วันนี้เจียงป่าวชิงตั้งใจจะไปซื้อของในอำเภอ นางจะได้ถือโอกาสไปดูร้านยาของเกิ่งจื่อเจียงด้วย นางยังคงไปรอรถล่อของซุนต้าหูที่ทางเข้าหมู่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ครั้งนี้นางกลับไม่เห็นป๋ายรุ่ยฮัวอุ้มเฟิ่งเอ๋อร์อยู่ที่ข้างกายซุนต้าหู
เจียงป่าวชิงจึงนึกสงสัยอยู่เล็กน้อย อันที่จริงนางนั้นไม่ชอบพูดเรื่องของคนอื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว นางจึงไม่ได้ถามอะไรมากมาย
แต่ต่อให้เจียงป่าวชิงไม่ถาม ก็มีคนทนไม่ไหวที่จะซุบซิบนินทาอยู่ตรงนั้น
การเดินทางที่ยาวนาน หญิงชราสองคนไม่มีอะไรทำจึงพากันพูดคุย พวกนางพูดเรื่อยเปื่อยเป็นเวลาสั้น ๆ และสุดท้าย หัวข้อสนทนาก็มาหยุดอยู่ที่ป๋ายรุ่ยฮัว
“แม่หม้ายของตระกูลป๋ายนั่นก็น่าสงสารจริง ๆ นะ” หญิงชราคนหนึ่งส่งเสียงจุ๊ปากเล็กน้อย “เป็นสะใภ้ให้คนขี้โรคคนนั้นตั้งแต่ยังเล็ก ต้องคอยปรนนิบัตินั่นนี่ กว่าจะปรนนิบัติจนคนขี้โรคนั้นจากไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่นางก็เป็นอิสระแล้ว คนในวงศ์ตระกูลป๋ายก็จะจับนางแต่งงานออกไปอีก…”
“ใช่ ได้ยินว่าคนที่หาให้นางนั้นยากจนกว่าคนในภูเขาแห้งแล้งอย่างเราเสียด้วยซ้ำ” หญิงชราอีกคนขยิบตาและพูดขึ้นพลางทำท่าทางลึกลับ “ยังไม่หมดแค่นั้นนะ ข้าได้ยินว่าพี่ชายและน้องชายที่นั่นมักจะแต่งงานกับเมียคนเดียวกันด้วย!”
“ไอ้โย! มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ ?”
“ใช่ ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวนั้นมีพี่น้องสามคน และยังไม่ได้แต่งเมียเลยสักคน” ท่าทางของหญิงชราคนนี้เหมือนคุ้นเคยเรื่องภายในเป็นอย่างดี นางจุ๊ปากเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าพวกเขาติดต่อกับตระกูลป๋ายได้อย่างไร คงเคยได้ยินว่าแม่หม้ายของตระกูลป๋ายสามารถคลอดลูกให้คนขี้โรคที่ใกล้จะตายได้ พวกเขาก็คงจะคิดว่านางคลอดลูกเก่งแน่ ๆ… ข้าดูแล้ว หากว่าแม่หม้ายตระกูลป๋ายแต่งเข้าไป นางจะต้องถูกล่วงเกินอย่างแน่นอน”
“ไอ้โย… ไอ้โย… ไอ้โย! หมู่บ้านเรานี่ดีที่สุดแล้วจริง ๆ…”
หญิงชราสองคนยักคิ้วหลิ่วตาและคุยกันกะหนุงกะหนิงเสียจนเจียงป่าวชิงฟังแล้วรู้สึกหนักใจเล็กน้อย
รถเคลื่อนมาได้ครึ่งทาง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนที่แหบแห้งดังมาจากทางด้านหลัง “รอก่อน! ต้าหู! รอก่อน!”
เจียงป่าวชิงหันกลับไปดูทันที และก็เห็นป๋ายรุ่ยฮัวเดินตามรถล่ออย่างโซซัดโซเซด้วยสภาพที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง รองเท้าของนางหลุดไปหนึ่งข้าง ถุงเท้าบนเท้าอีกข้างก็ฉีกขาดเรียบร้อยแล้วและเปื้อนเลือดนิดหน่อย ดูแล้วเหมือนนางกำลังตกที่นั่งลำบากเป็นอย่างมาก
หญิงชราสองคนที่เพิ่งพูดคุยกันหันไปมองทางด้านหลัง จากนั้นพวกนางก็พากันอุทานขึ้นมาทันที สีหน้าของพวกนางก็เหมือนคนที่กำลังจะได้ดูเรื่องสนุก จากนั้นพวกนางก็เรียกซุนต้าหู “ต้าหู จอดรถหน่อย ด้านหลังมีคนกำลังตามอยู่”
เดิมทีซุนต้าหูคิดว่าตัวเองหูฝาดไป ทว่าเมื่อเขาได้ยินหญิงชราทั้งสองพูดเช่นนี้ เขาก็รีบดึงบังเหียนเพื่อให้ล่อหยุดทันที
เมื่อป๋ายรุ่ยฮัวเห็นรถหยุดลง ประกายความหวังก็ปะทุขึ้นมาในดวงตาของนาง นางฝืนวิ่งไปข้างหน้าต่ออีกเล็กน้อย และตอนที่อยู่ห่างจากรถล่อไม่ไกล ในที่สุดนางก็ปล่อยแรงทั้งหมดที่มีและล้มลงไปบนพื้นดินอย่างคนหมดแรงทันที
ซุนต้าหูผูกบังเหียนกับต้นไม้ข้าง ๆ จากนั้นเขาก็รีบเดินไปข้างหน้าและพยุงป๋ายรุ่ยฮัวขึ้นมา “สะใภ้ตระกูลป๋ายเจ้าเป็นอะไร ?!”
