บทที่ 123: คำสั่งของคาร์เตอร์

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 123: คำสั่งของคาร์เตอร์

บนทางลาดข้างถนนสายหลัก เดิร์กและทหารองครักษ์คนอื่น ๆ กำลังยุ่งอยู่กับการตั้งเต็นท์ หลังจากที่ถูกฝูงแกะทองคำทำให้ต้องออกจากเส้นทางก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาเดินทางล่าช้าไปมากในการกลับบ้าน และคงจะต้องเดินทางข้ามคืนเพื่อไปถึงเมืองที่ใกล้ที่สุด

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งก็คือความปลอดภัยของโรเอลและอลิเซีย ดังนั้นผู้บัญชาการองครักษ์ทั้งสองจึงมีความเห็นตรงกันว่ามันเสี่ยงเกินไปที่จะเดินทางต่อในช่วงกลางคืน

การถูกซุ่มโจมตีในตอนกลางคืนนั้นไม่ใช่เรื่องตลก ภัยคุกคามที่ซุ่มซ่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารช่วงกลางคืนน่ากลัวกว่าช่วงกลางวันมาก บุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนในประวัติศาสตร์ต่างก็ได้เสียชีวิตลงด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเดิร์กจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของผู้ใต้บังคับบัญชาและทหารราชองครักษ์ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ฉลาดเท่าไหร่หากจะเสี่ยงโดยไม่จำเป็น

นอกจากนี้… ถ้าเดิร์กสั่งให้คนอื่น ๆ เดินทางต่อไปภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ เขาคงจะสร้างความเดือดดาลให้กับทุกคนในขบวนรถม้าได้ไม่น้อย

“เราจะได้เนื้อแกะเท่าไหร่กัน? คือพวกเราก็มีกันค่อนข้างเยอะ และเนื้อของแกะทองคำเองก็มีค่ามาก พวกเราคงไม่สามารถแบ่งกันให้ลงตัวได้ที่นี่ใช่ไหม?”

“เรื่องนั้น พ่อครัวตัดสินใจที่จะฆ่าแกะทองคำสักสามตัว แต่นายน้อยบอกว่ารางวัลแค่นั้นมันยังไม่เพียงพอสำหรับเหล่าทหาร เขาจึงบอกให้เพิ่มอีกสองตัว”

“เจ้าพูดจริงงั้นเหรอ?”

“ขอให้เทพีเซียอวยพรแก่นายน้อยโรเอล!”

เหล่าทหารต่างพูดคุยกันอย่างออกรส ขณะช่วยกันตั้งเต็นท์อย่างชำนาญ บรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตนเสร็จแล้วต่างก็มารวมตัวกันรอบ ๆ กองไฟด้วยรอยยิ้มอันตื่นเต้น รอคอยเนื้อแกะทองคำอันยอดเยี่ยมที่กำลังจะได้กินอย่างเอร็ดอร่อยในเร็ว ๆ นี้

บรรยากาศอันสนุกสนานที่ล่องลอยไปทั่วทั้งค่าย

ระหว่างนั้นที่ด้านข้าง ฝั่งเหล่าพ่อครัวก็กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมแกะทองคำที่ถูกเชือด พวกเขาเอาขนแต่ละเส้นออกจากผิวหนังอย่างระมัดระวัง ก่อนเก็บขนอันล้ำค่าทั้งหมดไว้ในกระสอบ ล้างทำความสะอาดเนื้อ เตรียมสำหรับใช้ในคืนนี้

“พี่ใหญ่โรเอล ขนของแกะทองคำเหล่านี้มีค่ามหาศาล พวกเราควรเก็บพวกมันบางส่วนเอามาเลี้ยงไว้ดีไหมคะ?”

“เราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก พี่เคยถามเกี่ยวกับมันมาแล้ว เมื่อแกะทองคำสูญเสียขนของมันไป มันจะอยู่ในสถานะ ‘ตื่นตัวต่ออันตราย’ ซึ่งเร่งอัตราการกลายพันธุ์ของมัน ทำให้ขนของมันจะไม่งอกขึ้นมาใหม่ ก้าวร้าวและอันตรายกว่าเดิมมาก ที่แย่ไปกว่านั้น เนื้อของมันก็จะเปลี่ยนไปเป็นเนื้อแข็ง ๆ อีกด้วย”

“อา แสดงว่าเราสามารถโกนขนแกะทองคำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นสินะคะ มิน่าทำไมขนของพวกมันถึงได้มีราคาแพงมากขนาดนั้น”

