บทที่ 112 ชำระหนี้[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 112 ชำระหนี้[รีไรท์]

ดวงตาของฉู่ชวิ๋นแฝงไปด้วยความขี้เล่น และเขากำลังมองไปยังหัวหน้าหมายเลข1 แต่หัวหน้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เขาโบกมือกลับมาให้

“อย่ามองมาทางฉัน ฉันไม่มีเงินหรอกนะ เงินเป็นของหลวงทั้งนั้น”

ฉู่ชวิ๋นแอบรู้สึกตกใจเล็กน้อย สมกับเป็นคนใหญ่คนโตจริง ๆ หน้าด้านที่สุดไม่มีเงินทั้ง ๆ ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เนี่ยนะ?

“คุณเห็นเงินเป็นเพียงขี้ดินและไม่มีเงิน แต่พวกคุณกลับอยากได้ปืน?” ฉู่ชวิ๋นมองไปยังชายทั้งสองอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีปัญหา!”

ก่อนที่คนทั้งสองจะแสดงความดีใจออกมา ฉู่ชวิ๋นก็พูดต่อ “ไม่มีเงินก็ทำสัญญากู้ยืมแทนก็ได้!”

“ห๊ะ?”

ทั้งสองตกใจทันที

“ไหน ๆ พวกคุณก็จนกันทั้งคู่แล้ว ยังไม่คิดจะทำสัญญางั้นเหรอ? คงไม่คิดว่าฉันจะให้ไปทั้งอย่างงี้หรอกนะ? คนเราก็ต้องกินต้องใช้ทั้งนั้นหวังว่าคุณสุภาพบุรุษทั้งสองจะเข้าใจ” แม้ว่าภาพบุรุษทั้งสองจะไม่อยากยุ่งกับสัญญานี้ แต่เห็นทีก็ไม่มีทางออกอื่นแล้ว

หัวหน้าหมายเลข1 และหลงอ๋าวมองหน้ากันก่อนที่จะกัดฟันแน่น “ได้ ทำสัญญากู้ยืมก็ได้!”

หัวหน้าหมายเลข1 เองก็ไม่รู้ว่าฉู่ชวิ๋นจะเอาสัญญานี้ไปเก็งกำไรทีหลังหรือไม่ เขาก็ไม่มีทางรู้ได้ มังกรเขียวหยิบกระดาษและปากกามาให้ชายทั้งสองคนเขียนสัญญากู้ยืม

ทั้งสองก็เขียนด้วยความโศกเศร้า

หัวหน้าหมายเลข1 คนนี้เป็นคนที่มีกองกำลังทหารที่ทรงพลัง ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ชายชราที่มีระดับพลังที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการยุทธ์

ชายทั้งสองที่มีชื่อเสียงอำนาจขนาดนี้ ถูกฉู่ชวิ๋นให้บังคับทำสัญญาหนี้ พวกเขาจะสบายใจเหรอ?

“หัวหน้า คุณรู้สึกไม่ดีเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นมองไปด้วยสายตาเยาะเย้ย

หัวหน้าหมายเลข1 ก็หน้าแดงก่อนที่จะเปลี่ยน ‘สัญญาหนี้’ ฉบับนี้ให้กลายเป็น ‘สัญญากู้ยืม’ ทันที และคิดในใจ ‘ไอ้เด็กนี่มันโจรชัด ๆ มันรู้ทุกอย่างเลย!’

ใบหน้าของเขามืดมนลง ชายคนที่เขาทำสัญญาด้วยเป็นคนที่เขาประมาทไม่ได้เลย เขามั่นใจในเรื่องนี้ดี ระยะเวลาสำหรับสัญญาหนี้นั้นมีระยะเวลาเพียง 2 ปี แต่สัญญากู้ยืมคือ 20 ปี ว่าจะตุกติกสักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าฉู่ชวิ๋นจะดูออก

“เรียบร้อย!” ชายชราพูดออกมาด้วยความโมโห ก่อนที่จะสไลด์กระดาษแผ่นบางให้กับฉู่ชวิ๋นที่พุ่งเข้าไปใกล้ฉู่ชวิ๋นเหมือนกับคมดาบ

ฉู่ชวิ๋นใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางหนีบกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้ ก่อนที่จะยกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาชำเลืองดู ลายมือที่ชายชราเขียนดูไม่เลวเลย แต่เมื่อเห็นลายเซ็นแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็สบถออกมา!

