ตอนที่ 171 งานเลี้ยงครบรอบ (2) / ตอนที่ 172 งานเลี้ยงครบรอบ (3)

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 171 งานเลี้ยงครบรอบ (2)

 

 

ชุดสูทระดับไฮเอนด์ เป็นการแต่งตัวออกมาได้อย่างเรียบหรูตามสไตล์เวิร์คกิ้งวูแมน

 

 

ร่างระหงแผ่ความงามสง่าเฉียบแหลมเปี่ยมความสามารถของเธอออกมาอย่างปิดไม่มิด

 

 

ใบหน้างดงามน่าตกตะลึงประดับไปด้วยความเย็นชาชนิดที่ใครเห็นก็ต้องถอยห่าง ดวงตาเฉยเมยคู่นั้นกวาดมองไปรอบๆ อย่างเงียบสงบ ประกายความเยือกเย็นค่อยๆ ผุดขึ้น

 

 

รองเท้าส้นสูงคู่นั้นก้าวเดินไปอย่างมั่นคง ผมลอนธรรมชาติถูกปล่อยให้พลิ้วไหวไปมาตามจังหวะการเดินของเธอ

 

 

คนในงานไม่ได้มีท่าทีอะไร ทว่าเป็นเจียงหรงหรงที่ก้าวฉับๆ เข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าขุ่นมัว พร้อมกับเอ่ยปากตำหนิ

 

 

“ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”

 

 

เฉินฝานซิงกวาดสายตามองเธออย่างเยือกเย็น พลางตอบด้วยน้ำเสียงเหินห่าง

 

 

“ฉันมาได้ก็บุญแล้ว ประธานเจียง”

 

 

ตาคมคู่นั้นฉาบไปด้วยความเกรี้ยวกราด น้ำเสียงเองก็มีความดุดัน

 

 

“แกทำแบบนี้หมายความว่ายังไง!”

 

 

เธอหรี่สายตาลงมองอีกฝ่ายก่อนจะตอบออกไปอย่างเนิบช้า “สำหรับคุณแล้ว…คุณคิดว่า ฉันทำแบบนี้หมายความว่ายังไงล่ะ”

 

 

เจียงหรงหรงหรี่ตาลงแน่น “อย่าลืมนะว่าฉันยังเป็นย่าของแก?”

 

 

เฉินฝานซิงหัวเราะเสียงต่ำพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ

 

 

“ถ้าคุณไม่พูด ฉันก็คงลืมไปแล้วจริงๆ”

 

 

ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเจียงหรงหรงก็ยิ่งเยือกเย็นขึ้นอีก

 

 

คนฉลาดอย่างเธอ ทำไมจะฟังไม่ออกถึงความเย้ยหยันในคำพูดของเฉินฝานซิง

 

 

“แกกำลังจะโทษว่าหลายปีมานี้ฉันยังใส่ใจแกไม่พอ?”

 

 

ไม่พอ?

 

 

เธอยกยิ้มเย็นขึ้นในใจ เจียงหรงหรงเหมาะกับคำนั้นเสียที่ไหน

 

 

น้ำที่เติมไม่เต็มขวด นั่นไม่เรียกว่าพอ

 

 

ข้าวจานหนึ่งที่กินไม่อิ่ม นั่นไม่เรียกว่าพอ

 

 

ซื้อของจ่ายเงินแค่ครึ่งเดียว ก็เรียกว่าไม่พอ

 

 

‘ไม่พอ’ คืออย่างน้อยๆ ต้องเคยมอบให้

 

 

แต่หลายปีมาเจียงหรงหรงเคยใส่ใจอะไรเธอบ้าง

 

 

เฉินฝานซิงนิ่งเงียบไม่พูดจา

 

 

คำพูดที่ไม่จรรโลงใจเช่นนี้ ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงบ่อยๆ เธอไม่คิดที่จะเสวนากับอีกฝ่ายให้มากความ

 

 

รอยยิ้มจางบนใบหน้าแฝงไปด้วยความถากถาง ทั้งๆ ที่ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา แต่กลับทำเอาเจียงหรงหรงรู้สึกปวดแสบปวดร้อน

 

 

“ไหนๆ ก็มาแล้ว แกก็คงจะรู้หน้าที่ของแกดีสินะ ว่าคืนนี้แกควรทำอะไร!”

 

 

เธอเค้นเสียงหัวเราะเย็นออกจากลำคอ “แน่นอน ต้องรู้อยู่แล้ว”

 

 

สายตาของเธอทอดมองไปยังเวทีสูงเบื้องหน้า

 

 

แสงไฟสาดส่องไปยังจุดเดียวกัน ซึ่งหมายความว่านั่นคือสถานที่ที่เป็นเป้าสายตาอย่างไม่ต้องถาม

 

 

อีกทั้งหลังจากที่เธอกวาดสายตาไปรอบๆ แล้ว ก็มีหลายคนที่เธอพอจะคุณหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง

 

 

ถ้าหากจำไม่ผิด ก็น่าจะเป็นนักข่าวจากสื่อบันเทิงที่มีชื่อเสียง

 

 

ดูเหมือนว่าคืนนี้เฉินเชียนโหรวก็คงจะเป็นนางเอกของงานแน่ๆ

 

 

ไม่ง่ายเลยน้า ที่วันหนึ่งจะมีโอกาสได้ “เปล่งประกาย” ใน “อาณาเขต” ของสกุลเฉิน!

