ภาคที่ 3 บทที่ 61 เรียกร้องให้คืนคน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 61 เรียกร้องให้คืนคน

สิงซาเป่ยกำมือแน่น บีบจอกเหล่าในมือแตกละเอียด

“พูดจาวางท่านัก !” เขาเอ่ยเสียงทะมึน “เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายการตายของเจ้ากรมหลิ่วและคนของเขาอย่างไร ?”

“เจ้าเมืองอันจัดการคดีนั้นแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องถามข้าเรื่องนี้อีก หากข้ายังตอบได้ไม่พอใจ ท่านก็ไปถามเจ้าเมืองเอาเอง”

“ข้าคิดแล้วว่าเจ้าจะต้องหันไปพึ่งเจ้าเมือง อย่าคิดว่ามีอันซื่อหยวนคอยปกป้องแล้วเจ้าจะทำอะไรได้ไม่เกรงกลัวใคร !” สิงซาเป่ยตวัดสายตาจ้องซูเฉินอย่างดุร้าย

แค่มองก็รู้ว่าต่างเป็นศัตรูกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครรักษามารยาท พบกันแล้วก็แทบจะตีกันเลย

“เช่นนั้นเจ้ากรมสิงเองเล่า ? เป็นสุนัขของตะกูลใดกัน ? หรือมีหลายตระกูลคอยโยนอาหารให้ ?” ซูเฉินตอกกลับเจ็บแสบ

“โอหัง !” สิงซาเป่ยฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ ตัวโต๊ะไม่เป็นอะไร แต่ที่พื้นกลับเริ่มเห็นรอยแตก

มันไม่ใช่วิชาอะไร แต่เป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถควบคุมพลังได้ดีมาก

ย่อมต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจการต่อสู้ระยะประชิดเป็นแน่

สิงซาเป่ยกล่าวต่อ “ซูเฉิน เจ้าอาจจัดการหลิ่วอู๋หยากับคนของเขาได้ แต่ข้าจะไม่ไว้หน้าเจ้าเรื่องต้วนเฟิงและคนอื่น ๆ แน่ !”

“ท่านก็ไม่ไว้หน้าข้าไปแล้วไม่ใช่หรือ ?” ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “ใช่แล้ว ในฐานะเจ้ากรม ท่านมีสิทธิ์จับตัวลูกน้อง แต่ในเมื่อท่านกล่าวหาและกักขังพวกเขาไว้ ข้าเอง ในฐานะผู้จัดการความรู้ ก็มีสิทธิ์ตรวจสอบค้นหาว่าพวกเขาผิดจริงหรือไม่เช่นกัน ข้าไม่พูดว่าพวกเขาไร้ความผิดเสียทั้งหมด ดังนั้นคงได้แต่ขอให้เจ้ากรมสิงเมตตา ส่งหลักฐานทั้งหมดมาให้ข้าตรวจสอบ”

“หากข้าไม่ทำเล่า ?” สิงซาเป่ยตอบ

“หากไม่มอบคนให้ เช่นนั้นก็ไม่ต้อง” น่าแปลกที่ซูเฉินกลับละทิ้งท่าทางบีบคั้นลงในพลัน “เฉาเจิ้งจวิน ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ? ข้า ผู้จัดการความรู้แห่งกรมพลังต้นกำเนิด ขอเป็นผู้สอบสวนเรื่องต้วนเฟิงสมคบคิดกับโจรสลัดและเข้าโจมตีเรือ แต่เจ้ากรมสิงไม่ยอมให้ความร่วมมือ คราวนี้บันทึกลงไปในคดีได้เลยว่าข้ามีอำนาจตั้งข้อสงสัยว่าเจ้ากรมสิงตั้งข้อหาเท็จกับคนซื่อสัตย์ภักดี !”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

สิงซาเป่ยคำราม “หากคิดจะรายงานเบื้องบนก็ทำไป แต่เกรงว่าแม้พวกเจ้าจะตะโกนจนฟ้าถล่มก็คงไปไม่ถึงเบื้องบนหรอก !”