ป๋ายรุ่ยฮัววิ่งจนหายใจไม่ทัน แก้มนางแดงและในดวงตาก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
ซุนต้าหูรีบส่งถุงน้ำที่เขาพกติดตัวให้นางทันที ที่นี่ถือว่าอยู่ไม่ไกลจากชีหลี่โว แต่ก็ไม่ใกล้นัก ประกอบกับเส้นทางบนภูเขาที่คดเคี้ยว ดูจากท่าทางของป๋ายรุ่ยฮัวแล้ว นางคงจะตามมาจากชีหลี่โวจนถึงที่นี่อย่างแน่นอน
ป๋ายรุ่ยฮัวรับถุงน้ำไป นางเงยหน้าแล้วเทน้ำเข้าปาก น้ำไหลลงมาจากมุมปากของนาง ผ่านลำคอของนางและไหลลงไปยั่งเสื้อที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อจนสามารถมองเห็นรอยแดงได้จาง ๆ
แววตาของเจียงป่าวชิงแข็งขึ้นเล็กน้อยขณะมองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้
ดูเหมือนป๋ายรุ่ยฮัวจะสังเกตได้ถึงแววตาของเจียงป่าวชิง สีหน้าของนางจึงตึงขึ้นทันที นางใช้มือข้างหนึ่งถือถุงน้ำ มืออีกข้างก็จับคอเสื้อไว้ และเส้นเอ็นบนฝ่ามือของนางก็นูนออกมาด้วยเช่นกัน
ซุนต้าหูไม่สังเกตเห็นถึงสิ่งเหล่านี้ เขาทำเพียงถามป๋ายรุ่ยฮัวอย่างแปลกใจ “สะใภ้ตระกูลป๋าย เจ้าเป็นอะไรหรือ ? เจ้าก็จะไปที่ในอำเภอเหมือนกันรึ ?”
ซุนต้าหูคิดว่าป๋ายรุ่ยฮัวจำเวลาผิดจึงตามมาทีหลัง แต่เจียงป่าวชิงกลับไม่คิดแบบนี้ ทว่านางไม่อยากยุ่งเรื่องของป๋ายรุ่ยฮัวอีกต่อไปแล้ว
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงมองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
น้ำตาไหลลงมาจากเบ้าตาของป๋ายรุ่ยฮัว นางคลายคอเสื้อแล้วจับแขนของซุนต้าหูเอาไว้แน่น จากนั้นนางก็พูดด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ต้าหู ช่วยข้า… ขอร้องล่ะช่วยข้าด้วย”
ซุนต้าหูเป็นคนซื่อ ๆ และใจร้อน ทันทีที่เขาเห็นป๋ายรุ่ยฮัวร้องไห้เช่นนี้ คนที่ทนเห็นน้ำตาของผู้หญิงไม่ได้แบบเขาก็รู้สึกกระวนกระวายจึงรีบพูดขึ้น “เจ้าเป็นอะไร ? มีเรื่องอะไรเจ้าก็พูดสิ หากข้าสามารถช่วยได้ ข้าไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
หญิงชราสองคนที่พูดคุยกันบนรถเมื่อสักครู่ตาเป็นประกายทันที ตอนนี้ท่าทางของพวกนางมีความตื่นเต้นที่ได้ยินได้เห็นเรื่องของชาวบ้านกับตา
อย่างไรก็ตาม ชายชราที่จะรีบไปขายผักในอำเภอเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาจึงเคาะรถ “ยังจะไปอยู่ไหม ? ถ้าไม่ไปแล้วทำให้การขายผักข้าล่าช้า ใครจะมาชดใช้ให้ข้า ?”