 

 

เฉินฝานซิงสูดหายใจเข้าเต็มปอด อารมณ์ที่สร้างจากความขมขื่นน่าเศร้าพร้อมทั้งตลกร้ายในใจ ได้แปลเปลี่ยนเป็นผลึกน้ำแข็งที่ยากจะทำลาย

 

 

เธอก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ใบหน้าเยือกเย็น ทุกก้าวย่างเกิดเป็นลมที่แผ่ขยายความหนาวเหน็บ

 

 

ผู้คนต่างหันมองเธอด้วยความฉงน แต่กลับถูกรังสีของเธอสะกดจนต้องค่อยๆ หลีกทางให้

 

 

“พี่คะ…” เฉินเชียนโหรวเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเสียใจและความบอบบาง ทว่าด้วยตานั้นกลับแสดงออกอย่างได้ใจ ซึ่งก็หนีไม่พ้นสายตาของเฉินฝานซิงแม้แต่น้อย

 

 

เธอทำเพียงแค่กวาดตามองอีกฝ่ายไปแว็บหนึ่ง ก่อนจะเดินผ่านร่างน้องสาวไปราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

 

 

“ฝานซิง…” จู่ๆ ซูเหิงก็ออกมาขวางหน้าเธอไว้ ก่อนเข้าจะเอ่ยขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ซับซ้อน “เธอไม่จำเป็นต้องออกหน้าเรื่องนี้ ฝานซิง ทุกอย่างฉันพูดให้เข้าใจได้”

 

 

เฉินฝานซิงชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะเบี่ยงตัวมองซูเหิงเล็กน้อยแล้วหัวเราะหยันออกมาเบาๆ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 172 งานเลี้ยงครบรอบ (3)

 

 

นั่นคือสายตาถากถางที่ซูเหิงคุ้นชินมากที่สุดในช่วงหลังๆ มานี้

 

 

เขากดเสียงลงให้ต่ำที่สุด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากให้ใครอีกหลายคนต้องมารับรู้เรื่องนี้

 

 

ทว่าเฉินเชียนโหรวและเจียงหรงหรงที่อยู่ข้างกลับได้ยินเข้า

 

 

เฉินเชียนโหรวรีบโผเข้ามาข้างๆ ซูเหิงอย่างร้อนใจ

 

 

“พี่เหิง ฉันว่า ฉันจะขึ้นไปพูดเอง เพราะเรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉัน ผิดที่ฉันไม่ยอมห้ามใจตัวเอง…”

 

 

สถานการณ์ที่ดูจะผิดแผกไปของพวกเขา เรียกความสนใจจากผู้คนจำนวนไม่น้อยให้ค่อยๆ เข้ามาให้ความสนใจ โดยเฉพาะนักข่าวพวกนั้นที่เริ่มรับรู้ได้ถึงกลิ่นบางอย่าง

 

 

“พูดไร้สาระอะไรอยู่!”

 

 

เสียงขุ่นตะเบ็งออกมา จนเรียกรอยยิ้มเย็นบนใบหน้าเฉินฝานซิงได้อีกครั้ง

 

 

“คุณย่าคะ หนูยอมให้พี่เหิงรับผิดคนเดียวไม่ได้…”

 

 

“เอาเถอะ เลิกวุ่นวายกันได้แล้ว! ไม่นึกถึงหน้าของทุกคนกันบ้างเลย?”

 

 

เธอตำหนิออกมา พร้อมดวงตาลากผ่านไปยังเฉินฝานซิง “แกยังไม่รีบขึ้นไปอีก!”

 

 

ในตอนนั้นเอง แววตาของเธอก็วูบไหวไปชั่วขณะ มือที่ถือกระเป๋าอยู่นั้นกำเข้าหากันแน่นจนซีดเผือด

 

 

หน้าของทุกคน?

 

 

แล้วเธอล่ะ?

 

 

ตอนนี้เธอยังคงอยู่เบื้องหน้า ไม่แม้แต่จะปกปิดความเป็นจริงอีกต่อไป

 

 

อย่างน้อยก็ไม่หวั่นไหว

 

 

“คุณย่าครับ ยังไงเรื่องนี้ขอให้ผมกับฝานซิงปรึกษากัน…”

 

 

“พอได้แล้ว”

 

 

ดูเหมือนว่าซูเหิงยังอยากจะพูดบางอย่าง ทว่าว่าเสียงเย็นเยือกเสียงหนึ่งก็ได้ดังแทรกขึ้นมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน

 

 

เมื่อเขาหันไปมองก็พบกับสายตาเย้ยหยันที่ฉาบไปด้วยแววหยามเหยียดของเฉินฝานซิงคู่นั้น