หากกล้าทำถึงเพียงนี้ แสดงว่าต้องมีคนสนับสนุน

“หากเป็นข้าเล่า ?”

ตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

สิงซาเป่ยเงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามา

เขาอยู่ในชุดคลุมสีฟ้าปักดิ้นทองลายมังกรเก้าตัว เข็มขัดงูหลามหยกห้อยอยู่ที่เอว บนศีรษะมีหมวกทรงสูง เครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 9 ดาบเนตรวายุถูกเก็บไว้ในฝัก ห้อยไว้ข้างเอว

กองกำลังปฏิบัติการลับเป็นทหารองค์รักษ์ฮ่องเต้ พวกเขาทำตามคำสั่งขององค์ฮ่องเต้โดนตรง มีคนหนึ่งมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร ?

สิงซาเป่ยตกตะลึง

กองกำลังปฏิบัติการลับไม่ได้เป็นเพียงขุนนางธรรมดา แต่สามารถรายงานเรื่องต่าง ๆ ถึงราชวงศ์ได้โดยตรง

หากกองกำลังปฏิบัติการลับนำเรื่องนี้ไปรายงาน สิงซาเป่ยคงมีจุดจบไม่งามแน่

เขาผุดลุกขึ้นยืนทันที “ใต้เท้าคือใครกัน ? ข้ารู้จักกับใต้เท้าหลี่กับใต้เท้าไป๋ดี”

“ข้ามีนามว่าอวิ๋นเป้า เจ้าไม่ต้องเอ่ยนามสองคนนั้นหรอก ข้าไม่รู้จักเขา และไม่คิดจะทำความรู้จักในเร็ว ๆ นี้”

อวิ๋นเป้ายังคงมีนิสัยการพูดเช่นเมื่อก่อน ไม่ไว้หน้าใคร เขายืนอยู่ข้างซูเฉิน สายตาจ้องตรงไปยังสิงซาเป่ย

สิงซาเป่ยมองซูเฉินทีมองอวิ๋นเป้าที เหมือนจะเข้าใจบางอย่าง

“ใต้เท้าอวิ๋นคงจะเพิ่งเข้ากองกำลังปฏิบัติการลับกระมัง ?”

“แล้วทำไม ?”

“ใต้เท้าอวิ๋นดูยังหนุ่มยังแน่น หรือจะเพิ่งจบมาจากสถาบันไหน ?”

“สถาบันมังกรซ่อนเร้น” อวิ๋นเป้าตอบตามตรง

“เป็นเช่นนี้เอง” สิงซาเป่ยพลันเข้าใจ “แม้กองกำลังปฏิบัติการลับจะสามารถลงมือตามดุลพินิจได้ แต่ก็มีหน้าที่ปกป้องแคว้นและสังหารพวกกบฏ เรื่องของกรมพลังต้นกำเนิดไม่ได้อยู่ในอำนาจท่านกระมัง ?”

“ก็อาจไม่ใช่ กองกำลังปฏิบัติการลับสามารถตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐว่าทำตามกฎระเบียบดีหรือไม่ได้เช่นกัน หากมีคนไม่ทำงานของทางการ กลับไปทำให้คนอื่น ตั้งศาลขึ้นมาลงโทษเพื่อนร่วมงานด้วยกันเอง เช่นนั้นกองกำลังปฏิบัติการลับก็มีอำนาจมาคอยดูแลควบคุม”

ต้องกล่าวเลยว่าหลังจากได้เข้ามาอยู่ในกองกำลังปฏิบัติการลับระยะหนึ่งแล้ว คำพูดคำจาของอวิ๋นเป้าก็ดีขึ้นมาก อย่างน้อยตอนนี้ก็ฟังดูเหมือนขุนนางคนหนึ่งแล้ว

หากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะกล่าวประมาณ “ข้าอยากทำข้าก็จะทำ”