“ใช่ การกำจัดแกะทองคำฝูงนี้ ถือว่าพวกเราได้ขจัดภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นกับภูมิภาคนี้ไปแล้ว เพราะแกะทองคำพวกนี้จะรับมือยากมากหากพวกมันโตขึ้น”

โรเอลมองไปทางเหล่าพ่อครัวที่กำลังขมักเขม้นอยู่กับงานของพวกเขาอย่างพอใจ นอกจากผลกำไรมหาศาลแล้ว นี่ยังทำให้เขาได้รับชื่อเสียงที่ดีมาไม่น้อยด้วย

ขณะเดียวกัน อลิเซียก็พยักหน้าแล้วก้มลงอย่างครุ่นคิด

โรเอล และทหารองครักษ์คนอื่น ๆ ไล่ตามฝูงแกะทองคำออกไปไกลมาก ดังนั้นอลิเซียจึงไม่ได้รับรู้ถึงพลังของกรันด้า อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใด ๆ

สายตาที่จ้องมองมาที่โรเอลด้วยความเคารพของเหล่าทหาร ทัศนคติที่เป็นมิตรของเดิร์ก หรือการยอมจำนนอันละเอียดอ่อนของเหล่าทหารราชองครักษ์ อลิเซียได้สังเกตเห็นความแตกต่างเหล่านี้ทั้งหมด มันทำให้เธอรู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างนั้นแน่ ๆ

เด็กสาวจำได้ว่าโรเอลเพิ่งไปถึงระดับแก่นแท้ 6 ได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะได้รับความชื่นชมจากเหล่าทหารชั้นยอดที่มีความแข็งแกร่งระดับแก่นแท้ 5

พี่ใหญ่โรเอลไม่เคยพูดกับเราเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติของเขาเลย…

อลิเซียสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตอนนี้โรเอลยังคิดว่าเธอเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่อ่อนแอทำอะไรไม่ถูก นั่นก็เพราะเธอซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้ ทำให้อลิเซียสามารถรักษาความห่วงใยของโรเอลไว้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้การที่เธอจะได้รับการยอมรับจากเขาเป็นเรื่องยากมากขึ้น

เป็นไปได้ไหมว่าพี่ใหญ่ไปถึงระดับแก่นแท้ 4 แล้ว? แต่นั่นมันก็ดูจะเกินจริงไปหน่อย…

อลิเซียสงสัยในความไม่แน่นอนนี้ เนื่องจากตามที่คาร์เตอร์เคยบอกเธอเอาไว้ เดิร์กนั้นเป็นถึงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4 จากสิ่งที่เธอรู้ กองทัพค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องของระดับแก่นแท้ พวกเขามักจะให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากตามลักษณะการออกคำสั่งของพวกเขา

หากพิจารณาจากความเคารพของเดิร์กที่มีต่อโรเอล นั่นอาจเป็นจริงได้…

อลิเซียคิดว่าอัตราการเติบโตของตัวเองเป็นเพียงแค่ ‘ค่าเฉลี่ย’ เนื่องจากเธอไม่มีใครให้เทียบด้วยเลย มันจึงไม่แปลกที่เด็กสาวจะประเมินโรเอลสูงเกินไป การตระหนักว่าโรเอลเติบโตเร็วกว่าตัวเองมาก ทำให้อลิเซียเริ่มคิดว่าตัวเองยังพยายามไม่มากพอ

จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้! เราต้องพยายามให้มากกว่านี้!

อลิเซียกำหมัดแน่น ถ้าเธออยากจะปกป้องโรเอลจริง ๆ ล่ะก็ อย่างน้อย ๆ ขั้นต่ำที่เธอต้องทำให้ได้ก็คือตามเขาให้ทัน นอกจากนี้ยังมีนอร่าที่อยู่เหนือกว่าเธออีกด้วย…

เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตอีกครั้งในอัตราการเติบโตเหนือมนุษย์ของอลิเซีย

ขณะเดียวกัน โรเอลก็มองไปยังพ่อครัวที่กำลังย่างเนื้อแกะทองคำสี่ตัวบนกองไฟ และใช้ตัวสุดท้ายทำซุปอันเข้มข้นในหม้อใหญ่ พร้อมเครื่องเทศที่พวกเขารวบรวมมาจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ

ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารองครักษ์พุ่งขึ้นสูงกว่าเดิมมาก

