บทที่ 59 ยา
สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแม่น้ำตะวันตก ยาเหล่านี้คล้ายกับจะเป็นเกราะกันภัย ทำให้พวกเขาปลอดภัยจากคำสาป แต่ก็คล้ายกับจะเป็นคุกจองจำไม่ให้พวกเขาจากที่นี่ไปได้
คำของซูเฉินจะสร้างโอกาสใหม่ขึ้นมามากมาย สามารถทำให้พวกเขาโบยบินออกจากกรง ออกผจญภัยบนฟ้ากว้างได้
แต่หากใครคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้พวกเขายอมจากไปแต่โดยดีก็นับว่าคิดผิดแล้ว
ความเคยชินนั้นทรงพลังมาก !
พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มานานนับหลายรุ่น ทำให้ยากหากต้องจากไป หลาย ๆ คนยอมตายไม่ยอมจากแผ่นดินที่อยู่กันมาหลายชั่วอายุคนแห่งนี้ไป
ความรู้สึกที่ต้องจากบ้านเกิดไป คนนอกยากจะเข้าใจ
ยังดีที่ซูเฉินไม่คิดจะให้ผู้คนจากไปทั้งหมด เพียงแต่ให้ออกไปหาที่ซ่อนยามที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบมาถึงก็เท่านั้น ดังนั้นจึงไร้ปัญหา
เย็นวันนั้น คนจากหมู่บ้านสราญรมย์ก็จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่ให้กับอิสรภาพของตน ทั้งร้องเล่นเต้นระบำกันเต็มที่
แต่ซูเฉินกลับนอนหลับลึกอยู่ภายในห้องของหัวหน้าหมู่บ้าน โดยมีกังเหยียนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู กันไม่ให้ใครเข้าไปได้ หมายความว่าซูเฉินเข้าสู่แดนฝันแล้วนั่นเอง หลังจากผ่านการฝึกในปีนั้น เขาก็รู้แล้วว่าต้องหาสถานที่ปลอดภัยก่อนเข้าสู่แดนฝัน
และเมื่อเข้าแดนฝันไปก็พบกับปราสาทอันคุ้นตา
ผู้เข้าสู่แดนฝันทุกคนจะมาปรากฏตัวยังจุดเริ่มต้น เว้นเสียแต่ว่าอยากเปลี่ยนจุดเริ่มต้นตนเองเสียใหม่ แต่แม้จะเปลี่ยนก็ไม่ได้เห็นสิ่งใหม่อยู่ดี เพราะอย่างไรแดนฝันก็เป็นเพียงข่ายข้อมูลที่เอาไว้ติดต่อสื่อสารกันเท่านั้น ไม่ได้มีภาพทิวทัศน์งดงามให้งามตา มองไปทางไหนก็เหมือนกันไปหมด แม้จะมีแสงไฟหลากหลายสี แต่ไม่นานก็ไม่ตื่นตาตื่นใจอีกต่อไป
ทว่าครานี้ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปทำธุระที่ห้องโถงใหญ่ทั้งสาม แต่เขากลับเดินขึ้นบันไดสู่ปราสาทแดนฝัน พบเข้ากับทางเดินเล็กอันเงียบสงบ จากนั้นก็ผลักประตูเดินเข้าไป เผยให้เห็นเรือนหลังเล็กที่รายล้อมไปด้วยหุบเขาและธารน้ำใส