แท้จริงแล้วการที่กองกำลังปฏิบัติการลับมีหน้าที่ตรวจสอบดูแลการทำงานของเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ให้เป็นไปตามกฎนั้นค่อนข้างจะไม่ชัดเจนอยู่บ้าง ด้านหนึ่งรัฐก็ไม่ได้มอบอำนาจให้กองกำลังปฏิบัติการลับสามารถตรวจตรากรมอื่น ๆ ได้โดยตรง แต่ด้านหนึ่งก็มอบหมายงานเช่นนี้ให้ทำ ดังนั้นจึงไม่อาจพูดได้ชัดเจนว่าได้หรือไม่ได้

อำนาจแท้จริงของกองกำลังปฏิบัติการลับนั้นเกี่ยวพันกับการลอบสังหารและรายงานเรื่องต่าง ๆ ให้ราชวงศ์ ส่วนเรื่องตรวจสอบขุนนางคนอื่น ๆ เป็นเพียงในนามเท่านั้น แน่นอนว่าหากได้รับหลักฐานใดแล้วนำไปแจ้งเบื้องบน คนก็ต้องถูกลงโทษไปตามกฎ แต่หากไร้หลักฐานก็เท่านั้น

แต่อวิ๋นเป้าก็ยังใช้เรื่องนี้อ้างได้ เขาไม่ได้ร้องขอให้มีการสอบปากคำ แต่หากสิงซาเป่ยไม่ทำการขั้นตอน ไม่ส่งมอบหลักฐาน เขาก็สามารถนำเรื่องไปแจ้งได้จริง

สิงซาเป่ยเพิ่งได้รับตำแหน่ง ไม่อยากถูกกล่าวหาทันทีที่เพิ่งเริ่ม ดังนั้นจึงได้แต่เอ่ยเสียงขุ่น “เฉาเจิ้งจวิน ไปนำหลักฐานมาให้ผู้จัดการความรู้ซู”

ไม่นาน เอกสารทั้งหลายก็ถูกส่งให้ชายหนุ่ม

ซูเฉินพลิกมันไปมาอย่างระวัง อ่านเรื่องที่ต้วนเฟิงและพวกอีกสามคนทำการติดต่อกับพวกโจรสลัด จากนั้นทำการซุ่มโจมตีกองเรือที่นอกแม่น้ำ ทั้งคำให้การจากพยานและหลักฐานมีครบถ้วน

เอกสารอ่านแล้วน่าประทับใจมาก

แม้จะรู้ว่าเป็นของปลอม หากเอาแต่อ่านเอกสารและดูหลักฐานที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ก็อาจเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงได้

แต่ไม่ว่าจะทำมาได้สมจริงเพียงไร มันก็ยังเป็นของปลอม ไม่อาจปกปิดความเป็นจริงได้

เมื่อตรวจดูโดยละเอียด ซูเฉินก็เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “น่าสนใจนี่ใต้เท้าสิง มันบอกว่าต้วนเฟิง และคนอื่น ๆ ขายข้อมูลเรื่องวันออกเรือให้พวกโจรสลัด ส่งผลให้เรือถูกพวกโจรโจมตี ถูกต้องหรือไม่ ?”

“แล้วอย่างไร ?”

“ก็ไม่อย่างไร ข้าเพียงอยากรู้ว่าพวกเขาไปรู้เวลาและเส้นทางการออกเรือมาได้อย่างไรกัน ? กรมพลังต้นกำเนิดไม่ได้มีธุระจัดการเรื่องเงินนี่”

“พวกเขาซื้อตัวคนตระกูลเหอมาคนหนึ่งเพื่อเอาข้อมูล เรื่องนี้พวกเรามีพยาน เฉาเจิ้งจวินไปเอาตัว……”

“ไม่ต้องพาคนมาหรอก ข้าไม่สนใจเรื่องพยานบุคคล เพียงแต่ข้าว่าน่าสนใจนักที่คนตระกูลเหอไม่ขายข้อมูลให้กับพวกโจรโดยตรง แต่ขายให้กับพวกเขาแทน ใช้วิธีอ้อมโลก ปล่อยให้ผู้อื่นมาแย่งผลประโยชน์เอางั้นหรือ ?”