หลงอ๋าว นี่เป็นชื่อที่ชายชราเซ็น เชยจริง ๆ ฉู่ชวิ๋นคิดในใจ

“ไอ้หนุ่ม สายตาแบบนั้นมันอะไร?” หลงอ๋าวรู้สึกไม่พอใจเอามาก ๆ ที่ถูกบังคับให้เป็นหนี้กว่า 5,000 ล้าน

ฉู่ชวิ๋นยิ้ม “อย่าเข้าใจฉันผิดไป ฉันก็แค่คิดว่าชื่อของคุณดูยิ่งใหญ่มาก รู้สึกถึงพลังเล็ก ๆ ที่สั่นสะท้าน…”

“หยุด!” หลงอ๋าวขมวดคิ้วและเขาไม่คิดว่าชื่อของตัวเองนั้นจะมีอะไรผิดแปลกไป แต่เมื่อฉู่ชวิ๋นหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เขาก็รู้สึกอึดอัดใจทันที

“เอานี่ไป สหายฉู่ชวิ๋น”

ฉู่ชวิ๋นรับเอกสารมาพร้อมกับตรวจอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่ในสัญญากู้ยืมฉบับนี้ ยิ่งเป็นสัญญาจากผู้มีอิทธิพลทางการเมืองแล้ว เขายิ่งต้องแน่ใจมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว เขาต้องมั่นใจว่าตัวอักษรทุกตัวนั้นถูกต้องและความหมายไม่ผิดเพี้ยน

หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าเอกสารทั้งสองฉบับนี้ถูกต้อง ฉู่ชวิ๋นก็เก็บใส่แฟ้มก่อนที่จะส่งไปยังแหวนมิติ และหยิบเอาปืนชีพจรสายฟ้าขึ้นมาแล้วส่งไปให้กับชายทั้งสอง

หัวหน้าหมายเลข1 รีบรับมันมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุขและมองซ้ำแล้วซ้ำอีก

“พอจะดูออกไหมว่าพัฒนามาจากประเทศไหน?” สีหน้าของหลงอ๋าวจริงจังขึ้นมาทันที เพราะพลังของปืนทรงพลังมากเกินไป

หัวหน้าหมายเลข1 ส่ายหน้าทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ดวงตาของเขาคมขึ้นและกล่าวว่า “คงต้องยื่นให้ฝ่ายตรวจสอบอาวุธเข้ามาตรวจสอบดูก่อน แต่อย่าหวังอะไรมากนักล่ะ ไม่ง่ายเลยที่จะหาประเทศต้นต่อที่สนับสนุนหน่วยทหารับจ้างหมาป่าทองคำได้ แต่มันก็เป็นต้นแบบและอาวุธที่ดีให้กับพวกเราอยู่ดีนั่นแหละ”

ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ มันออกที่จะน่าเบื่อเกินไปสำหรับเขา เขามาที่นี่เพื่อหาผู้ฝึกเทพเซียน แต่โชคไม่ดีเลยที่ตาแก่คนนี้หัวดื้อเกินไปและโจมตีเรื่องระดับพลังที่อ่อนแอของเขาอยู่นั่นแหละ

“เมื่อไหร่ฉันจะได้ไปเจอเขา?” ฉู่ชวิ๋นไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยากจะพบชายคนนั้นให้ได้ มันเหมือนหัวใจของเขากำลังเรียกร้อง

“ไม่รู้!” หลงอ๋าวตอบกลับมาอย่างง่าย ๆ

ฉู่ชวิ๋นกัดฟันด้วยความโกรธ

“สหาย อย่าโกรธไป ไม่ใช่ว่าฉันจงใจทำให้นายอับอาย แต่มันยังไม่ถึงเวลา” หลงอ๋าวมีสีหน้าจริงจังและน้ำเสียงจริงใจ