พวกเขาบางคนเป็นทหารที่ผ่านศึกการเอาชีวิตรอดในถิ่นทุรกันดารมา จึงมีความรู้ว่าพืชชนิดใดกินได้และชนิดใดที่กินไม่ได้ รวมถึงพืชที่อร่อยที่สุด ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในป่า ทุกคนก็สำรวจพื้นที่ในทันที และเก็บเกี่ยวเครื่องเทศที่เสริมเน้นรสชาติทุกอย่างมา

กองอาหารอันโอชะบนโต๊ะ ทำให้โรเอลตระหนักได้ว่าในป่าของเขตการปกครองแอสคาร์ดมีทรัพยากรอันมีค่าอยู่มากมาย เขาจำได้จากอดีตชาติว่ามีสมุนไพรหายากบางชนิดที่สามารถดึงราคาที่สูงเกินจินตนาการได้ เช่นโสมป่า บางทีที่นี่อาจเป็นพื้นที่ที่น่าพัฒนาส่วนหนึ่งของเขตการปกครองแอสคาร์ด

ระหว่างที่โรเอลพยายามใช้สมองคิดหาวิธีการหาเงินเพิ่มเติม แกะทองคำสี่ตัวที่ย่างอยู่เหนือกองไฟก็เริ่มส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทั้งค่าย ทำให้เดิร์กออกคำสั่งทหารในหน่วยองครักษ์ให้เฝ้าระวังมากขึ้นในทันที เพราะเกรงว่ากลิ่นหอมของเนื้อแกะจะดึงดูดสัตว์ป่าเข้ามา

พระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว เมื่อพวกเขาจัดการงานต่าง ๆ จนเสร็จสิ้น ในไม่ช้างานเลี้ยงฉลองก็เริ่มต้นขึ้น

โรเอลและอลิเซียได้รับเนื้อแกะทองคำย่าง 1 ตัว ในขณะที่อีกสามตัวที่เหลือถูกแบ่งกันออกไปในหมู่ทหารองครักษ์และคนรับใช้ เนื่องจากมันมากเกินกว่าที่เด็กสองคนจะกินได้ หลังจากผ่าส่วนที่ดีบางส่วนออกไปแล้ว ส่วนที่เหลือจึงถูกนำแจกจ่ายให้กับเหล่าทหาร

เนื้อแกะย่างเป็นหนึ่งในอาหารไม่กี่จานที่ไม่จำเป็นจะต้องปรุงมากเท่าไหร่ รสชาติของมันขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบ เนื้อของแกะทองคำถือเป็นวัตถุดิบชั้นยอด ไขมันของมันมีลักษณะคล้ายลายหินอ่อนเท่ากันไปทั่ว ทำให้เกิดความชุ่มช่ำในการกัดแต่ละครั้ง ประกอบผิวอันกรุบกรอบที่ขัดกับความนุ่มนิ่มของเนื้อทำให้มันถูกปากทุก ๆ คนที่ได้ลิ้มลอง

ในการประเมินคุณภาพของมื้ออาหาร ปัจจัยที่สำคัญที่สุดสองประการคือตัวอาหารและบรรยากาศ การรับประทานอาหารในถิ่นทุรกันดารอาจจะขาดความสง่างามตามปกติอันหรูหราของเหล่าขุนนาง แต่บรรยากาศที่แตกต่างออกไปของธรรมชาติเช่น สายลมเย็น ๆ บนทุ่งหญ้า ดวงจันทร์อันสวยงาม ดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่บนฟ้า และเสียงเพลง เสียงหัวเราะของเพื่อนฝูง ก็ถือเป็นบรรยากาศที่สนุกสนานไร้กังวลที่ดีไม่แพ้กัน

“พี่ใหญ่ จะรับไวน์ไว้ดื่มแกล้มกับเนื้อไหมคะ?”

“ขอผ่านก่อนก็แล้วกัน ในเมื่อไม่มีใครได้ดื่มมันที่นี่ ฉันเองก็ไม่ควรเป็นข้อยกเว้น”

โรเอลตอบด้วยรอยยิ้ม

เด็กชายเข้าไปใกล้ ๆ กับเด็กสาวมากขึ้นเล็กน้อย ทำให้อลิเซียเริ่มหัวเราะคิกคักด้วยความดีใจ อย่างไรก็ตามเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าทหารที่อยู่ใกล้ ๆ กำลังมองมาที่พวกเขา ใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากอิ่มท้องแล้ว โรเอลก็เรียกทหารให้ไปเชิญเดิร์กกลับจากหน้าที่รักษาการณ์ของเขา การเชื้อเชิญอย่างกะทันหันนี้ทำให้เดิร์กรู้สึกประหม่า เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ โรเอลจึงริเริ่มที่จะเข้าหาเขา แต่เดิร์กก็ไม่คิดจะถามถึงเจตนาของเด็กชาย หลังจากได้เห็นพลังอันท่วมท้นของกรันด้าตรง ๆ เขาก็สาบานกับตัวเองว่าจะให้ความเคารพต่อนายน้อยโรเอล และจะไม่มีวันทรยศอีกฝ่าย