 

 

“คืนนี้ฉันมาสายไปเกือบชั่วโมง ซูเหิง ชั่วโมงหนึ่งทำอะไรได้ตั้งมากมาย ถ้านายอยากจะพูดจริงๆ ก็คงไม่รอมาจนถึงตอนนี้…เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว จะมามัวตีหน้าซื่ออยู่ทำไม ใจนึงนายก็คิดจะทิ้งฉัน ในใจหนึ่งนายก็อยากจะให้ฉันหลงเหลือความรู้สึกดีๆ ให้กับนาย ไม่กลัวว่าฉันจะปล่อยวางจากนายไม่ได้? หรืออันที่จริงนายไม่ได้อยากให้ฉันปล่อยวางจากนายกันแน่”

 

 

ซูเหิงหน้าชาไปชั่วขณะ หัวใจของเขาราวกับถูกหมัดหนักๆ อัดเข้ามา หน้าเขาซีดไปราวกับถูกพูดจี้ใจดำ

 

 

เฉินฝานซิงสูดหายใจเข้าเต็มปอด ละสายตากลับมาแล้วเบื่อหน้าไปอีกทาง “ถอยไป”

 

 

“…ฝานซิง”

 

 

คิ้วงามกระตุกเข้าหากันเล็กน้อย ความหงุดหงิดผุดขึ้นบนใบหน้าเย็นชานั้นก่อนที่เธอจะยกมือดันเขาให้หลบไปอีกทาง

 

 

ยังไม่ทันได้ตั้งรับ ร่างของเขาเซไปข้างหลังสองสามก้าว เฉินเชียนโหรวก้าวเข้ามาคว้าเอวเขาไว้แน่นและมือของเขาก็ได้เกี่ยวเอวขอดของเธอเข้ามาอย่างอัตโนมัติ

 

 

แม้จะเป็นเพียงท่าทางเพียงเล็กน้อย ทว่าการกระทำของทั้งคู่ก็เกินงามไปมาก

 

 

ชายหญิงที่สัดส่วนต่างกัน สุดท้ายซูเหิงก็ไม่ได้แค่ล้มลงไปด้วยตัวคนเดียว เขายื่นมือขึ้นหวังจะแก้ไขปัญหาทว่าสุดท้ายกลับไปคว้าเอาเฉินเชียนโหรวเข้ามากอดเอาไว้

 

 

เฉินฝานซิงปรายตามองพวกเขาอย่างเยือกเย็น เธอเฉยชาต่อเสียงฮือฮาจากรอบด้านก่อนจะมุ่งตรงไปยังเวทีนั้น

 

 

เจียงหรงหรงที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นกระแอมไอออกมา ถลึงตามองใส่สองร่างที่กำลังกอดกันกลม เฉินเชียนโหรวรับรู้ได้ถึงสายตานั้นก็รีบผละออกจากซูเหิงทันที

 

 

หลังจากนั้นเจียงหรงหรง ก็ได้เดินตามหลังเฉินฝานจริงไปติดๆ

 

 

เฉินฝานซิงได้เดินไปหยุดอยู่ตรงโพเดียมบนเวที แล้วก้มหน้าลงมองไปโดยรอบหนึ่งครั้ง

 

 

สมกับเป็นโรงแรมบิสซิเนสระดับไฮเอนด์ เดสก์ท็อปก็ยังเป็นหน้าจอแอลอีดีแบบสัมผัส

 

 

เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ท่ามกลางแสงไฟสีขาวที่สาดส่อง ใบหน้าสวยได้รูปไม่เผยให้เห็นตำหนิใดๆ แม้แต่น้อย เพียงแค่ไม่แสดงอารมณ์

 

 

เสียงเย็นนั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ราวกับดอกไม้ขาวที่ผลิดอกบนยอดเขาหิมะ งามสง่าและสูงส่ง ไกลเกินเอื้อมถึง

 

 

ติงเฉิงอวี่ยืนอยู่ด้านล่างของเวที ทอดมองขึ้นมายังหญิงสาวจอมอวดดีข้างบน ในแววตาเบื้องหลังกรอบแว่นสีทองนั้นเต็มไปด้วยความสนใจ

 

 

ดวงตาของเฉินฝานซิงกวาดลงมาด้านล่างอย่างเฉยชา มุมปากค่อยๆ กระตุกขึ้นอย่างเยือกเย็น

 

 

เห็นรอยยิ้มของเธอเช่นนี้ หัวคิ้วของเจียงหรงหรงก็ถึงกับกระตุก หัวใจเริ่มอยู่ไม่สุขขึ้นมา

 

 

“ต้องขอโทษที่ขัดความสุขของทุกๆ ท่าน…”

 

 

เสียงใสอันเยือกเย็นดังออกมาจากเครื่องขยายเสียงทั่วทั้งงาน เสียงในลำคอไม่สูงไม่ต่ำ แต่กลับเรียกความสนใจของทุกคนให้มาหยุดลงที่เธอได้…