ฉู่ชวิ๋นยักคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา เขารู้ว่าบางเรื่องต่อให้เร่งรีบไปหรือใช้กำลังไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

“หากเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนก็รักษาสุขภาพและหาเงินมาคืนฉันเร็ว ๆ ด้วยล่ะ….” พอพูดถึงเรื่องหาเงิน เขาก็หยุดครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นและเขามองไปที่หลงอ๋าว และพูดขึ้นมาว่า “เอาจริง ๆ แล้วถ้าไม่มีเงิน ก็ยังสามารถใช้สิ่งอื่นมาจำนองแทนเงินได้นะ”

หลงอ๋าวและหัวหน้าหมายเลข1 ก็เขาสู่โหมดตั้งรับทันที แม้ว่าจะเขียนสัญญาไปแล้ว แต่พวกเขาก็รู้นิสัยของฉู่ชวิ๋นดี

“ต้องการอะไร?” เสียงของหลงอ๋าวอยู่ในภาวะตื่นตัวอย่างเต็มที่

ฉู่ชวิ๋นเหล่มองและพูดว่า “ฉันยังไงก็ได้ไม่ว่าจะเป็น ยาอายุวัฒนะ หญ้าจิตวิญญาณ ผลไม้วิญญาณ ฉันไม่เรื่องมากนักหรอก เอาทุกอย่างแหละ!”

ฉู่ชวิ๋นรู้สึกได้ราง ๆ ว่าหลงอ๋าวนั้นมีของอยู่มากมาย และมันอยู่ในบ้านหลังนี้

หลงอ๋าวนิ่งไป ก่อนที่มุมปากของเขาจะกระตุกขึ้น…ไอ้เด็กคนนี้ช่างกล้าพูด ยาอายุวัฒนะ หญ้าจิตวิญญาณ ผลไม้วิญญาณ ในยุคสมัยที่พลังเหือดแห้งแบบนี้ ของแบบนี้มันมีมูลค่ามากนะเว้ย!

“ถ้ามีของก็เอามาแลก แต่ถ้าไม่มีก็จ่ายเงินเนอะ” ฉู่ชวิ๋นเร่ง ตอนนี้ทั้งสองคนกลายเป็นลูกหนี้ของเขาไปแล้ว

“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องยาเลย ตอนนี้แม้แต่หญ้าต้นเดียวก็ไม่มี” หลงอ๋าวพูดอย่างไม่พอใจ

“ติดหนี้ก็ต้องจ่ายคืน ไม่มีจ่ายก็เอาของมีค่ามาจำนอง นี่เป็นเรื่องธรรมดา พวกคุณอยากเบี้ยวเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลงและยิ้ม “จะพูดก็พูดไป คนจนย่อมไม่มีความรู้ ม้าแห้งย่อมมีขนน้อย แต่คนจนที่ขี้เกียจเช่นนี้ก็หาได้ยากจริง ๆ แต่ไม่สำคัญ ฉันไม่ต้องการเงินหรอก แต่ก็ไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนอีก ตกลงไม่มีใช่ไหม? งั้นฉันติดสินใจว่า…”

เสียงของฉู่ชวิ๋นลากยาวและหัวใจของชายชราทั้งสองก็เต้นแรงขึ้น จากนั้นเขาก็พูดว่า “ฉันตัดสินใจ….ที่จะเปิดเผยสัญญาต่อสื่อและโพสต์ลงออนไลน์”

“ตามสบาย! ฉันไม่กลัวหรอกนะ” หลงอ๋าวมีท่าทีไม่เกรงกลัวและพูดอย่างแน่วแน่

ฉู่ชวิ๋นรู้สึกมึนหัว คนพวกนี้เป็นอะไร? ทั้งที่ติดหนี้เขาแต่ยังทำตัวไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้ เย่อหยิ่งกันซะจริง หัวหน้าหมายเลข1 ยืดอกขึ้นก่อนที่จะลุกขึ้น เหมือนกับพร้อมที่จะปะทะกันศัตรูด้วยกันกับอ๋าวหลง