ไม่นานนักหลังจากที่เดิร์กกลับมาที่ค่าย พ่อครัวคนหนึ่งก็ส่งสเต็กเนื้อแกะที่เพิ่งตัดมาจากแกะทองคำที่คั่วแล้วมาให้เขา สเต็กเนื้อแกะชิ้นนี้ถูกราดด้วยซอสเข้มข้น และมีผักวางไว้บนจานเพื่อกินแกล้มล้างปาก

ดวงตาของเดิร์กสลับไปมาระหว่างจานสเต็กแกะในมือของเขากับสีหน้า ‘เอาเลยสิตักมันเข้าปากไปเลย’ ของโรเอล ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

“นายน้อย … ข้าขอถามได้ไหมว่าทำไมท่านถึงเรียกข้ามาที่นี่”

“ไม่มีอะไรมากหรอก นายพักผ่อนได้ตามสบาย ฉันคิดว่าเนื้อแกะมันอาจจะเพียงพอสำหรับทุกคน และยังไง ๆ เนื้อแกะที่นี่เองก็จะต้องถูกนำไปแจกจ่ายให้กับเหล่าทหารอยู่ดี เดิร์ก นายทำงานหนักเพื่อปกป้องพวกเรามาตลอดการเดินทาง ดังนั้นฉันจึงอยากจะเลี้ยงอาหารนายก่อน”

“ฮ่าฮ่า! นายน้อยพูดเกินไปแล้ว มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของข้าในฐานะองครักษ์ที่จะปกป้องท่านอยู่แล้ว…”

การสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายเป็นเรื่องของการโต้ตอบ การชมเชยซึ่งกันและกัน ทั้งเดิร์กและโรเอลต่างก็เข้าใจถึงข้อเท็จจริงนี้เป็นอย่างดี โรเอลไม่คิดว่าผู้บัญชาการทหารองครักษ์ที่ดูเคร่งขรึมคนนี้จะมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เป็นทางการได้ดีเท่าไหร่นัก และเดิร์กเองก็ไม่คิดว่าโรเอลจะอ่อนน้อมถ่อมตนและให้ความเคารพเขาถึงขนาดนี้ เมื่อทั้งสองคนเข้าใจกันจริง ๆ แล้วถึงนิสัยของอีกฝ่าย การพูดคุยจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าพอใจสำหรับทั้งคู่

เมื่อเดิร์กนึกถึงข่าวลือที่ตนเคยได้ยินเกี่ยวกับนายน้อยโรเอลว่าไร้ความสามารถ อีกทั้งยังมีบุคลิกที่ชั่วร้ายแย่เสียจนน่าสยดสยอง เขาก็รู้สึกว่าสมองของตัวเองคงเบลอไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้หลงไปเชื่อข่าวลือพรรค์นั้นโดยไม่ได้ตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน บุตรของมาร์ควิสคาร์เตอร์ผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นคนแบบนั้นไปได้อย่างไร?

ด้วยที่คุยกันถูกคอ ทำให้โรเอลใช้เวลาไม่นานในการสร้างความใกล้ชิดกับผู้บัญชาการทหารที่ดูเย็นชา และเมื่อโรเอลรู้สึกว่ามันถึงเวลาที่จะต้องคุยเรื่องสำคัญแล้ว เขาก็โบกมือส่งสัญญาณให้แอนนา จากนั้นสาวใช้ก็พาพ่อครัวและเหล่าคนรับใช้คนอื่น ๆ ออกไปในทันที ให้พวกเขาทั้งสามคนได้มีโอกาสพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

“เดิร์ก ขอพูดเข้าประเด็นเลยนะ ฉันมีเรื่องจะถามนาย นายคงรู้ข่าวแล้วใช่ไหมเรื่องสถานการณ์ที่ชายแดนตะวันออก ฉันอยากรู้ว่าท่านพ่อได้ให้คำสั่งกับนายเกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า?”

