาดน้ำมานานจนพบแหล่งน้ำสักที

มันราวกับเสียงที่แสดงออกมาอย่างยินดี

นักรบซากศพทั้งสิบสามตนได้จับมือเขาจนหมดสิ้น พร้อมทั้งส่งมอบทักษะที่แตกต่างกันทั้งสิบสามชนิดให้กับเฉินเฉียงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“เอาล่ะ ทุกคน นั่งลงได้”

กงเหลียงได้ยกมือขึ้นมาส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลง หลังจากนั้นเขาก็ได้มองที่เฉินเฉียงที่กำลังทำท่าทางเฉยเมยต่อทุกสิ่งและพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ

นั่นก็เพราะคนที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นราชันย์นั้น การวางตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญ

และท่าทางของเฉินเฉียงในตอนนี้คือสิ่งที่สมควรที่จะทำแล้ว

“พี่น้องทั้งหลาย เหตุผลที่ข้ายอมบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้านั้นส่วนหนึ่งเองก็เป็นเพราะว่าพวกเราในฐานะที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้วนั้น จะถูกรับคำสั่งพื้นฐานอย่างการหาทรัพยากรมาชุบเลี้ยงผู้ที่มีอนาคตไกลเช่นนี้”

“และในภารกิจนี้การได้รับรู้เหตุผลจะช่วยกระตุ้นให้พวกเจ้าทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ”

“ในช่วงสองเดือนนี้ ข้าจะสอนพวกเจ้าในการกลับไปรวมอยู่กับพวกมนุษย์โดยไม่ให้ถูกจับได้”

“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงขอให้พวกเจ้าตั้งใจและพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ข้าสอนอย่างเต็มที่”

“เอาล่ะ การสอนของวันนี้จบลงแล้ว พวกเจ้ากลับไปที่ห้องและนึกไตร่ตรองในสิ่งที่ข้าบอกเอาไว้ให้ดี เมื่อเวลามาถึง พวกเจ้าจะต้องทำให้ดีที่สุด และทำความคุ้นเคยกับตัวตนที่พวกเจ้าได้รับไป”

หลังจากนั้น นักรบซากศพทั้งสิบสามได้ยินขึ้นพร้อมๆกันก่อนที่จะเดินไปยังพื้นที่หวงห้ามที่อยู่ด้านหลังทางเข้าห้องลับ

“ตงเจี๋ยน เจ้าเองอยู่ในห้องเกือบในสุดแล้วกัน เมื่อเจ้ากลับไปที่นั่น เจ้าต้องทำความคุ้นเคยกับข้อมูลที่เจ้าได้รับไปให้เร็วที่สุด และใช้เวลาที่เหลือในการเร่งระดับการบ่มเพาะและเปิดจุดชีพจรลับให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ ส่วนปัญหาเรื่องสีพลังงานของเจ้านั้น ข้าจะช่วยเรื่องนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

หลังจากพูดจบ กงเหลียงก็ออกไป เฉินเฉียงได้กลับไปยังห้องส่วนตัวก่อนที่จะกางค่าสถานะขึ้นมาดูในทันทีที่เข้าไป

“เกราะเหล็กไหล….มันเป็นทักษะที่จะเรียกได้ว่าต่อต้านการลอบโจมตีเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าข้าเผลอใช้มันต่อหน้าคนอื่นละก็มีหวังคนจบไม่สวย….ถ้าลืมมันได้ก็คงจะดีกว่า”

“ทักษะที่ได้มาจากสัตว์ประหลาดทะเลนั่นช่างขยะซะจริง ควบคุมวารีอะไรกันฟะ”

“คลื่นเสียงสั่นกระเพื่อมเหรอ….ไม่เลว นอกจากไม่ต้องกลัวโดนจับได้แล้ว ในอนาคต หากใช้ดีๆน่าจะทำประโยชน์ได้ไม่น้อย”

“หืม…ซ่อนตัวจากแสง….เหรอ”

หลังจากสงสัยอยู่พักหนึ่ง เขาก็ได้ลองใช้ทักษะที่ได้มาจากไหนไม่รู้นี้ดู และพบว่ามันเป็นทักษะที่ดีสำหรับเขาอย่างมาก มากกว่าทักษะอื่นใดที่เขาได้รับมา

หลังจากเขาใช้ทักษะซ่อนตัวจากแสงนี้ เขาพบว่าตัวเขานั้นสามารถปล่อยให้แสงทะลุผ่านตัวเขาไปได้ หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือตัวเขาสามารถล่องหนได้ชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ระดับของมันยังต่ำอยู่ ในตอนนี้ด้วยเพียงระดับหนึ่ง ทุกๆครั้งที่เขาใช้ทักษะนี้จะทำให้เขาล่องหนได้เพียงครึ่งวินาทีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือค่าพลังงานที่ทักษะนี้ใช้ก็สูงมาก เพียงแค่เขาลองใช้ทักษะนี้ดี พลังสายเลือดของเขาในจุดชีพจรลับก็แห้งขอดไปหนึ่งจุดทันที