ที่นี่คือเรือนในปราสาทแดนฝันของซูเฉิน เป็นหนึ่งในประโยชน์ของเจ้าหน้าที่แห่งฝัน และด้วยความที่เป็นเรือนของเขาเอง ซูเฉินจึงสามารถปรับแต่งได้ดั่งใจหมาย ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มมีนิสัยเก็บตนเช่นพวกนักบวช
เรือนแดนฝันสามารถใช้เป็นสถานที่พูดคุยเรื่องต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด เจ้าแดนฝันกล่าวไว้ว่านี่เป็นสิทธิพิเศษระดับสูงที่สุด กระทั่งตัวเขาเองยังไม่อาจแอบฟังบทสนทนานั้นได้ แต่ไม่ว่าจะจริงหรือไม่นั้นก็พูดยาก เพราะเป็นเขาที่ควบคุมทุกสิ่งอย่าง แต่อย่างน้อย ๆ ราชันแห่งฝันคนอื่น ๆ ก็ไม่อาจบุกเข้าเรือนของคนอื่นในแดนฝันได้
ทวีปต้นกำเนิดนั้นไม่มีหนทางใดให้ใช้พูดคุยกันได้อย่างรวดเร็วว่องไวมากมายนัก ดังนั้นแดนฝันจึงนับเป็นสื่อกลางในการพูดคุยที่สะดวกสบายและรวดเร็วที่สุด
เมื่อเดินเข้าเรือนตนมาแล้ว ซูเฉินก็เอ่ย “เปิดสายแล้วเชื่อมต่อหาอาจารย์”
คลื่นเสียงระลือกหนึ่งที่ไม่อาจมองเห็นถูกส่งออกไป
ไม่นานหลังจากนั้น คนผู้หนึ่งก็ปรากฏตัว ฉือไคฮวงนั่นเอง
“อาจารย์ !”
“โอะโฮ่ !” ฉือไคฮวงมองศิษย์รักตนด้วยความยินดี “ไม่ได้เจอกันนาน ช่วงนี้เจ้ายุ่งวุ่นวายอะไรอยู่หรือ ?”
“ศิษย์เดินทางไปฝึกฝนตนที่ป่าแม่น้ำตะวันตก” ซูเฉินอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟัง
“ฮึ่ม พวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงอยากรีดเลือดกับปู ละโมบโลภมากนัก เรื่องเช่นนี้เห็นได้ทั่วไป ได้เวลาสั่งสอนพวกเขาบ้างแล้ว” ฉือไคฮวงคำราม “ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ข้าจะช่วยปกป้องเจ้าเอง”
“ขอรับ ศิษย์เข้าใจแล้ว แรงหนุนที่แกร่งกล้าที่สุดของข้า จนถึงตอนนี้ก็ไม่ใช่ข้ารับใช้เงาหรือยาอันใด ล้วนเป็นอาจารย์ทั้งสิ้น !” ซูเฉินตอบ
ฉือไคฮวงหัวเราะ “เจ้าก็รู้จักแต่พูดยกยอคน”
แม้จะดูว่าถูกศิษย์เยินยอ แต่ได้ยินแล้วก็มีความสุขนัก อีกทั้งคำชมนี้ก็ไม่ใช่คำลวง
หากไม่ได้ฉือไคฮวงคอยหนุนหลัง ซูเฉินจะคิดทำการอะไรย่อมต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนมากกว่าเดิมมาก
“ใช่แล้วอาจารย์ การค้นคว้าเรื่องวิธีทะลวงด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“ยิ่งก้าวหน้าก็ยิ่งยากขึ้น !” ฉือไคฮวงส่ายหัวถอนหายใจ
“ท่านยังติดอยู่ที่จุดสามพลังหยางหรือ ?”