ความเกลียดชังที่มีต่อชายชราทั้งสองเกิดขึ้นในจิตใจของฉู่ชวิ๋น เขาเอาชนะหลงอ๋าวไม่ได้ หัวหน้าหมายเลข1 เขาก็ไม่กล้าสู้

เขารู้สึกอยากจะพ่นคำด่าออกไป

ในความคิดของฉู่ชวิ๋น คนพวกนี้ต้องเป็นคนประเภทไม่เห็นโลกศพไม่หลั่งน้ำตาอย่างแน่นอน

หัวหน้าหมายเลข1 มีสีหน้าที่จริงจังมาก แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ สื่อประเภทไหนกันที่กล้าลุกฮือขึ้นมาเป็นปรปักษ์กับเขา? สำหรับการส่งข้อมูลออนไลน์ ทางรัฐเองก็มีสำนักงานที่กำกับดูแลสื่อออนไลน์อยู่ ถ้าพวกเขาไม่อยากกินข้าวแดงก็ต้องฟังคำสั่งของเขาอยู่ดี

ใครก็ตามที่กล้ามาขวางทาง เขาจะส่งคนเข้าไปจัดการได้ในเวลาไม่ถึง 1 วันด้วยซ้ำ

เพียงครู่เดียวฉู่ชวิ๋นก็รู้ว่าทั้งสองคนทำอะไรได้บ้าง

“พวกคุณจะเบี้ยวใช่ไหม?” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นดูดุร้ายขึ้นมาในทันที

“คิดจะทำอะไร?” หลงอ๋าวระมัดระวังตัวทันที เขารู้อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะถูกล้มได้ง่าย ๆ

“ไม่เป็นไร!” ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้า “ก็แค่กำลังคิดว่า รอคุณสร้างที่นี่ใหม่แล้วค่อยมาหาอีกครั้ง”

ดวงตาของหลงอ๋าวเหลือกขึ้นทันที คำพูดนั้นต้องการขู่เขาชัด ๆ

“ไอ้หนู ถ้ากล้ามาพังสวนฉันอีกฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”

ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจ ในเมื่อฝ่ายนั้นเริ่มเล่นตุกติกก่อนแล้วทำไมเขาจะใช้วิธีนี้บ้างไม่ได้?

“หลงอ๋าว พูดความจริงมา คุณยังมีหญ้าจิตวิญญาณอยู่ไหม? ฉันมีเรื่องต้องรีบใช้” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้น

เขาไม่ได้โกหก เขากำลังปรุงยาที่เรียกว่า ‘ยาทลายพลัง’

ตัวยาทลายพลัง เป็นยาที่คนทั่วไปใช้ชำระล้างแก่นแท้ กลั่นแก่นแท้ เพื่อก้าวเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ แต่สำหรับผู้ฝึกเทพเซียนมันสามารถช่วยทะลวงขั้นพลังได้เลย 1 ขั้น

ฉู่ชวิ๋นอยากให้ทุกคนรอบตัวเขาเริ่มฝึกตน เพราะไม่ว่าอย่างไรมิตรสหายและพวกพ้องถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะให้พวกเขาสามารถปกป้องตัวเองหรือต่อสู้กับศัตรูในอนาคตได้

เมื่อเวลาผ่านไปร้อยปีพันปี เขาไม่อยากไม่มีแม้แต่คนคุ้นเคยอยู่รอบ ๆ “ไม่มี!” หลงอ๋าวตอบสั้น ๆ ได้ใจความ

ฉู่ชวิ๋นโกรธมาก เห็นได้ชัดว่าหลงอ๋าวโกหก

“แน่ใจนะ?” ฉู่ชวิ๋นถามออกมาขณะที่ลมปราณเริ่มไหลเวียน

บนโลกที่แห้งแล้งจิตวิญญาณแบบนี้ มันเป็นอะไรที่ยากมากในการหาวัตถุดิบของยาทลายพลัง

ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ถามหลงอ๋าวลวก ๆ แต่เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งที่เขาต้องการอยู่ที่สวนแห่งนี้ คนที่สร้างค่ายกลให้หลงอ๋าวคงสอนวิธีซ่อนลมปราณจิตวิญญาณของสมุนไพรไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถรับรู้ตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงได้ชั่วขณะหนึ่ง