แม้จะเห็นเป็นแบบนี้ เฉินเฉียงได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะต้องเพิ่มระดับทักษะนี้ด้วยทุกสิ่งที่มี

และเพื่อที่จะทำสิ่งที่เขาคิดให้ได้แล้ว เขาจะต้องหานักรบซากศพที่มีทักษะนี้อยู่ให้จงได้ หลังจากนั้น เขาจะดูดซับแผ่นพลังงานของมันผู้นั้นเพื่อที่จะยกระดับให้ทักษะนี้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาสามารถเพิ่มระดับของทักษะซ่อนตัวจากแสงนี้ได้

ครั้งก่อนนั้น เขาได้รับทักษะปีกสีเงินระดับสองมาจากร่างเจิ้งตี้ แถมยังต้องเสียค่าพลังงานแปดแสนที่ได้มาในการยกระดับมันเป็นระดับสี่ ไม่รู้เหมือนกันว่ากับทักษะที่ดีเลิศอย่างซ่อนตัวจากแสงนี้จะต้องเสียค่าพลังงานแค่ไหนในการยกระดับ

หลังจากศึกษาทักษะที่ได้มาใหม่นี้แล้ว เฉินเฉียงนั้นมีความสนใจอยู่แค่สองทักษะเท่านั้น ส่วนทักษะอื่นนั้นหากไม่มีพลังพอใช้ก็ไร้ค่าไปสำหรับเขา

หลังจากละวางเรื่องทักษะนี้ไปได้ เฉินเฉียงก็ได้นำแผ่นแก่นพลังงานออกมา

“ไม่ใช่ว่ากงเหลียงพูดเกินจริงไปหรอกนะ”

เฉินเฉียงได้ใช้นิ้วหนีบแผ่นแก่นพลังงานออกมาในระดับสายตาเพื่อหมายจะส่องดู

“ไอ้ฉิบหาย”

เพียงแค่เฉินเฉียงใช้นิ้วคีบแผ่นพลังงานด้วยมือขวาของตนเพียงเท่านั้น ฉากที่ทำให้เขาต้องนึกสำนึกเสียใจก็ได้ปรากฏ

ระบบของเขาได้กลืนกินมันไปอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ทำให้เขานั้นตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือกับไอ้แผ่นแก่นพลังงานเล็กๆนี้กลับสามารถเพิ่มค่าพลังงานให้ระบบของเขาได้ถึงห้าล้านหน่วยในทันที

“นี่มันไม่น่ากลัวไปหน่อยรึไงกัน กับอีกแค่แผ่นพลังงานเล็กๆเทียบเท่ากับค่าพลังงานที่เขาใช้ที่ห้องบ่มเพาะหมายเลขห้าถึงสิบวันเลยเนี่ย”

เมื่อเฉินเฉียงคำนวณจากค่าพลังงานย้อนกลับแล้วก็ทำให้เขานั้นพอจะสรุปผลได้อย่างรวดเร็ว

หากว่าเขานั้นสามารถดูดซับแผ่นแก่นพลังงานนี้ไปได้สักสิบแผ่นล่ะก็ อย่างน้อยเขาเองก็สมควรจะเปิดจุดชีพจรลับได้ถึงจุดที่แปด

อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่ทำให้เขาตกตะลึงและต้องนึกเศร้าเสียใจอีกครั้ง

ค่าพลังงานห้าล้านหน่วยที่กำลังแสดงผลอยู่นั้น อยู่ๆก็ได้ลดลงในรวดเดียว

สี่ล้าน

สามล้าน และท้ายที่สุด ค่าพลังงานของเขาหยุดอยู่ที่หนึ่งล้านห้าแสนเจ็ดพัน

และทักษะปีกสีเงิน จากระดับสี่ในตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็นระดับเจ็ด

ดูเหมือนว่าหากทักษะปีสีเงินของเขานั้นต้องการยกระดับ ค่าพลังงานหนึ่งล้านห้าแสนนี่คงไม่เพียงพอ

เขาไม่คิดว่าต้องมาเสียค่าพลังงานกับทักษะนี้เลยจริงๆ

เฉินเฉียงในตอนนี้รู้สึกปวดใจทั้งจากการเศร้าเสียใจและเกลียดชัง

อีกทั้งก่อนหน้านี้เขานั้นไม่ได้ดูดซับแผ่นพลังงานของหลูชาน ต่อให้เขาดูดซับไป ค่าพลังงานก็คงจะต้องจากไปอย่างเปล่าๆเปลี้ยๆแบบนี้เช่นเดียวกัน

