ตอนที่ 118 : มิติเทือกเขาหินโม่
“อสูรของฉันก็เหมือนกิเลนไฟของนาย มันอยู่ระดับสวรรค์และเลเวล 50 สูงกว่าของนาย 3 เลเวล” หวังเย่าพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาไร้แววหยิ่งผยอง
หลงปู้หยู๋ไม่ได้แปลกใจ เขารู้สึกได้ว่าการ์ฟิลด์นั้นมีคลื่นพลังที่โดดเด่น แม้ว่าจะอยู่ห่างออกมาแต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าพลังของเขาถูกกดเอาไว้
เขาเชื่อคำพูดของหวังเย่า เพราะกิเลนไฟกลายพันธุ์นั้นเป็นอสูรที่มีพลังจิต อีกฝ่ายได้สื่อสารกับเขา ทำให้เขามั่นใจในคำพูดนั้น
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” หลงปู้หยู๋คงสงสัยแต่ไม่ได้แสดงมันออกมา “ฉันเห็นข้อมูลของนายในเว็บมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่คิดเลยว่าตัวจริงจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ น่าชื่นชมจริง ๆ ”
แม้ว่าหลงปู้หยู๋จะไปมหาวิทยาลัยบ้างเป็นครั้งคราว แต่เขาก็เป็นคนฉลาด เขาสามารถเรียนรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตได้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องไปที่มหาวิทยาลัยบ่อยนัก
สำหรับเรื่องที่หวังเย่าและจ้าวเมิ่งซีเป็นแฟนกันนั้น เขาก็เคยได้ยินมา ในสายตาของเขา หวังเย่าเป็นแค่เด็กใหม่ที่โดดเด่นก็เท่านั้น
แต่ตอนนี้หวังเย่าในมุมมองเขาได้พัฒนาขึ้นมาอย่างมาก ยังไงซะความแข็งแกร่งก็คือทุกอย่าง เมื่อมีความแข็งแกร่งแล้ว คนอื่น ๆ ก็จะยอมรับเราเอง
ใจจริงเขาอยากจะถามหวังเย่าว่าพัฒนาการ์ฟิลด์มาถึงระดับนี้ได้ยังไง เพราะเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีแมวระดับสวรรค์อยู่ด้วย
ถ้าเขารู้ว่าแมวนี่จริง ๆ แล้วคือแมวบ้านทั่วไป งั้นเขาคงสงสัยยิ่งกว่าเดิมเป็นสิบเท่า
หวังเย่ามองไปที่กิเลนไฟกลายพันธุ์ เขารู้ว่าหลงปู้หยู๋มีความลับอื่นอยู่ แต่เขาก็ไม่คิดจะถามมันออกมา
ยังไงซะก็ไม่มีใครบอกความลับกับคนแปลกหน้าหรอก
เหมือนกับหวังเย่าที่ไม่มีทางเปิดเผยตัวตนของระบบ ต่อให้เป็นจ้าวเมิ่งซีรึฟ่านฉิงเหมยก็ตาม นี่ไม่ต้องนับคนอื่นเลย
“ฉันก็ยังแย่กว่านายอยู่” หวังเย่ายิ้มออกมา “นายบอกฉันได้มั้ยว่านายได้กิเลนไฟกลายพันธุ์มาได้ยังไง ? ”
สุดท้ายหวังเย่าก็ทนความสงสัยไม่ได้ จึงได้ถามขึ้นมา
“อืม…โทษทีเรื่องนี้คงบอกไม่ได้” สีหน้าของหลงปู้หยู๋หม่นลง
หวังเย่าเห็นแบบนั้นในใจก็อดคาดเดาไม่ได้ ดูเหมือนว่าหลงปู้หยู๋อาจจะได้กิเลนไฟกลายพันธุ์มาโดยบังเอิญ หรือไม่ก็มิตินอกที่กิเลนไฟกลายพันธุ์อยู่นั้น อาจจะมีความลับที่หลงปู้หยู๋ไม่อยากพูดถึงก็ได้
“มันเป็นมิติแบบไหนกัน ? ” หวังเย่าไม่คิดว่ามันจะเป็นมิติลับที่โด่งดัง ไม่งั้นแล้ว หลงปู้หยู๋คงไม่ใช่คนเดียวที่ได้กิเลนไฟนี่มา
นอกจากนี้แล้วกิเลนไฟกลายพันธุ์นี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด มันหมายความว่าต้องมีกิเลนไฟสายเลือดบริสุทธิ์อยู่ในมิตินั้นไม่ใช่รึไง ? อย่างน้อยมันก็น่าจะเป็นมิติที่ใหญ่ไม่น้อย
“งั้นหลงปู้หยู๋คงได้มันมาจากมิติที่ใหญ่” หวังเย่าแปลกใจ มิติลับที่ใหญ่นั้นแน่นอนว่ามันต้องพิเศษ มันคงถูกซ่อนไว้อย่างดีเหมือนกับทางเข้าของมิติที่เขาได้อสูรกลืนแสงมา
นอกจากนี้แล้วมันอาจจะมีสมบัติอยู่ในมิตินั้นด้วย ไม่แน่ว่ากิเลนไฟกลายพันธุ์อาจจะเป็นหนึ่งในสมบัติพวกนั้นด้วยเช่นกัน