“อาจเพราะมันขี้ขลาด ไม่กล้าติดต่อกับพวกโจรสลัดโดยตรงกระมัง”

“เช่นนั้นข้ามีอีกคำถาม ตรงนี้ มันบอกว่ากองเรือถูกส่งไปซื้อวัตถุดิบยาที่ป่าแม่น้ำตะวันตกและถูกปล้นกลางทาง ข้าอยากถามให้มั่นใจว่าพวกเขาถูกปล้นระหว่างทางขาไปหรือขากลับ”

“ต่างด้วยหรือ ?”

“ท่านตอบมาเถอะ”

“เรื่องนี้……” สิงซาเป่ยลังเลก่อนตอบ “น่าจะเป็นตอนเดินทางไป ใช่ เป็นตอนขาไป”

ซูเฉินหัวเราะ “เช่นนั้นก็น่าสนใจมาก ทรัพยากรจากป่าแม่น้ำตะวันตกนั้น ไม่ว่าใครก็รู้ชื่อเสียง ของ 1 ตำลึงทองที่นั่นเอาไปขายที่อื่นได้ 1 ร้อยตำลึงทอง แต่ตลาดนี้ถูกตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายคุมจนไม่อาจกระดิกตัว ไม่มีใครมีอำนาจก้าวก่าย ตอนนี้มีคนคิดชิงสินค้าของตระกูลสายเลือดชั้นสูง แต่กลับโจมตีตอนที่ขบวนเรือยังเพิ่งเดินทางไป แทนที่จะรอเอาตอนขากลับเพื่อชิงเอาวัตถุดิบยา…… หากเป็นเช่นนั้นจะปล้นเรือไปเพื่ออะไรกัน ? หากอยากได้ทอง ไปปล้นร้านสักร้านไม่ดีกว่าหรือ ?”

“ข้าจำผิดเอง เป็นระหว่างทางกลับต่างหาก ถูกปล้นตอนขากลับ !” สิงซาเป่ยรีบแก้

“แน่ใจแล้วกระมัง !”

“แน่ใจแล้ว !”

ซูเฉินสีหน้าทะมึน “หากเป็นตอนกลับ เช่นนั้นก็เรื่องใหญ่กว่าเก่า เท่าที่ข้ารู้ ชาวบ้านในป่าแม่น้ำตะวันตกทะเลาะอยู่กับตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งสิบเรื่องราคาสินค้า ไม่น่าจะขายสินค้าให้พวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว หากเป็นเช่นนั้นพวกโจรสลัดจะขโมยวัตถุดิบยาอะไรไปได้กัน ?”

“ว่าอะไรนะ ?” สิงซาเป่ยตกตะลึง

ซูเฉินรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ?

ชายหนุ่มยืนขึ้นก่อนกล่าวต่อ “คดีปล้นเรือที่ธารน้ำใสมีจุดน่าสงสัยมากเกินไป ข้ายังไม่จำเป็นต้องสอบปากคำคนลงมือก็รู้แล้วว่ามันแปลก หากข้าทำการสืบสวนต่อไปอาจเจอตอใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ท่านจะทำมองเมินจุดขัดแย้งเหล่านี้ไป ขังคนต่อไปก็ย่อมได้ แล้วเราจะได้รายงานเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นพวกเราก็มาถอยกันคนละก้าว”

“ถอยกันคนละก้าว ?” สิงซาเป่ยส่องประกายเย็นยะเยียบ

“ถูก ถอยกันคนละก้าว” ซูเฉินตอบ “ท่านคงไม่ได้เข้าใจข้าไปเสียทั้งหมดสินะใต้เท้าสิง ส่วนมากข้ามักลงมือไร้เมตตา ไม่สำเร็จไม่หยุด ไม่ตายไม่หยุด วันนี้ข้าถอยกันคนละก้าวนับว่าแปลกนัก ถือเสียว่าเป็นของขวัญสำหรับตำแหน่งใหม่ของใต้เท้าสิงก็แล้วกัน ท่านโปรดดูแลของขวัญนี้ให้ดี !”

แม้จะกล่าวคำเสียงเรียบเรื่อย แต่น้ำหนักเบื้องหลังคำทำให้คนไม่กล้ากล่าวปฏิเสธ