และนี่ทำให้เขานั้นพบว่าทักษะของมนุษย์กลายพันธุ์นั้นแข็งแกร่งขนาดไหน แน่นอนว่าทักษะที่แข็งแกร่ง ย่อมต้องการค่าพลังงานที่ใช้ในการยกระดับที่สูงตาม

หลังจากค่อยๆเก็บแผ่นแก่นพลังงานที่เหลืออีกแปดแผ่นไปแล้ว เฉินเฉียงได้เหลือไว้หนึ่งแผ่นที่มือซ้าย ก่อนที่เขาจะเริ่มใช้เคล็ดวิชาหลอมเลือดทำลายล้างในการดูดซับพลังงานที่อยู่ในแผ่นแก่นพลังงาน

เป็นตอนนี้ที่พลังงานมากมายได้หลั่งไหลจากแผ่นแก่นพลังงานนี้เข้าสู่ร่างกายแทบจะในทันทีที่เขาเริ่มกระบวนการ

ค่าพลังงานที่เขาดูดซับไปได้นี้รวดเร็วและรุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาอยู่ในห้องบ่มเพาะที่ห้าของสำนักเต่าดำซะอีก

ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่กงเหลียงดูถูกมนุษย์มากมายนัก นั่นก็เพราะในมุมมองของมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว ความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกมันต้องใส่ใจ

สามวันผ่านไป หลังจากดูดซับแผ่นแก่นพลังงานแผ่นแรกจนหมดสิ้น จุดชีพจรลับจุดที่สี่ของเฉินเฉียงได้เปิดออกและเติมมันด้วยพลังงานสายเลือดจนเต็มเรียบร้อยแล้ว

หลังจากเปิดจุดชีพจรและเติมเต็มด้วยพลังงานสายเลือดได้สำเร็จ เฉินเฉียงได้นำแผ่นแก่นพลังงานแผ่นต่อไปออกมาและเริ่มที่จะเปิดจุดชีพจรจุดที่ห้าต่อไป

หลังจากผ่านไปสิบวัน หลังจากเสียพลังงานจากแผ่นแก่นพลังงานไปครึ่งหนึ่ง เขาก็เปิดจุดที่ห้าได้สำเร็จ

“หากเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ หลังจากเปิดจุดที่เจ็ดได้แล้ว คงเหลือแผ่นแก่นพลังงานเพียงน้อยนิดเป็นแน่”

เฉินเฉียงได้มองไปยังแผ่นแก่นพลังงานที่เหลืออีกหกชิ้นอย่างปวดใจ เขาได้เดินออกจากห้องและตรงไปหากงเหลียง

“ตงเจี๋ยน เจ้าคุ้นเคยกับตัวตนของเป้าหมายหรือยัง”

“หัวหน้ากง ข้ายังพยายามทำความคุ้นเคยกับมันอยู่ แต่แผ่นแก่นพลังงานที่ท่านให้ข้ามานั้นถูกใช้จนหมดแล้ว และในตอนนี้ข้าเองก็พึ่งจะเปิดจุดชีพจรได้เพียงห้าจุดเท่านั้น”

“เจ้าว่าไงนะ”

กงเหลียงได้ถลึงตามองเฉินเฉียงด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ไอ้หนู นี่เจ้ารู้รึเปล่าว่าแผ่นแก่นพลังงานนั้นมีค่าขนาดไหนกัน”

“หากเป็นยามปกติ มีเพียงนักรบผู้ซึ่งทำคุณงามความดีให้กับพวกเราเท่านั้นที่จะได้รับมันในฐานะรางวัล”

“แต่เจ้าที่พึ่งมาถึงนี่ ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกลับใช้พวกมันทั้งสิบแผ่นหมดในคราวเดียว”

“แถมนี่พึ่งจ่ะผ่านไปสิบวันเท่านั้นแต่เจ้ากลับดูดซับพวกมันไปจนหมดสิ้น”

ก่อนที่เฉินเฉียงจะมาคุยเองก็พอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้อยู่แล้ว เขาจึงได้แสดงเกราะชั้นพลังงานออกมาในทันทีและพูดต่อ “หัวหน้ากง ข้าไม่รู้จริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้ว่ามันอาจจะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับพลังสายเลือดของข้า”

“ท่านลองดูพลังสายเลือดของข้าสิ มันช่างแตกต่างจากคนอื่นมากมายนัก ท่านเคยเห็นผู้ที่มีพลังงานสายเลือดเช่นเดียวกับข้าหรือไม่”

“ข้า…ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน….หรืออาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้จริงๆ…แต่….”