บทที่ 60 เจ้ากรมคนใหม่
เช้าวันต่อมา ซูเฉิน กังเหยียน และข้ารับใช้เงาทั้งหลายพากันกลับมายังเมืองธารน้ำใส
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ซู หลี่ชู่ก็เดินออกมาต้อนรับยิ้มแย้ม “นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว !”
“อืม คฤหาสน์สงบสุขดีใช่หรือไม่ ?”
“สงบสุขดีขอรับ” หลี่ชู่รีบตอบ
ซูเฉินใช้เวลาส่วนมากไปกับการทดลอง ดังนั้นถึงหายตัวไปช่วงหนึ่งก็ไม่มีใครรู้ เว้นเสียแต่จะมีเรื่องเกิดขึ้น
“ช่วงนี้มีเรื่องอะไรใหญ่โตเกิดขึ้นในแถบนี้บ้างหรือไม่ ?”
“เรื่องใหญ่หรือ ? มีอยู่ขอรับ” หลี่ชู่ตอบหลังจากคิดครู่หนึ่ง “2-3 วันก่อน เรือเดินทะเลที่พันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบส่งออกไปประสบภัย ดูท่าจะเจอพวกโจรสลัดเข้า ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก”
ซูเฉินได้ยินก็หัวเราะ “เป็นข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อย”
“ขอรับ” หลี่ชู่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบปะทะโจรสลัด…… แต่โจรสลัดพวกนั้นไม่ใช่พวกเขาควบคุมอยู่หรือ ? ช่างน่าขันจริง หรืออาจจะไปเจออย่างอื่นเข้า แต่โทษพวกโจรสลัดกระมัง”
“เรื่อง ‘อย่างอื่น’ นั่นก็คือไปเจอข้า” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ จิบชาที่หมิงชูยกมาให้
“เจอท่านหรือ ?” หลี่ชู่เบิกตากว้าง “นายน้อยหมายความว่า……”
“พวกเราจัดการพวกนั้นเสียเรียบ” กังเหยียนเอ่ยเสียงต่ำ
หลี่ชู่ชะงักไป
ดูท่าเรื่องต่าง ๆ ในเมืองธารน้ำใสล้วนเกี่ยวข้องกับซูเฉิน
เรือของพันธมิตรตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้นใหญ่มาก ขนผู้ฝึกยุทธ์ไปหลายร้อย ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีกหลายสิบ ซูเฉินทำได้อย่างไรกัน ?
แต่หลี่ชู่ก็รู้ทาง ไม่ถามในสิ่งที่ไม่ควร หลังตกใจคราแรกแล้วก็ตั้งสติใหม่ “นายน้อยมีความสามารถนัก ! แต่เราจะปล่อยให้เรื่องนี้แพร่ออกไปไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วง ข้าสวมหน้ากากไว้ พวกเขาไม่รู้แน่นอน แต่ข้าคิดว่าไม่นานก็คงรแล้วกระมัง อย่างไรขนาดตัวกังเหยียนก็เห็นได้เด่นชัดเสียขนาดนั้น” ซูเฉินเอ่ย “อย่างไรก็เถอะ ข้ากับพวกเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันไปแล้ว รู้เรื่องก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
“ใช่แล้วนายน้อย ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” หลี่ชู่พลันนึกบางอย่างได้
“อะไรหรือ ?”
“มีเจ้ากรมพลังต้นกำเนิดคนใหม่มาขอรับ”
“อ้อ ?” ซูเฉินหรี่ตาลง
——————————————————
ณ กรมพลังต้นกำเนิด
ซูเฉินเดินทอดน่องไปยังกรมพลังต้นกำเนิด เห็นเฉาเจิ้งจวินลุกลี้ลุกลนเดินออกมา เมื่อเฉาเจิ้งจวินเงยหน้าขึ้นเห็นซูเฉินก็ตาเป็นประกาย “ไอ้หยา ท่านกลับมาเสียที”
“อะไรกัน ? หากข้ายังไม่กลับ ฟ้าจะถล่มลงมาใส่หลังคากรมพลังต้นกำเนิดหรือไร ?” ชายหนุ่มถามยิ้ม ๆ
“ไม่ถล่มหรอกขอรับ แต่กรมพลังต้นกำเนิดจะไม่ได้อยู่ภายใต้ชื่อซูแล้ว” เฉาเจิ้งจวินเอ่ยเสียงเบา
ซูเฉินเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “เฉาเจิ้งจวิน เจ้าว่าอะไรนะ ? กรมพลังต้นกำเนิดเคยใช้ชื่อซูตั้งแต่เมื่อไรกัน ? หากในระดับใหญ่ย่อมต้องอยู่ภายใต้ชื่อหลิน รับใช้องค์ฮ่องเต้ต่างหาก แต่หากเป็นในระดับเล็กก็ใช้ชื่ออัน รับใช้เจ้าเมือง เจ้ากับข้าเป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อย ทำอะไรต้องตามกฎเกณฑ์ เราจะหยิบเอาของสาธารณะมาเป็นของส่วนตนได้อย่างไรกัน ?”