“ไอ้หนุ่ม นี่แกจะบ้าเหรอ? ถ้ามีของพวกนั้นจริง ฉันก็ใช้เองแล้ว ไม่เหลือให้แกหรอก” หลงอ๋าวตอบ

“บังคับฉันเองนะ” ฉู่ชวิ๋นพูดเบา ๆ

เมื่อเขาพลิกมือหยกโบราณจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็น นี่คือสิ่งที่เขาได้มาจากร้านเครื่องประดับตระกูลฉี มันเหลืออยู่แค่ไม่กี่อันและหยกที่เหลือก็เอาไปทำเครื่องประดับสังหารหมดแล้ว

ฟิ้ว…!

สิ้นเสียงแหวกอากาศ หยกโบราณทั้งหมดก็เข้าไปล้อมร่างของหลงอ๋าวเอาไว้ในพริบตา ในจังหวะถัดมาฉู่ชวิ๋นก็ขยับนิ้วทั้งสิบ แล้วหยกโบราณก็ลอยขึ้นลงสร้างผนึกอย่างรวดเร็ว

หลงอ๋าวหน้าถอดสีทันที แน่นอนว่าเขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร ฉู่ชวิ๋นต้องการที่จะขังเขาไวในค่ายกล

“ไอ้หนุ่ม แกกล้าเหลือเกินนะ!” หลงอ๋าวตะโกนขึ้น ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจราวกับไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาและท้าทายหลงอ๋าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ตู้ม! หลงอ๋าวกระทืบพื้น เศษดินกระจายไปทั่ว

“ช้าไปแล้ว!” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ

“ค่ายกลครอบคลุมนภา!”

ตู้ม!

เสียงของอากาศควบแน่นก่อนที่จะเกิดการระเบิดขึ้น กำแพงหลากสีคล้ายม่านน้ำโผล่ออกมาราวกับทางช้างเผือกที่เอนตัวกลับหัว กลายเป็นกำแพงกั้นขนาดใหญ่ปิดกั้นหลงอ๋าวเอาไว้

ฮึ่ม!

กำแพงส่องแสงสว่างแวววับเป็นระลอกคลื่น หลงอ๋าวเคลื่อนไหวโดยการพุ่งขึ้นไปในอากาศ ใบหน้าของหลงอ๋าวก็แดงขึ้นทันทีด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาประมาทเกินไป ฉู่ชวิ๋นสร้างค่ายกลสำเร็จก่อนที่เขาจะหลบหนีออกไปได้

ตู้ม!

ลมปราณของหลงอ๋าวระเบิดออกมารวมอยู่ที่กำปั้น ก่อนที่เขาจะซัดหมัดออกไปปรากฏคลื่นลมปราณสีขาวเข้าใส่กำแพงอย่างแรง ฉู่ชวิ๋นรู้สึกได้ถึงพลังของหลงอ๋าวทันที พลังนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป ทำให้ค่ายกลทั้งหมดสั่นคลอนอย่างรุนแรง

“คิดจะขังฉันไว้ในค่ายกลกระจอก ๆ แบบนี้นะเหรอ? ฝันไปเถอะ!” หลงอ๋าวพูดอย่างสุดทน พร้อมกับยิงกำปั้นออกไปอีกครั้ง ส่งผลให้กำแพงสั่นสะเทือนและสว่างไสวราวกับมันจะแตกได้ทุกเมื่อ

มุมปากของฉู่ชวิ๋นยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขาเย้ยหยันและจ้องมองไปยังหลงอ๋าว ถ้าในไม่ช้าค่ายกลของเขาถูกทำลาย ชื่อเสียงของค่ายกลระดับสูงก็ไม่มีความหมายสิ

ฉู่ชวิ๋นขยับนิ้วอีกครั้ง

ฟิ้ว!