เมื่อคิดแบบนั้นหวังเย่าก็สงสัยมากขึ้นไปอีก แต่เขาก็ไม่ได้แสดงมันออกมา เขายังพูดด้วยท่าทีเฉยเมย “หลงปู้หยู๋ นายจะสำรวจมิติที่นี่ไม่ใช่หรือ ? ทำไมนายถึงไม่เข้าไปล่ะ ? ”
“นายรู้ได้ยังไง ? ” สีหน้าของหลงปู้หยู๋หม่นหมองลงไปอีก เมื่อสิ่งที่เขาจะทำดันถูกเปิดเผย
หวังเย่าพูดขึ้น “นายไม่ต้องคิดมาก ฉันแค่ถามฝ่ายลงทะเบียน นายคงเข้าใจสินะ ฉันเองก็จะมาสำรวจที่นี่เหมือนกัน เราถือว่าเป็นคู่แข่งกัน”
หลงปู้หยู๋เหมือนจะรับไม่ได้ที่เด็กปี 1 มาสำรวจมิติ 3 ดาวเพียงลำพัง
“ดูเหมือนว่าฉันจะดูถูกนายเกินไปหน่อย” หลงปู้หยู๋พูดขึ้น
“ทำไมนายไม่เข้าไปล่ะ ? ” หวังเย่าถามคำถามเดิมขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันเพิ่งจะมาถึง” หลงปู้หยู๋ตอบกลับ
หวังเย่าพยักหน้า “งั้นฉันขอล่วงหน้าไปก่อนก็แล้วกัน”
ทางเข้าของมิติลับนี้สูงขึ้นไป 100 เมตร หวังเย่าได้ขี่การ์ฟิลด์บินไปยังทางเข้าทันที
เมื่อเขาหันกลับไปมองรอบ ๆ ก็พบว่าเย่ฉิวเกาเพิ่งจะมาถึง สำหรับฮวงจินเทียนแล้ว เขาไม่รู้ว่าฮวงจินเทียนอยู่ที่ไหน
เขาเก็บการ์ฟิลด์ ก่อนจะเดินทางผ่านหลุมดำเข้าไป จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอันคุ้นเคยที่สูบเขาเข้าไป
ผ่านไป 40 วินาทีความรู้สึกนี้ก็หายไป หวังเย่าพบว่าเขาได้เข้ามายังมิติลับแล้ว
เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่คล้ายกับป่าอเมซอน มันยาวหลายร้อยไมล์
ต้นไม้ที่นี่ทั้งใหญ่และสูงหลายร้อยเมตร ลำต้นหนาและเต็มไปด้วยใบไม้
แต่หวังเย่าก็ไม่กล้าจะประมาท อุณหภูมิของที่นี่นั้นสูง สภาพแวดล้อมนั้นซับซ้อน มันเป็นที่เหมาะสมที่พวกงูพิษจะอาศัยอยู่
ดังนั้นสัตว์อสูรของที่นี่จึงมีสกิลพิเศษติดตัว
รอบป่านี้มีแม่น้ำอยู่แต่ไม่ได้ใหญ่นัก มันเป็นเหมือนกับวงแหวน
แม่น้ำที่นี่ไม่ได้ลึกหรือตื้นเกินไป มันลึกหลายสิบเมตรและมีอสูรน้ำอาศัยอยู่
ตำแหน่งที่หวังเย่าอยู่ในตอนนี้คือริมป่า ดังนั้นด้านหลังของเขาจึงมีแต่แม่น้ำ และตรงหน้าเขาก็เป็นป่าที่ยาวไปหลายร้อยไมล์
เป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือวาดแผนที่มิติลับนี้ รวมถึงหาสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่นี่และค้นหาสมบัติที่มีค่า
สรุปเลยก็คืองานนี้เขาต้องทำการสำรวจ วาดแผนที่รวมถึงรวบรวมสมบัติ
หวังเย่าสวมชุดระดับ B ที่พอป้องกันตัวจากอันตรายได้ มือข้างหนึ่งถือมีด อีกข้างถือโล่ ที่เอวของเขามีมีดสั้นอีก 4 เล่มเหน็บเอาไว้
มีดพวกนี้ทำมาจากเหล็กทองทมิฬ หวังเย่าตั้งชื่อมันว่ามีดทมิฬ ส่วนโล่นั้นเขาเรียกมันว่าโล่ทมิฬ กระบองที่หนักกว่า 4000 กิโลกรัมนั้นเขาเรียกมันว่ากระบองทมิฬ
เขาเรียกการ์ฟิลด์และตือโป๊ยก่ายออกมา ตือโป๊ยก่ายรับหน้าที่ตรวจสอบอันตรายด้านหน้า ส่วนการ์ฟิลด์ใช้อาณาเขตของราชาเพื่อแผ่คลื่นพลังออกไป ซึ่งทำให้การเดินทางของหวังเย่านั้นราบรื่นขึ้น
“ไปกันเถอะ”
หวังเย่าเริ่มเดินเข้าไปในป่า เขายังคงระวังตัวอยู่ตลอดเพราะป่าแห่งนี้มีแต่ต้นไม้หนา ถ้าทำอะไรลงไปก็อาจจะส่งผลกระทบถึงสิ่งรอบตัวได้
โชคดีที่สัตว์อสูรที่นี่ส่วนมากกลัวคลื่นพลังของการ์ฟิลด์ ไม่งั้นแล้วหวังเย่าคงโดนงูและแมลงแห่กันเข้ามาโจมตีอย่างแน่นอน
หลังจากเดินทางมาได้กว่า 30 นาที หวังเย่าก็ได้ฆ่าแมลงมีพิษที่ตัวใหญ่กว่าคนไปหลายตัวแล้ว มันซุ่มอยู่ในพุ่มไม้และคอยโจมตีเขา
หวังเย่าหันกลับไปมองด้านหลัง จากนั้นเขาก็พบว่ามีแมลงตัวใหญ่ดักข้างหน้าเขาไว้ ส่วนด้านหลังก็มีงูสีม่วงตัวยาวกว่า 100 เมตรดักรอเขาอยู่