เฉาเจิ้งจวินดูท่าจะอับอาย นานครู่หนึ่งกว่าจะเอ่ยต่อ “ท่านซูสั่งสอนได้ถูกแล้ว ข้าน้อยเพียงแต่อยากแจ้งว่า……”
“เจ้ากรมคนใหม่มาถึงแล้ว ?”
“ท่านรู้แล้วสินะ” เฉาเจิ้งจวินเอ่ย ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก
“ข้าเพิ่งได้ข่าว” ซูเฉินเดินเข้าไปด้านใน “เขามาถึงเมื่อไร ?”
“3 วันก่อนขอรับ มาถึงก็อยากพบใต้เท้าซูทันที แต่คนที่คฤหาสน์ท่านบอกว่าตอนนี้ท่านเก็บตัว เจ้ากรมคนไม่ไม่พอใจนัก จึงกลับมาทำการปรับโครงสร้างกรมพลังต้นกำเนิด……”
เฉาเจิ้งจวินพูดแล้วก็เงียบไป
ซูเฉินจ้องเขานิ่ง “หากมีเรื่องจะพูดก็พูดเถอะ”
เฉาเจิ้งจวินเอ่ย “ต้วนเฟิง เหอฉีเว่ย กงหย่วน และหลี่จื้อ ถูกจับไปแล้วขอรับ”
คน 4 คนนี้คือคนที่ภักดีกับซูเฉินมากที่สุด เมื่อครั้งชายหนุ่มเข้าคุมกรมพลังต้นกำเนิดก็จัดการกับคนที่สนับสนุนหลิ่วอู๋หยาเป็นอันดับแรกเช่นกัน เจ้ากรมคนใหม่มาถึงก็ย่อมต้องทำเช่นนั้น ต่างกันเพียงที่ยังไม่ได้สังหารคน
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใจคิดทำ เพียงแต่เขาไม่ใช่ซูเฉินก็เท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไร กรมพลังต้นกำเนิดก็ยังอยู่ในชื่ออันซื่อหยวน หากคนจากกรมพลังต้นกำเนิดถูกสังหาร อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด อันซื่อหยวนย่อมมีอำนาจตั้งคำถาม ตรวจสอบสถานการณ์โดยละเอียด
ซูเฉินจะสังหารใครก็ได้ตามใจชอบ อันซื่อหยวนมีแต่จะปรบมือร้องชอบใจ กระทั่งร่วมมือช่วยปัดความผิดให้คนกลุ่มอื่นเสียด้วยซ้ำ
แต่หากเจ้ากรมคนใหม่อยากสังหาร อันซื่อหยวนย่อมปฏิบัติตนแตกต่าง
ดังนั้น เจ้ากรมคนใหม่จึงไม่อาจลงมือสังหารคนได้ ได้แต่หาข้ออ้างจับตัวคนไป ทำให้ซูเฉินลำบากใจเท่านั้น
แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นพันธมิตรกับฝั่งใด
“ใช้ข้ออ้างอะไร ?”
“เขาบอกว่าทุกคนร่วมมือกับพวกโจรสลัด สมมรู้ร่วมคิดเรื่องโจมตีกองเรือ ทั้งยังบอกว่ามีหลักฐานมัดตัวแน่น”
“กองเรือเดียวกันกับที่ถูกพวกโจรสลัดโจมตีเมื่อหลายวันก่อนหรือ ?” ซูเฉินตกตะลึง
“ขอรับ”
ซูเฉินต้องกลายเป็นคนแบกหม้อดำไปเสียแล้ว (แพะรับบาป) แต่ก็นับว่าไม่ผิดไปจากความจริงมากนัก
ซูเฉินคิด ๆ แล้วก็อดหัวเราะคิดไม่ได้
เฉาเจิ้งจวินเห็นซูเฉินมีแก่ใจหัวเราะก็สงสัยนัก
ซูเฉินถาม “สถานการณ์เป็นอย่างไร ?”