คำพูดเหล่านั้นทำให้สีหน้าของเดิร์กเปลี่ยนไปในทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองโรเอลที่ยิ้มแย้มด้วยความตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าเด็กชายคนนี้จะเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้ถึงจุดนี้

เดิร์กตอบด้วยรอยยิ้มฝืด ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงครุ่นคิด แม้คนที่ถามคำถามจะเป็นโรเอล บุตรชายเพียงคนเดียวของคาร์เตอร์ แต่มันก็ยังไม่เหมาะสมสำหรับเขาเท่าไหร่ที่จะฝ่าฝืนมาตรการรักษาความลับของกองทัพและเปิดเผยคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

“เดิร์ก ที่นี่ไม่มีบุคคลภายนอกอยู่ มีเพียงฉันและอลิเซีย นายไม่จำเป็นจะต้องกังวล นายสามารถมั่นใจได้เลยว่า พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นต่อหน้าท่านพ่อ และถ้าหากท่านพ่อรู้ถึงเรื่องนี้โดยบังเอิญ ฉันกับอลิเซียจะยืนเคียงข้างนาย และบอกเขาว่าพวกเราเป็นคนบังคับนายให้บอกเราเรื่องนี้เอง”

เดิร์กมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดหลังจากได้ยินคำรับประกันของโรเอล หากเป็นในอดีตเขาคงจะปฏิเสธคำขอนี้ในทันที แต่เมื่อได้เห็นศักยภาพของโรเอลกับตาของตัวเองแล้ว เขาก็เริ่มคิดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่แย่เท่าไหร่ที่จะทำงานรับใช้นายน้อย

เนื่องจากตระกูลแอสคาร์ดมีบุตรชายเพียงคนเดียว ทำให้ตำแหน่งของโรเอลนั้นไม่มีวันสั่นคลอน นอกจากนี้เดิร์กเองก็รู้ว่าอลิเซียกำลังฝึกฝนภายใต้การดูแลของคาร์เตอร์ในฐานะลูกศิษย์ ระดับที่แม้แต่เขาก็ยังต้องตกใจเมื่อได้เห็นว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้เติบโตขึ้นมากเพียงใดภายในระยะเวลาอันสั้น

ด้วยตัวแปรต่าง ๆ นี้ ตระกูลแอสคาร์ดจะต้องมีอนาคตอันสดใสรออยู่ข้างหน้าพวกเขาแน่

หากพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เดิร์กก็รู้สึกว่ามันน่าจะคุ้มที่เขาจะฝ่าฝืนมาตรการรักษาความลับของกองทัพ เพื่อให้ได้ความสัมพันธ์อันดีกับโรเอลและอลิเซีย นอกจากนี้คนที่เขาเปิดเผยความลับก็ยังเป็นบุตรชายและบุตรสาวของคาร์เตอร์อีกด้วย การลงโทษจึงไม่น่าจะรุนแรงเท่าไหร่นัก

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เดิร์กก็เงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับเด็กสองคนตรงหน้าเขา

“นายน้อย นายหญิง ข้ารู้สึกขอบคุณพวกท่านจริง ๆ ที่ประเมินข้าเอาไว้สูง เกี่ยวกับคำสั่งของท่านมาร์ควิส ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนอื่น ๆ จะได้รับคำสั่งที่แตกต่างกันออกไปหรือไม่ แต่ตัวข้านั้นได้รับคำสั่งจากเขามาด้วยกันสองคำสั่ง”

“อย่างแรกคือการรายงานเขาเกี่ยวสถานะของเขตการปกครอง ข้ากำลังรวบรวมรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับการดำเนินการและการตัดสินใจที่สำคัญต่าง ๆ ในเขตการปกครองของนายน้อยโรเอล เพื่อส่งมันให้กับท่านมาร์ควิสคาร์เตอร์ หากมีเรื่องสำคัญใด ๆ เกิดขึ้น ข้าจะแจ้งให้เขาทราบโดยเร็วที่สุด”

“นั่นก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลดีนี่นา”

โรเอลตอบพร้อมพยักหน้า

โรเอลเป็นเพียงเด็กอายุ 10 ขวบ ไม่ว่าคาร์เตอร์จะเชื่อใจโรเอลมากแค่ไหน แต่เขาก็คงจะต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ หากคิดที่จะให้เด็กชายอายุเท่านี้จัดการบริหารเขตการปกครองโดยไม่มีมาตรการป้องกันความล้มเหลวใด ๆ สำรองไว้

“อืม ฉันไม่มีปัญหากับเรื่องนั้น แล้วคำสั่งที่สองล่ะ?”

โรเอลถาม

“คำสั่งที่สองนั้นค่อนข้างแปลก ท่านมาร์ควิสสั่งให้ข้าใช้ทุกวิถีทางเพื่อแจ้งให้เขาทราบทันทีหากคนจาก​ตระกูลโซโรฟยาส่งใครมา”