“ถูกต้อง ยังติดอยู่ตรงนั้น ไม่ไปถึงไหนเลย จุดสามพลังหยางเป็นจุดที่พลังต้นกำเนิดมาอยู่รวมกัน หากผิดพลาดไปสักนิดการไหลเวียนของเลือดจะเกิดความโกลาหล วิถีการเปิดพลังของข้านั้น แม้จะสามารถสร้างสมดุลให้การไหลเวียนของเลือดได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจควบคุมมันโดยสมบูรณ์ได้ เจ้าเองก็รู้ดีว่าหากเกิดเรื่องขึ้นในขั้นตอนนี้ ผลที่ออกมาคือหายนะ อย่างน้อยที่สุดก็จะทะลวงด่านไม่สำเร็จ ถูกพลังตีกลับ เลวร้ายที่สุดก็อาจเสียชีวิตได้”
“เป็นเหตุผลที่ข้ามาหาอาจารย์ในวันนี้ ข้าค้นพบบางอย่างตอนอยู่ในป่าแม่น้ำตะวันตก อาจใช้แก้ปัญหาของจุดสามพลังหยางได้”
“โอ้ ? คืออะไรกัน ?” ฉือไคฮวงได้ยินแล้วก็เกิดความสนใจ
“คำสาปป่าแม่น้ำตะวันตก” ซูเฉินตอบ “สาเหตุของคำสาปคือจุลชีพที่มีขนาดเล็กมาก ศิษย์ศึกษามันมา บังเอิญพบว่าจุลชีพเหล่านี้ช่วยเรื่องจุดสามพลังหยางได้ดีนัก สามารถคงการไหลเวียนเลือดให้เสถียร เปิดการไหลเวียนพลังต้นกำเนิดได้ หากท่านทำให้มันกลายเป็นยาก็อาจใช้มันเพื่อแก้ปัญหาจุดสามพลังหยางได้”
ฉือไคฮวงได้ยินแล้วพลันส่ายหน้า “ที่ข้าต้องการคือวิธีทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดหรือยาใดช่วย หากเจ้าต้องใช้พลังยาเป็นตัวหนุนนำก็จะถูกมันฉุดรั้งไว้ เช่นนั้นจะต่างอะไรจากสายเลือดเล่า ?”
“แตกต่างมาก” ซูเฉินหัวเราะ “ยาหาได้ง่ายกว่าสายเลือด ทุกคนเองก็มีโอกาสหามาได้เท่า ๆ กัน การสร้างวิธีทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดย่อมกินเวลายาวนาน อาจารย์ควรมุ่งแก้ปัญหาตรงหน้า ดีกว่าพยายามทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบนะขอรับ”
ฉือไคฮวงชะงักไป
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็มีเหตุผล แต่ในเมื่อยานี้ต้องใช้ส่วนผสมที่พบเฉพาะในป่าแม่น้ำตะวันตก แต่ละปีจึงผลิตออกมาได้อย่างจำกัดกระมัง ?”
“ถูกต้อง ดังนั้นศิษย์จึงตั้งใจจะพัฒนามันต่อหลังจากที่เราหาทางทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดได้ ไม่ใช่ว่าวิธีทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดเองก็มาจากผลงานการพัฒนาของคนอื่น ๆ ก่อนหน้าเราตั้งมากมายไม่ใช่หรือ ?”
“เรื่องนั้น…… กล่าวได้ไม่ผิด” ฉือไคฮวงพยักหน้า
จากนั้นถอนใจออกมา “ในปีนั้น เป็นเจ้าที่เสนอขึ้นมาว่าให้รวมวิชาโบราณอาร์คาน่าและทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยเข้าด้วยกัน ทำให้เราค้นพบวิธีทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตในที่สุด ตอนนี้ต้องใช้ยาเพิ่มในวิธีทะลวงด่านทะลวงลมปราณ อย่างน้อยในเรื่องกระบวนการคิดเห็นของเจ้าก็เหนือกว่าข้านัก !”
“แต่ทุกอย่างก็ยังเป็นเพราะอาจารย์ ข้าเพียงเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลายเท่านั้น”
“เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย ? ข้าว่าคล้ายเป็นการตกแต่งขั้นสุดท้ายมากกว่า หากยาของเจ้าสามารถแก้ปัญเรื่องจุดสามพลังหยางได้ เช่นนั้นก็เหลือเพียงรอเวลาจนกว่าวิธีทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดจะเสร็จสมบูรณ์เท่านั้น อ้อ เจ้าเองก็รอเวลานั้นอยู่เช่นกันกระมัง ?”