ค่ายกลถูกสั่งให้ทำงานอีกครั้ง มันสั่นและส่งเสียงคำรามออกมาราวกับว่ามันมีชีวิต สีหน้าของหลงอ๋าวเกิดความสับสน เมื่อกี้ยังเป็นตอนกลางวันอยู่เลย ตอนนี้กลับมืดไปหมดและไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้วมือตัวเอง

เขาพยายามที่ก้าวเท้าออกไป แต่ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นราวกับเตะโดนกำแพงเหล็ก ร่างของเขาถูกแรงปะทะสวนกลับมา หน้าผากของเขาแดงมากกว่าเดิมแล้วในตอนนี้

หลงอ๋าวขมวดคิ้ว เขายืนอยู่นิ่ง ๆ แต่เพียงแค่สะบัดนิ้วลมปราณก็พุ่งผ่านปลายนิ้วของเขาออกไป เกิดเสียงดังกุกกักขึ้นรอบ ๆ ทันใดนั้นหลงอ๋าวก็เอี้ยวตัวหลบ มีแสงสีขาวผ่านหูเขาไป มันเกือบทำร้ายเขาได้เชียวเหรอ?

หลงอ๋าวตกใจเล็กน้อย พลังที่เขาปล่อยไปเมื่อกี้คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะสวนกลับมา ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาแทบจะลืมไปแล้วว่ากำลังติดอยู่ในค่ายกล และพุ่งเข้าชนกำแพงอย่างแรง

ปั้ง!

เสียงปะทะดังขึ้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหมดสติ หัวของเขาปวดไปหมด สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้มีแต่แสงวิบวับเหมือนกับดาววีนัส หลงอ๋าวทั้งโกรธและอาย แสงสีขาวรอบ ๆ ตัวเขาแพร่กระจายออกมาในม่านหมอกสีดำ มันค่อย ๆ คลุมร่างกายของเขาเอาไว้

เขายื่นมือออกไปราวกับคนตาบอด เขารู้สึกได้ว่าศีรษะรอบด้านของเขาว่างเปล่า แต่เมื่อเขาก้าวขาออกไปก็ชนโดนกำแพงทันที ดีที่มีลมปราณห่อหุ้มร่างไว้ เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ

ตอนนี้หลงอ๋าวโกรธจนแทบจะถึงขีดสุดและลมปราณอันยิ่งใหญ่ก็พัดผ่านหมัดของเขา ความคิดที่วุ่นวายอยู่ในหัวก็ค่อย ๆ หายไป

แรงระเบิดกระจายไปทั่วทุกบริเวณ เมื่อเขาก้าวเท้าออกไป ตอนนี้เหมือนจะไม่มีอะไรมาขวางทางของเขาเอาไว้ได้แล้ว

“เป็นแค่แมลงแต่คิดจะรั้งฉันไว้งั้นเหรอ? ไร้สาระ!” หลงอ๋าวพูดอย่างเย่อหยิ่ง หมัดที่สั่งสมพลังเอาไว้ก็ถูกปล่อยออกมาทันที

….

….

“มังกรเขียว หลงอ๋าวเป็นอะไรน่ะ?” หัวหน้าหมายเลข1 กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก หลังของเขาเย็นวาบและเขากระซิบ มังกรเขียวตะลึง ด้วยฉากที่น่ากลัวเบื้องหน้า เขาไม่รู้ว่าจะตอบสนองกับสิ่งที่เห็นอย่างไรดี

ในสายตาของทุกคน หลงอ๋าวทั้งหัวเราะทั้งโกรธทั้งวิ่งไปมาและเต้นอยู่ในค่ายกลเหมือนคนบ้า แน่นอนว่าหลงอ๋าวนั้นไม่ได้ป่วยทางจิต พวกเขาทั้งคู่รู้ว่านี่เป็นวิธีการของฉู่ชวิ๋น

เมื่อพวกเขาหันไปมองฉู่ชวิ๋น พวกเขาก็อดที่จะตะลึงอีกครั้งไม่ได้ พวกเขาเห็นฉู่ชวิ๋นกำลังใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพพร้อมกับรอยยิ้มของปีศาจที่โผล่ขึ้นมาจากมุมปาก ซึ่งทำให้หลังของเขาหนาวสั่นและผมของเขาชี้ตรง!