“ผอมลงเล็กน้อย ลำบากลำบนนิดหน่อย แต่ไม่ได้ถูกทำร้ายมากมายขอรับ หากแต่พวกเขาหมายหัวท่านอยู่นะขอรับ !” เฉาเจิ้งจวินเอ่ยเตือน
ตอนนี้เขาอยู่ฝ่ายซูเฉินโดยสมบูรณ์ แต่เพราะเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด และยังเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งในกรมพลังต้นกำเนิด เจ้ากรมคนใหม่จึงยังไม่แตะต้องเขา แต่เฉาเจิ้งจวินรู้ดีว่าหากซูเฉินปล่อยให้เจ้ากรมคนใหม่ทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่นานเขาก็คงซวยไปด้วย ดังนั้นจึงตั้งตารอให้ซูเฉินแสดงอำนาจอยู่
“ดีมาก” ซูเฉินเหมือนไม่ใส่ใจ “เจ้ากรมอยู่ในกรมพลังต้นกำเนิดหรือไม่ ?”
“อยู่ด้านในขอรับ”
“งั้นไปทักทายเขาสักหน่อยเถอะ” ซูเฉินว่าพลางเดินเข้าไปด้านใน
เฉาเจิ้งจวินได้แต่บ่นน้อย ๆ ก่อนเดินตามเข้าไป
เมื่อเข้ามายังห้องโถงใหญ่แล้ว ทั้งสองก็เห็นชายร่างสูงนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน เทหล้าจากจอกลงคอ ที่ต้นขามีมีดขนาดใหญ่เอาผ้าพันไว้ ทำให้ดูดุร้ายยิ่ง
เมื่อเห็นซูเฉินเดินเข้ามา นัยน์ตาที่เดิมทีขุ่นมัวพลันกระจ่าง “เจ้าคือผู้จัดการความรู้ซู ?”
ซูเฉินหัวเราะ “ท่านคงจะเป็นเจ้ากรมคนใหม่ ใต้เท้าสิงซาเป่ยกระมัง ?”
“รู้ว่าข้าเป็นใครแล้วยังไม่ทำความเคารพอีก ?” เจ้ากรมสิงเอ่ยเสียงเหี้ยม
ซูเฉินทำเพียงหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมาโบกตรงหน้าสิงซาเป่ย “ข้ามีเหรียญผู้กล้าระดับ 2 หมายความว่าข้าไม่จำเป็นต้องทำความเคารพข้าราชการที่มียศสูงกว่าข้า 3 ระดับ เจ้ากรมสิงไม่จำเป็นต้องตอกหน้าข้าด้วยระดับที่สูงกว่าเพียง 1 ขั้นกระมัง”
สิงซาเป่ยพลันสีหน้าเคร่งขรึม “เหรียญผู้กล้าระดับ 2…… ดี ดีมาก ผู้จัดการความรู้ซูมีความสามารถไม่ธรรมดา ไม่แปลกที่สามารถทำให้เมืองทั้งเมืองโกลาหลได้”
ซูเฉินตอบโดยไม่สนมารยาท “นับตั้งแต่ข้า ซูเฉิน เข้าดูแลกรมพลังต้นกำเนิด ข้าก็ทำการสิ่งใดเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เคยทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ กล้ากล่าวได้ว่ามีสำนึกผิดชอบชั่วดี ไม่เคยละอายต่อสิ่งใด จะทำให้เมืองเกิดความโกลาหลได้อย่างไรกัน ?”
“เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเรื่องที่ท่าเรือเมืองธารน้ำใสไม่ใช่ฝีมือเจ้า ?”
“เป็นฝีมือข้าเอง กลุ่มอัธพาลฉางชิงทำผิดกฎหมาย สังหารคนจากทางการของกรมพลังต้นกำเนิด เมื่อมีหลักฐานพวกข้าจึงตามจับอาชญากร แต่พวกเขาขัดขืน สมควรถูกลงโทษสถานหนัก ข้าเพียงทำตามกฎหมาย การสังหารหมู่ครั้งนั้นนับว่าเป็นไปโดยชอบธรรมแล้ว ! อีกทั้งตั้งแต่เรื่องครั้งนั้นมา กลุ่มอัธพาลฉางชิงก็ไม่กล้าสร้างปัญหา ปรับตนตามกฎใหม่ นับเป็นผลงานน่าชมเชยของข้าเลยก็ว่าได้”