คนข้าง ๆ พูดเตือนขึ้น “ใจเย็นเถอะลุง ไม่แน่สะใภ้ตระกูลป๋ายอาจจะมีเรื่องด่วนอะไรก็ได้”
ป๋ายรุ่ยฮัวหน้าบางมาโดยตลอด แต่ตอนนี้นางกลับไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ตาของนางทั้งบวมทั้งแดง สีหน้าก็ขาวซีด ริมฝีปากก็ถูกกัดจนไร้สีเลือดเช่นกัน ท่าทางของนางดูเหมือนคนขี้ขลาดที่อ่อนแอ จากนั้นนางก็พูดด้วยเสียงสะอื้น “ต้าหู ข้าไม่มีวิธีอื่นแล้ว… ขอร้องล่ะ เจ้ามาสู่ขอข้าเถอะนะ”
คำพูดนี้น่าตกใจมาก มันทำให้ผู้คนแต่ละคนมีปฏิกิริยาที่ต่างกันออกไป
หญิงชราที่เดิมทีนินทาสองคนนั้นสบตากันเล็กน้อย แสงสีเขียวในดวงตาของพวกนางเหมือนหม่าป่าที่หิวโหยมาตลอดฤดูหนาวอย่างไรอย่างนั้น พวกนางไม่คิดว่าแม่หม้ายของตระกูลป๋ายจะลงมือขอผู้ชายแต่งงานเอง เมื่อนางลงมือก็ทำให้ผู้คนตกใจถึงเพียงนี้ เห็นทีว่าจะมีเรื่องคุยในช่วงเวลาพักผ่อนกันยาว ๆ แล้ว
ซุนต้าหูตกใจก่อนเป็นอันดับแรก แต่จากนั้นเขาก็มองเจียงป่าวชิงอย่างลุกลี้ลุกลน และพูดกับป๋ายรุ่ยฮัวแบบติดอ่าง “สะ… สะใภ้ตระกูลป๋าย นี่เจ้า… เจ้าพูดอะไรน่ะ…”
ป๋ายรุ่ยฮัวจับแขนซุนต้าหูไว้แน่น จากนั้นนางก็ใช้จังหวะนี้คุกเข่าและร้องไห้ใบหน้าเปียกน้ำตาราวกับดอกสาลี่ที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน “ต้าหู ข้าไม่มีวิธีอื่นแล้ว ฮือ ๆ ๆ…”
ซุนต้าหูทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรดี เขาลองดึงแขนออกมาจากในมือของป๋ายรุ่ยฮัว แต่ป๋ายรุ่ยฮัวกลับจับแขนเขาไว้แน่น นางระเบิดแรงที่มองไม่เห็นออกมาราวกับกำลังจับฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถช่วยชีวิตได้เพียงคนเดียวในชีวิตที่มืดมนของนางอย่างไรอย่างนั้น
ซุนต้าหูดึงแขนออกมาไม่ได้ และเขาไม่กล้าออกแรงสู้กับป๋ายรุ่ยฮัว จึงต้องยืนกระวนกระวายอยู่กับที่ นี่มันเป็นสถานการณ์ที่เก้อเขินมาก
“สะใภ้ตระกูลป๋าย เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย”
ทว่าป๋ายรุ่ยฮัวกลับทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองไปจนหมดสิ้น นางคุกเข่าลงบนพื้นและร้องไห้เหมือนนกแขกเต้าร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด “ต้าหู พวกเขาจะขายข้าไปที่ภูเขาแห้งแล้งเพื่อไปเป็นเมียของผู้ชายหลายคน หากข้าไปที่นั่นก็คงเหมือนตายทั้งเป็น อีกอย่าง ข้ายังต้องแยกกับเฟิ่งเอ๋อร์ด้วย แบบนี้สู้ฆ่าข้าให้ตายไปเลยดีกว่า ข้าไม่อยากแยกกับเฟิ่งเอ๋อร์เลย ต้าหู… ข้าขอร้องเจ้าล่ะ ช่วยเราสองแม่ลูกด้วยเถอะนะ เพียงแค่เจ้าแต่งงานกับข้า ข้าก็จะไม่ถูกขายและไม่ต้องแยกกับเฟิ่งเอ๋อร์… ข้าขอร้องเจ้าล่ะ”
ซุนต้าหูได้ฟังก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนัก ๆ หล่นใส่ศีรษะทันที ป๋ายรุ่ยฮัวร้องไห้อย่างโศกเศร้า ขณะที่เขาเองก็ร้อนใจ เวลานี้ในหัวของเขากำลังสับสนมึนงงและคิดหาวิธีที่ดีไม่ออกเลย สุดท้าย เขาเลือกที่จะถามขึ้น “พวกเขาเป็นใครรึ ?”
ป๋ายรุ่ยฮัวกัดริมฝีปากล่าง แววความแค้นปรากฏขึ้นในดวงตานาง จากนั้นนางก็พูดออกมาทีละคำ
“พวกญาติของผัวข้าเอง”
“ก่อนผัวข้าตาย พวกเขาเหมือนจะไม่อยู่แล้ว แต่พอผัวฉันเพิ่งตายได้ไม่นาน พวกเขากลับกระโดดออกมาและอยากที่จะแย่งชิงทรัพย์สินที่น่าสงสารเหล่านั้นกับเด็กกำพร้าอย่างเรา”
“กว่าจะรักษาทรัพย์สินอันน้อยนิดนั้นไว้ได้ไม่ง่ายเลยจริง ๆ แต่มาตอนนี้ พวกเขากลับจะขายข้าไปที่ภูเขาแห้งแล้งนั้น”
“เฮ้อ! เหตุใดในสภาพสังคมนี้ มันถึงยากสำหรับผู้หญิงที่ไม่มีที่พึ่งคนหนึ่งที่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขด้วยนะ…?”
ป๋ายรุ่ยฮัวตัดพ้อ