“ขอรับอาจารย์” ซูเฉินตอบพลางยิ้มน้อย ๆ
ฉือไคฮวงสัมผัสถึงความรวดเร็วในการบ่มเพาะพลังของซูเฉินได้
แม้พวกเขาจะอยู่ในแดนฝัน ฉือไคฮวงก็สัมผัสได้ว่าพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของซูเฉินนั้นเพิ่มสูงขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เจอกันมาก
แต่ทุกคนต่างก็มีความลับกันทั้งสิ้น หากซูเฉินไม่พูด เขาก็จะไม่ถาม พวกเขาศิษย์อาจารย์เข้าใจเรื่องนี้ตรงกันดี
สำหรับชายหนุ่มแล้ว ยาประเภทนี้ไม่เพียงเป็นหนทางสู่การทะลวงด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือด แต่ยังเป็นการได้มาซึ่งทรัพยากรมหาศาล
วิธีทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดเผยแพร่ออกไปได้ แต่สูตรยานั้นเขาจะเก็บไว้ขายเอง
หลังจากสนทนากันเรื่องการทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณในเชิงลึกแล้ว ฉือไคฮวงก็ถามขึ้น “มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ ?”
ซูเฉินลังเลชั่วขณะก่อนเอ่ย “ข้าค้นพบบางอย่างในป่าแม่น้ำตะวันตก ที่นั่นมีแก้วเคลือบม่วงที่สามารถถ่ายโอนวิญญาณคนเข้าไปในร่างอสูรร้าย ทำให้คนควบคุมอสูรร้ายได้ หากนำมาวิเคราะห์รวมกับเรื่องคฤหาสน์ตระกูลหลี่และเรื่องเว่ยเหลียนเฉิงแล้ว เราก็มั่นใจได้ว่า……”
ได้ยินดังนั้นแล้ว ฉือไคฮวงก็มีสีหน้าทะมึนลง “เป็นพวกไม่ใช่ผีไม่คนงั้นหรือ ? พวกมันมาสร้างความปั่นป่วนที่แดนเราอีกแล้ว !”
“เป็นเพราะพวกเขามีจำนวนน้อยไม่ใช่หรือไร” ซูเฉินหัวเราะ “หากท่านอยากทำการทดลอง ย่อมต้องเสาะหาสถานที่ที่มีตัวทดลองเพียงพอ”
“เช่นนั้นไม่ได้หรอก เรื่องนี้สำคัญนัก ข้าจะต้องไปรายงานให้เบื้องบนทราบ”
“อาจารย์ !” ซูเฉินรั้งฉือไคฮวงไว้
จากนั้นกล่าวว่า “เหตุใดไม่ปล่อยให้ข้าจัดการ ?”
“เจ้าน่ะหรือ ?” ฉือไคฮวงลังเลอยู่นิดหน่อย “ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้าหรอกนะ แต่ศัตรูครานี้ไม่ใช่ศัตรูธรรมดา ! เจ้า…… เจ้าทำได้หรือ ?”
ซูเฉินไม่ได้เอ่ยตอบทันที เขาครุ่นคิดอย่างหนักชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าอาจยังจัดการคนไม่ได้ แต่หากมีเวลามากพอ ข้ามั่นใจว่าจะสามารถทำได้”
ฉือไคฮวงพยักหน้า “ดูท่าสถานการณ์ที่นั่นจะซับซ้อนไม่น้อย เจ้ารับมือกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบ ทั้งยังคนพวกนั้นอีก เจ้าคนเดียวอาจจะตึงมือไป ข้าส่งคนไปช่วยเจ้าเป็นไร ?”
“คนช่วย ? คนช่วยอะไรกัน ?”
“สหายที่เข้าไปในซากโบราณลุ่มน้ำทองกับเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าอย่างไร ?”